กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 293 -294
บทที่ 293 ผลไม้สีแดง
เป็นเพราะโอวหยางซิงเหวินต้องการฉกฉวยของบางอย่างจึงได้ลุกขึ้นต่อต้านกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดโอวหยางเทียนเป็นคนที่จะทุ่มจ่ายเงินได้มากมายกับสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้น ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใด สุดท้ายก็ต้องได้สิ่งนั้นมาครองแล้วตอนนี้เขาก็กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ลูกชายตัวดีของเขาขโมยมา แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร นอกจากนี้เขาเองก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่าอีกฝ่ายทำภารกิจระดับ A คลาสสำเร็จลุล่วงได้หรือไม่
”ในห้องข้า”โอวหยางซิงเหวินกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา
จากนั้นโอวหยางซิงเหวินได้ขอให้ซุนจื่อไปที่ห้องของเขาและนำกล่องนั้นออกมาที่เขาขโมยกล่องนั้นมาก็เพื่อประโยชน์ของพ่อเขาเองและในขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความดีความชอบให้ตัวเองไปด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นซุนจื่อก็นำกล่องมาโอวหยางเทียนหยิบกล่องขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็นและพยายามที่จะเปิดมัน
“พวกเล่นแร่แปรธาตุอาจจัดการกับมันได้” โอวหยางซิงเหวินเตือนเสียงเบา เขายังไม่กล้าพูดเสียงดังมากนั้นหลังจากที่ถูกพ่อของเขาสั่งสอน
“อย่างงั้นหรือ!”โอวหยางเทียนจ้องลูกชายพร้อมพูด พวกเขาไม่เคยพบนักเล่นแร่แปรธาตุแต่วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะเปิดกล่องได้
พละกำลังของโอวหยางเทียนนั้นแข็งแกร่งกว่าโอวหยางซิงเหวินอยู่มากถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักดาบและไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะใช่กดขี่ขมเหงคนอื่นได้ตลอดเวลา แต่เขาก็เป็นถึงนักเวทย์ชั้นสูง ดังนั้นพลังทำลายล้างของเขาก็ย่อมต้องมากเช่นกัน
หลังจากที่ร่ายคาถาทำลายล้างไปไม่กี่ครั้งกล่องก็ได้เปิดออก แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักเล่นแร่แปรธาตุที่จะจัดการกับกล่องนี้ได้จะต้องเป็นนักเวทย์ระดับสูง หากไม่ได้เป็นนักเวทย์ระดับที่สูงเช่นเขาก็คงไม่สามารถเปิดล่องๆนี้ได้
”นี่คืออะไร?”โอวหยางเทียนหยิบผลไม้สีแดงสดออกมาจากกล่องและถามอย่างสงสัย เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อเปิดกล่องออกโอวหยางซิงเหวินก็มองดูด้วยความสงสัยเช่นกันและอยากรู้ที่มาของกล่องใบนี้ด้วย แต่เขาเองก็ไม่เคยพบผลไม้ที่พ่อเขาหยิบออกมา
แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มาจากโลกใบเดียวกันหรือแม้แต่เด็กอนุบาลถ้าได้เห็นผลไม้นี้พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของโอวหยางเทียนว่าคือสิ่งใดนอกจากเห็นเป็นแอปเปิ้ลลูกใหญ่สีแดงสด
”อาจจะเป็นผลไม้วิเศษก็ได้”โอวหยางเทียนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าในป่าแห่งหมอกนั้นมีทั้งสมบัติและของดีมากมาย ยังมีสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายที่โลกภายนอกยังไม่รู้จักและไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน ป่าแห่งหมอกก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนทั่วไป ๆ จะยากที่จะเข้ามาพบเช่นกัน
