กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 295-296
บทที่ 295 ถูกสับเปลี่ยน
”นำของมาและเอาไปมอบให้กัปตันปาร์คเกอร์!”โอวหยางเทียนกล่าวกับผู้คุมที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขา
ตอนนี้ในมือของผู้คุมคนดังกล่าวกำลังถือกล่องใบหนึ่งอยู่ซึ่งมันเป็นกล่องที่มีผลเวอร์มิลเลี่ยนแสนล้ำค่าที่โอวหยางเทียนเห็นก่อนหน้านี้จริง ๆ แล้วทั้งโอวหยางเทียนและคนที่เหลือฝ่ายเขาต่างก็เคยเห็นมาพร้อมกันแล้ว ส่วนฝ่ายกองทหารโลหิตสีชาดเองก็เคยพบกล่องกล่องนี้มาก่อนเช่นกัน
ปาร์คเกอร์รู้ว่าในกล่องนั้นมีผลเวอร์มิลเลี่ยนอยู่พวกกองทหารรับจ้างที่มีระดับสูงกว่าเขาต่างก็รู้ประสิทธิภาพของผลเวอร์มิลเลี่ยนด้วยและปาร์คเกอร์เองก็รู้สึกอิจฉาคนที่ได้ครอบครองผลไม้นี้อยู่เช่นกัน ครั้งนี้กองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดไม่ได้มาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับรองกัปตันและตามหาตระกูลโอวหยางเพียงเท่านั้นแต่พวกเขามาด้วยอีกเหตผลนั้นก็คือ ผลเวอร์มิลเลี่ยน
นอกจากนี้ที่ผ่านมาเขาต้องเผชิญความยากลำบากมากมายมาเป็นเวลานานซึ่งการได้ใช้ผลเวอร์มิลเลี่ยนนั้นอาจช่วยให้เขาให้ผ่านอุปสรรคไปได้ อีกทั้งความเร็วในการฝึกยุทธ์ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครในอาณาจักรที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้มากขนาดนี้ลงได้
แต่ในตอนนั้นหลังจากที่เขาได้รับผลเวอร์มิลเลี่ยนมาเขากลับต้องไปที่เมืองอื่นเขาจึงต้องหาคนอื่นมาดูแลมันและนั้นคือเหตุผลที่เขาฝากผลเวอร์มิลเลี่ยนไว้กับรองกัปตันหลังจากที่เขาทราบเรื่องมาจากสมาชิกในทีมว่าผลเวอร์มิลเลี่ยนถูกขโมยไปและสมาชิกคนอื่น ๆ ในกองทหารก็ถูกฆ่าด้วยซึ่งนั้นทำให้เขาโกรธมาก สิ่งแรกที่เขาจะทำต่อจากนั้นไม่ใช่การแก้แค้นแต่เป็นการตามหาผลเวอร์มิลเลี่ยนกลับคืนมาให้ได้รวดเร็วที่สุดต่างหาก มิเช่นนั้นหากปล่อยเวลานานเกินไป อีกฝ่ายอาจกินผลเวอร์มิลเลี่ยนไปก่อนได้ สุดท้ายเวลาเขาจะฆ่าล้างตระกูลของอีกฝ่ายได้ แต่มันก็ไม่สามรถทดแทนกับผลเวอร์มิเลี่ยนได้
ส่วนเรื่องที่รองกัปตันถูกสังหารเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาโกรธเป็นอย่างมากแต่จริง ๆ แล้วในใจเข้าก็แอบรู้ดีและรู้สึกขอบคุณโอวหยางซิงเหวินด้วยซ้ำเนื่องจากเดิมทีรองกัปตันนั้นเป็นที่เคารพนับถือมากกว่าเขา พวกเขามีความเห็นไม่ค่อยตรงกันอยู่บ่อยครั้งและรองกัปตันมักจะคัดค้านเขาอยู่เสมอ ในกองทหารยังมีคนอีกมากมายที่สนับสนุนรองกัปตัน ดังนั้นปาร์คเกอร์จึงต้องการหาข้ออ้างเพื่อบีบให้เขาออกมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโอวหยางซิงเหวินจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีผลเวอร์มิลเลี่ยนเหลืออยู่เพียงลูกเดียว ถ้าให้เขาพูดตรง ๆ แน่นอนว่านี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลและแน่นอนว่าจริง ๆ แล้วเขาสามารถแบ่งมันออกเป็นสองชิ้นได้ แต่หากทำเช่นนั้นประสิทธิภาพคงไม่ดีเท่ากินไปทั้งลูก ดังนั้นหลังจากที่รองกัปตันเสียชีวิตไป เขาจึงไม่จำเป็นต้องแบ่งผลเวอร์มิลเลี่ยนกับใครอีก