แต่ไม่ว่าโอวหยางเทียนเอยากรู้อยากเห็นความวิเศษของผลไม้นี้มากเพียงใดแต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะลองกินมันเพราะสุดท้ายสิ่งนี้ก็คือของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด ดังันั้น หากเขาต้องการปรับความเข้าใจกับกองทหารรับจ้างโลหิตสีขาดเขาต้องส่งผลไม้นี้คืนกองทหาร
แน่นอนอว่าโอวหยางซิงเหวินคิดต่างออกไปเพราะเขานั้นอยากจะเก็บผลไม้นี้ไว้ผลไม้ผลนี้ลูกใหญ่มากจนสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนได้ซึ่งส่วนที่แบ่งนั้นก็ยังใหญ่เพียงพอสำหรับทั้งพ่อและเขา แต่ยังไงเขาเองก็ไม่เคยเห็นหรือลิ้มรสผลไม้ชนิดนี้มาก่อน
”นี่แกกำลังมองอะไรของแก?ของสิ่งนี้จะต้องถูกส่งคืนกองทหาร นี่แกยังไม่รู้อีกหรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงขนาดไหน?” โอหยางเทียนพูดพลางจ้องไปที่ลูกชาย
เมื่อเห็นท่าทีของชายผู้เป็นพ่อโอวหยางซิงเหวินก็หดคอกลับและไม่กล้าพูอะไรอีก
ในขณะนั้นคนที่โอวหยางเทียนส่งไปเจรจากับฝ่ายกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดก็กลับมา เขารู้ว่าคนที่เขาส่งไปก่อนหน้านั้นอวัยวะครบทั้งสามสิบสอง แต่เมื่อกลับมาพบว่าในเวลานี้หูข้างหนึ่งกลับหายไป
”นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?”โอวหยางเทียนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นคนของฝ่ายตนเป็นเช่นนั้น แม้ว่าครอบครัวของเขาจะเป็นฝ่ายผิดและฆ่าคนของอีกฝ่ายไปแต่ก็เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับฆ่าสมาชิกและทำลายร้านของฝ่ายเขาไปมากเช่นกัน ตอนนี้แม้กระทั้งคนที่เขาส่งไปเจรจายังถูกทำให้อัปยศอดสูขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นเขาเองจะขนาดไหน
”พวกเขาบอกว่านายน้อยฆ่ารองกัปตันของพวกเขาและขโมยสมบัติของพวกเขาไปตอนนี้พวกเขาต้องการให้เราคืนของและที่ยิ่งไปกว่านั้น?” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชายที่กำลังกล่าวกลับจ้องไปที่โอวหยางซิงเหวิน
“แล้วยังไงต่อ? ก็รีบพูดสิ!” โอวหยางเทียนเร่งเร้า แต่หลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้เสียรองกัปตันไป เขาจับจ้องไปที่ลูกชายและคิดในใจว่าลูกของเขานั้นใจกล้าจริง ๆ ไม่ว่าใครก็กล้าฆ่าหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งรองกัปตัน
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันต้องการให้คุณชายชดใช้ด้วยชีวิต!” ภายใต้แรงกดดันของโอวหยางเทียน จึงบอกเงื่อนไขไปอย่างกระวนกระวาย
”พวกมันกล้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรอ!” โอวหยางเทียนตะโกนออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว!
แม้ว่าเขาจะโกรธในสิ่งที่ลูกชายได้กระทำลงไปแต่เขาก็ไม่เคยต้องการให้ลูกชายของต้องตายนี่เป็นลูกชายคนเดียวของเขา ถ้าโอวหยางซิงเหวินตาย ตระกูลเขาได้ถึงจุดจบเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
”พ่ออย่าไปยอมพวกมันนะขอรับ ข้ายังไม่อยากตาย” เมื่อโอวหยางซิงเหวินได้ยินเงื่อนไขของอีกฝ่ายมันก็ทำให้เขาถึงขั้นกลัวจนน้ำตาไหลออกมาและกลัวว่าพ่อของเขาจะส่งเขาไปเพราะความโกรธ
”ร้องไห้หรอแกจะร้องไห้หาพระแสงอะไร ร้องไห้ไปจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าแกรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นแล้วทำไมยังกล้าไปฆ่าคนฝ่ายนั้น? แถมยังฆ่าแม้กระทั่งรองกัปตันด้วย” โอวหยางเทียนพูดอย่างเหลืออด เมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมาแบบนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องมีเหตุผลที่จะใจดีอีกต่อไป
”พ่อพวกมันต้องพูดเรื่องไร้สาระแน่ คนพวกนั้นเป็นแค่เศษขยะ พวกมันไม่มงไม่มีกัปตันอะไรนั่นหรอก พวกมันจงใจใส่ร้ายข้าแน่ ๆ รองกัปตันจะถูกฆ่าตายง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน?” โอวหยางซิงเหวินร้อง
โอวหยางเทียนยังคงขบคิดเรื่องถึงนี้แม้ว่าสิ่งที่ลูกชายของเขาพูดไปนั้นก็เพื่อให้ตนเองพ้นผิด แต่มันก็อาจเป็นไปได้เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการให้ฝ่ายเขาชดใช้มากขึ้น ดังนั้น อีกฝ่ายจึงจงใจยกสถานะของผู้ที่เสียชีวิตมาเป็นข้ออ้างและทำให้เรื่องดูร้ายแรงยิ่งขึ้น โดยวิธีการก็คือทำให้เกิดการนองเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะได้จัดการกับฝ่ายของเขาได้ง่าย
”พอแล้วหยุดร้องได้แล้วตอนนี้ ข้าจะไปดูด้วยตัวเองและแกก็ต้องไปกับข้าด้วย!” โอวหยางเทียนกล่าว
“ข้าไม่ไป!” โอวหยางซิงเหวินไม่กล้าไปเพราะเขากลัวอีกฝ่ายจะซุ่มโจมตี
”ไปกับข้าแกจะกลัวอะไรอีก”โอวหยางเทียนกล่าวและจ้องไปที่ลูกชาย ในอาณาเขตเมืองเฮ่าเทียนนั้น ทั้งอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโอวยางถือว่าไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากองทหารโลหิตสีชาด อีกทั้งที่นี่เป็นถึงบ้านเกิดของโอวหยางเทียน เช่นนั้นเขาย่อมไม่กลัว
เมื่อถูกพ่อกล่าวตำหนิมาเช่นนี้โอวหยางซิงเหวินจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกและได้แต่หวังในใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
ชีวิตของโอวหยางซิงเหวินตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับไหวชีวิตผ่านมาในฐานะผู้ติดตามของหวังเอ้อร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับไหวเช่นกัน อีกทั้งยังดูน่าสังเวชยิ่งกว่าเขาเสียอีก
บทที่ 294 เค้นคำตอบ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหวังเอ้อได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่เหมือนอยู่บนสวรรค์แต่ไม่นานก็เหมือนต้องกลับสู่นรกอีกครั้งเนื่องจากหวังเอ้อเคยติดตามโอวหยางซิงเหวินมาก่อน เขาจึงเป็นคนที่โอวหยางซิงเหวินไว้ใจมากที่สุดในบรรดาคนรับใช้ทั้งหมดของตระกูลโอวหยางและเขายังดูเป็นที่มีสง่าราศีมากที่สุดอีกด้วย ในเวลานั้นที่เขาอยู่ในฐานะผู้ติดตามของโอวหยางซิงเหวินเขาจึงรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์
แต่ภายหลังโอวหยางซิงเหวินสงสัยว่าเขาขโมยแหวนมิติไปเขาจึงเหมือนถูกถีบลงจากสวรรค์และร่วงลงสู่นรกแทน
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากอันจื้อชิงซึ่งเขาได้สั่งให้คนไปรักษาอาการป่วยและอาการบาดเจ็บของเขา แม้กระทั้งเรื่องอาหารการกินเขาก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีโดยอาหารทุกมื้อที่นำมาเสิร์ฟนั้นเป็นอาหารเลิศรสทั้งสิ้นและนั้นมันทำให้เขาถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาไหลและเหมือนได้กลับขึ้นสู่สวรรค์อีกครั้ง