เมื่อผู้คุมของตระกูลโอวหยางกำลังจะมอบกล่องให้กับปาร์คเกอร์ปาร์คเกอร์ก็ก้าวไปรับกล่องนั้นด้วยใจที่หมายมั่นโดยที่ไม่ต้องให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรหลังจากที่เขารับกล่องมาเขาพบว่ามีร่องรอยว่ากล่องได้ถูกเปิดออกโดยใครบางคนจากฝ่ายตระกูลโอวหยางและมิหนำซ้ำยังเป็นการเปิดโดยใช้กำลังอีกด้วย เขามองไปที่โอวหยางเทียนด้วยความไม่พอใจเพราะเห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนในตระกูลโอวหยางเปิดกล่องนี้และมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้นำตระกูลโอวหยางที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียด้วย
“ข้าเป็นคนเปิดกล่องนี้เองแต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้เอาของข้างในไปและไม่ได้สับเปลี่ยนของด้วย ” โอวหยางเทียนเริ่มพูดเมื่อเขาเห็นท่าทีของอีกฝ่ายซึ่งเขาเองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ปาร์คเกอร์พยักหน้าตอบอีกฝ่ายคงไม่ได้กินผลเวอร์มิลเลี่ยนข้างในเพราะหากเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่กล้ามอบกล่องคืนให้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะคิดอย่างนั้นในใจปาร์คเกอร์ก็ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อยเนื่องด้วยผลเวอร์มิลเลี่ยนนั้นล้ำค่ามาก เช่นนั้นเขาจึงคิดจะเปิดกล่องต่อหน้าอีกฝ่ายเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าผลเวอร์มิลเลี่ยนยังคงอยู่ในกล่องและเพื่อความสบายใจของเขาเองด้วย
และเมื่อเห็นการกระทำของปาร์คเกอร์ความรู้สึกโกรธก็เผยให้เห็นบนใบหน้าของโอวหยางเทียน การกระทำของปาร์คเกอร์นั้นเห็นชัดว่าเขาต้องการบอกทุกคนให้ทราบว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่โอวหยางเทียนพูด
การกระทำเพียงเท่านั้นไม่เพียงแต่จะทำให้โอวหยางเทียนโกรธเมื่อปาร์คเกอร์เปิดกล่องออกเขาก็ต้องตกตะลึงทันทีกับสิ่งที่เห็น จากนั้นทุกคนต่างเห็นว่าเขาโกรธขึ้นมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดและสีหน้าของเขาที่แสดงออกมาก็ดูน่าขนลุกและน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ปาร์คเกอร์ไม่เคยคิดเลยว่าโอวหยางเทียนจะอยากมีปัญหากับเขาจริงๆ นี่เขากล้าสลับของที่อยู่ในกล่องแล้วส่งคืนมาให้อย่างนั้นหรือ นี่มันถือว่าเป็นการหลอกหลวงกันซึ่ง ๆ หน้า สงสัยโอวหยางเทียนคงคิดว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีแน่หรือเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาโอวหยางเทียนยังฆ่าคนของเขาไม่พออีกหรือ? นี่มันยั่วกันชัด ๆ
โอ;หยางเทียนสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของปาร์คเกอร์โดยสัญชาตญาณเขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจแต่กลับรู้สึกโกรธมากกว่า
“ข้าคืนของของท่านให้แล้วแล้วทำไมถึงยังโกรธอยู่อีก? เป็นเพราะข้าทำกล่องของท่านแตกงั้นหรือ?”