หลังจากที่เขาเพลิดเพลินไปกับความสุขที่ได้รับนี้ในสองสามวันมานี้อันจื้อชิงก็มาหาเขาเพื่อมาสนทนาด้วย ในระหว่างการสนทนานั้นเขามักจะถามเขาเรื่องเกี่ยวกับแหวนมิติ ในตอนแรกหวังเอ้อยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อนักแต่ไม่นานเข้าก็ตระหนักได้ในทันทีว่าเขาคงรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนสักแห่งว่าเขาเป็นคนขโมยแหวนมิติของโอวหยางซิงเหวินมาและตอนนี้เขาก็กำลังสนใจแหวนนี่อยู่ด้วย
เช่นนั้นหวังเอ้อจึงได้อธิบายต่อไปว่าเขาไม่ได้เป็นคนขโมยแหวนมิติไปและเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้แหวนนั่นอยู่ที่ใด
คนที่เอาแหวนมิติไปน่าจะเป็นหวังเอ้อดังนั้น ไม่ว่าหวังเอ้อจะพยายามอธิบายอย่างไรเขากลับไม่เชื่อเขาเลย เขาเอาแต่ถามคำถามเดิมที่เกี่ยวกับแหวนที่ถามไปในตอนแรก เมื่อเขารู้แล้วว่าหวังเอ้อไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลของแหวนมิตินัก สุดท้ายเขาก็ต้องถอดหน้ากากที่เขาสวมอยู่ตลอดลงและเผยธาตุที่แท้จริงออกมาและการเผชิญชะตาอันน่าเศร้าของหวังเอ้อก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
หวังเอ้อเหมือนตกจากสวรรค์แล้วร่วงลงสู่นรกชีวิตที่แสนสุขสบายของเขากลังจากมลายหายไปอีกครั้ง เขาไม่เพียงแต่จะไม่ได้กินอาหารเลิศรสอีกต่อไปแต่ยังโดนทรมานอีกด้วย
”หวังเอ้อข้าแนะนำให้เจ้ารีบพูดมาจะดีกว่าเพราะข้าไม่ได้มีความอดทนเหมือเจ้าโง่โอวหยางซิงเหวินนั้น” อันจื้อชิงกล่าวพร้อมมองไปที่บาดแผลของหวังเอ้อ
”คุณชายอันข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าแหวนมิตินั่นอยู่ที่ไหน ข้าไม่ได้ขโมยมันมาจริง ๆ” หวังเอ้อกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ระทม เขาดูเหมือนโจรมากขนาดนั้นเลยเหรือ? ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเขาเป็นคนขโมยแหวนมิติไป?
ถ้าให้กล่าวตามความจริงหวังเอ้อมีประสบการณ์เช่นนี้มามากพอแล้ว หากเขารู้จริง ๆ ๆว่าแหวนมิติอยู่ที่ไหนเขาคงจะบอกไปแล้ว แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่รู้อะไรเลย แต่น่าเสียดายที่ทั้งโอวหยางซิงเหวินและอันจื้อชิงกลับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ยังจะไม่ยอมบอกอีกหรอ?” อันจื้อชิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว เขารู้จักหวังเอ้อมาเป็นเวลานาน แต่เขาไม่เคยคิดว่าหวังเอ้อจะเป็นคนดื้อดึงถึงเพียงนี้
“ข้าไม่รู้ คุณชายอันถ้าข้ารู้ ข้าต้องบอกท่านไปอยู่แล้ว” หวังเอ้อกล่าวขณะร้องไห้
น่าเสียดายที่อันจื้อชิงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดอีกทั้งยังหันไปกล่าวกับคนรับใช้อีกว่า:”เค้นเขาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไป”
“ครับคุณชาย” คนรับใช้กล่าวตอบ
”คุณชายอันได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลยสิ่งที่ข้าพูดไปคือความจริง” หวังเอ้อตะโกนไล่หลังร่างที่กำลังเดินจากไปของอันจื้อชิง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้หยุดฝีเท้าลง
เมื่อหวังเอ๋อถูกทำร้ายและทรมานโอวหยางเทียนจึงพาโอวหยางซิงเหวินไปดูคนจากฝั่งกอมหารรับจ้างโลหิตสีชาดซึ่งทั้งสองฝ่ายได้นัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าโอวหยางเทียนคาดการณ์ไว้ว่าคนของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดนั้นคงไม่กล้าทำอะไรเขาที่นี่แต่ยังไงเขาก็ต้องรอบคอบไว้ก่อนจึงนำผู้คุมกันฝ่ายเขามาที่นี่ด้วย
“ผู้นำตระกูลโอวหยางยินดีที่ได้พบ!”
”ยินดีที่ได้พบเช่นกันคุณกัปตันปาร์คเกอร์!”
ณโรงเตี๊ยม ในที่สุดโอวหยางเทียนก็ได้พบกับกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด ทั้งสองต่างสอบถามเกี่ยวกับภูมิหลังของอีกฝ่ายก่อนจากนั้นพวกเขาจึงสามารถจำกันได้ในทันที
โอวหยางซิงเหวินที่เดินตามหลังพ่อของเขาสังเกตเห็นฮาโรลน์ชายไว้เคราร่างยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนกำลังจ้องมาที่เขาด้วยความโกรธและสายตาที่จ้องมานั้นก็ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าใด ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้หนีเขาก็คงไม่ต้องถูกลากตัวมาแบบนี้หรอกและคงไม่ถูกพ่อตัวเองทุบตีด้วย
“ในเมื่อผู้นำตระกูลโอวหยางนำตัวโอวหยางซิงเหวินมาที่นี่เช่นนี้แสงดว่ายอมรับเงื่อนไขของฝ่ายเราแล้วใช่หรือไม่?”ตอนนี้ปาร์คเกอร์กำลังมองไปที่โอวหยางซิงเหวินพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มในขณะที่คนของฝั่งกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดและคนในตระกูลโอวหยางต่างแยกกันไปนนั่งคนละฝั่ง
“กัปตันปาร์คเกอร์ คุณไม่คิดว่าคำขอของคุณมันมากไปหน่อยเหรือ?” โอวหยางเทียนกล่าวด้วยใบหน้าที่นิ่งขรึมในขณะที่มองไปที่อีกฝ่าย: “เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาหาหรือและแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้และหวังว่ากัปตันปาร์คเกอร์จะไม่ยกเรื่องนี้มาพูดอีก”
”เงื่อนไขของข้ามันมากเกินไปหรือ”ปาร์คเกอร์มองไปที่โอวหยางเทียนพร้อมกล่าวว่า “หนึ่งในกองทหารรับจ้างของข้าต้องสูญเสียทั้งรองกัปตันและคนในกองหลายคนไป ข้าต้องการแค่ชีวิตของคุณชายโอวหยางเท่านั้น ท่านไม่คิดว่าลูกชายคุณสมควรได้รับผลเช่นนั้นหรือ?”
“ข้ายอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้คุณควรเข้าใจตรงนี้ด้วย” โอวหยางเทียนส่ายหัวพร้อมพูด
แน่นอนว่าปาร์คเกอร์นั้นรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่โอวหยางเทียนจะยอมรับข้อเสนอนี้เนื่องจากเขาได้สืบประวัติโอวหยางเทียนมาก่อนหน้านั้นแล้วว่าเขามีลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลด้วย
เหตุผลที่เสนอเงื่อนไขไปแบบนั้นเพราะถ้าเขายื่นเงื่อนไขข้ออื่นๆ ไปโอวหยางเทียนอาจคิดปฏิเสธมันและนั้นก็ไม่เป็นผลดีกับเขาเองด้วยและเนื่องจากโอวหยางเทียนเคยปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง หากฝ่ายเขาเปลี่ยนเงื่อนไขให้แต่ฝ่ายโอวหยางเทียนยังคงปฏิเสธกลับมาอีก นั้นมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายทำเกินไปเช่นกันและยังเป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้ากันอีกด้วย
โอวหยางเทียนเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกันและนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขากล้าพาโอวหยางซิงเหวินมาพบอีกฝ่ายด้วย
“ท่านผู้นำตระกูลโอวหยาง คุณควรคืนสิ่งที่เป็นของพวกเรามาเสียก่อน จากนั้นค่อยคุยเรื่องอื่นกันดีไหม?” ปาร์คเกอร์พูดขณะที่เขามองไปที่อีกฝ่าย สุดท้ายไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเขาก็ต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเอามาจากป่าแห่งหมอกเสียก่อน
“แน่นอน!”โอวหยางเทียนผงกศีรษะพร้อมกล่าว
โอวหยางเทียนคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วว่าหากไม่คืนของที่ลูกชายตนขโมยมาอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ และเนื่องจากฝ่ายเขาเป็นฝ่ายที่กระทำผิด พวกเขาจึงต้องแสดงความจริงใจก่อน ในเมื่อพวกเขาทำไม่ถูกพวกเขาจึงต้องคืนของให้อีกฝ่ายไปก่อน ถึงแม้ว่าในใจเขาเองนั้นก็ไม่อยากจะคืนของสิ่งนี้ให้เท่าใดนัก