”ท่านผู้นำตระกูลโอวหยางเรื่องนี้ท่านจะอธิบายกับข้ายังไง?!” ปาร์คเกอร์หยิบแอปเปิ้ลออกมาจากกล่องแล้วโยนกล่องทิ้งไป จากนั้นจึงยกแอปเปิ้ลขึ้นต่อหน้าพร้อมพูดกับโอวหยางเทียนด้วยสีหน้าดุดัน
เมื่อปาร์คเกอร์หยิบแอปเปิ้ลออกมาเบื้องหลังเขาก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น เพราะเขารู้ว่าข้างในกล่องควรมีผลเวอร์มิลเลี่ยนอยู่ ไม่เพียงแต่ปาร์คเกอร์เท่านั้นที่รู้แต่ทหารรับจ้างหลายคนเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“พูดมาได้ยังไงว่าสิ่งนี้คืออะไร? นี่ท่านไม่เห็นจริง ๆ หรือว่ามันคืออะไร? ท่านยังจะให้ข้าต้องถามอีกหรือ?” โอวหยางเทียนพูดด้วยความสับสนเพราะเห็นชัดว่าปาร์คเกอร์เองก็กำลังถือผลไม้นั้นอยู่แล้วเหตุใดเขาจึงยังตั้งคำถามอย่างไม่พอใจกับเขาอยู่อีก หรือว่าเขาอาจจะเป็นคนโง่เง่าเกินไป
”ท่าน!”ปาร์คเกอร์ไม่คิดว่าเขาจะกล้าสับเปลี่ยนของข้างใน มิหนำซ้ำตอนนี้โอวหยางเทียนยังไม่ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นอีก เช่นนั้นเขาจึงกล่าวว่า
”ข้ามาที่นี่เพื่อมาเจรจาด้วยความจริงใจแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลโอวหยางจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ลงง่าย ๆ นี่ท่านดูถูกพวกเราเกินไปหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโอวหยางเทียนถึงกับขมวดคิ้วและพูดว่า”ดูถูกหรือ? ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังหมายถึงอะไร?”
”ไม่ใช่หรือ?ก็ท่านสับเปลี่ยนของในกล่องและยังโกหกพวกเราซึ่ง ๆ หน้า นั้นไม่ใช่การดูถูกพวกเราหรอกหรือ?” ปาร์คเกอร์ถาม
”สับเปลี่ยน?”โอวหยางเทียนส่ายหัว: “ข้าไม่ได้ทำ ข้าแค่เปิดกล่องแล้วดูของที่อยู่ข้างในและไม่ได้สับเปลี่ยนอะไรเลย แม้ว่าจริง ๆ แล้วข้าก็อยากจะกินมันก็ตาม แต่ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า ข้าคงไม่นำกล่องมาคืนท่านถึงที่นี่หรอก”
”แต่มันเปลี่ยน!สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในกล่องก่อนหน้านั้นที่อยู่กับเรา! “ปาร์คเกอร์เองก็รู้สึกได้ว่าคำพูดของโอวหยางเทียนนั้นมีเหตุผล แต่ความจริงก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสงสัยได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผลเวอร์มิลเลี่ยนมาก่อนแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ผลเวอร์มิลเลี่ยนแน่นอน ฉะนั้นแสดงว่าตอนนี้ผลเวอร์มิลเลี่ยนหายไป
“ไม่ใช่หรือ” โอวหยางเทียนจ้องมองสิ่งนั้นอย่างว่างเปล่าชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาหันไปมองลูกชายของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“พ่อ ข้าไม่ได้ทำอย่างนั้น พ่อก็เห็นว่ากล่องมันล็อกอยู่” โอวหยางซิงเหวินรีบอธิบายทันทีเมื่อเห็นพ่อจ้องมองมา
บทที่ 296 ใครกล้าทำเรื่องแบบนี้
โอวหยางเทียนพยักหน้าก่อนหน้านี้เขายังเห็นอยู่เลยว่าผลเวอร์มิลเลี่ยนยังคงอยู่ในกล่องเนื่องด้วยเขาเป็นคนเปิดมันเองกับมือแม้ว่าเขาจะใช้กำลังในการเปิดกล่องก็ตาม ดังนั้นเขาจึงคิดว่าลูกชายของตนไม่น่าจะเปิดกล่องก่อนเขาแน่
หลังจากที่เปิดกล่องสิ่งที่เขาเห็นในมือของปาร์คเกอร์ก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ผิดแน่และนั่นก็หมายความว่า เดิมของที่อยู่ในกล่องนั้นก็คือ ผลไม้สีแดงผลนี้
”กัปตันปาร์คเกอร์เราไม่ได้สับเปลี่ยนของด้านในแน่นอน กล่องนี้ข้าเป็นคนเปิดเองและไม่เคยมีใครเปิดก่อนข้าด้วย ข้ารับรองด้วยเกียรติของข้าเลยว่าผลไม้นี้เป็นผลเดียวกันกับตอนที่ข้าเปิด”โอวหยางเทียนกล่าวขณะที่เขามองไปที่อีกฝ่าย
“เป็นไปไม่ได้!”ปาร์คเกอร์พูดด้วยความมั่นใจ: “ของที่อยู่ข้างในนั้น เดิมเป็นผลเวอร์มิลเลียน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่!”
“ผลเวอร์มิลเลียน?”เมื่อได้ยินเช่นนั้นโอวหยางเทียนก็ถึงกับตกใจแต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นผลเวอร์มิลเลี่ยนกับตามาก่อน เขาเพียงเคยได้ยินมาก่อนเท่านั้นซึ่งผลเวอรมิลเลี่ยนเป็นถึงสมบัติอันล้ำค่าโดยเฉพาะสำหรับคนเช่นเขาที่สามารถฝึกวรยุทธได้และเป็นสมบัติที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สามารถทดแทนกันได้ แต่อย่างไรเสียผลเวอร์มิลเลี่ยนก็ไม่ได้อยู่ภายในกล่องแล้วและเห็นได้ชัดว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังกล่าวหาเขาอย่างผิดๆ
”ไม่มันเป็นอันเดียวกันกับที่อยู่ในกล่องตั้งแต่แรกและเป็นอันเดียวกันกับที่เจ้าถืออยู่ในมือตอนนี้ด้วย โอวหยางเทียนยืนกราน
อย่างไรก็ตามปาร์คเกอร์ก็ยังคงไม่เชื่อทั้ง ๆ ที่เขาเองเป็นคนที่เห็นผลไม้ที่คิดว่าน่าจะเป็นผลเวอร์มิลเลี่ยนและยังเป็นคนใส่มันลงไปในกล่องด้วยตนเองเช่นนั้นเขาจึงสามารถยืนยันได้ แต่กระนั้นดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ
ปาร์คเกอร์รู้ประสิทธิภาพของผลเวอร์มิลเลี่ยนดีและเขาเชื่อว่าในฐานะผู้นำตระกูลโอวหยางจะต้องรู้ถึงการมีอยู่และรู้เจ้าสมบัติของผลเวอร์มิลเลี่ยนแน่นอนแม้ว่าโอวหยางเทียนจะไม่เคยเห็นผลของเวอร์มิลเลี่ยนจริงๆ กับตามาก่อนก็ตาม เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นผลไม้ที่คิดว่าน่านจะเป็นผลเวอร์มิลเลี่ยนที่อยู่ในกล่องจึงคิดที่อยากจะครอบครองไว้แน่
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจเอาของของเขาไปแถมยังกล้าสับเปลี่ยนเอาของปลอมมาหลอกคนเช่นเขาด้วยถึงแม้ว่าเขาก็ไม่เคยเห็นผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเช่นกัน แต่สิ่งที่อยู่ในกล่องตอนนี้ย่อมไม่ใช่ผลเวอร์มิลเลี่ยนแน่และอีกฝ่ายก็ดูมีเจตนาหลอกหลวงกันชัด ๆ
”ท่านผู้นำโอวหยางข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเจรจาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อเห็นการกระทำของตระกูลโอวหยางตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะจบไม่สวย” แม้ว่าตระกูลโอวหยางจะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฮ่าเทียน แต่กองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดก็มีดีไม่แพ้กันเนื่องจากกองทหารได้นำทหารฝีมือดีมาด้วยสองสามคนและแม้ว่าคนจากกองหทารโลหิตสีชาดจะมีมากไม่เท่าฝั่งคนของโอวหยางเทียน แต่ในแง่ของพละกำลังในการต่อสู้ของฝ่ายกองทหารนั้นจึงทำให้ไม่เกรงกลัวต่อโอวหยางเทียนซึ่งเป็นถึงตระกูลทรงอิทธิพลในเมืองเฮ่าเทียนแม้แต่น้อย
โอวหยางเทียนสังเกตเห็นพลังปราณชี่ที่อันตรายในดวงตาของอีกฝ่ายแต่ในขณะเดียวกันความโกรธของเขาก็ถูกกระตุ้นจากฝ่ายกองทหารโลหิตสีชาดพยามยามที่จะแบล็กเมล์เขาโดยอาศัยความแข็งแกร่งของฝ่ายตนมาใช้กลั่นแกล้งผู้อื่นที่คิดว่าอ่อนแอกว่าเช่นกัน อีกทั้งยังกล่าวหาฝ่ายโอวหยางว่าขโมยของอย่างผิด ๆ เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน? หากฝ่ายโอวหยางเป็นคนขโมยไปจริง ไม่มีทางที่เขาจะไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ขโมยอะไรไปทั้งนั้น !
“กัปตันปาร์คเกอร์ ข้ามาที่นี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่เสียเวลามาถึงขนาดนี้” โอวหยางเทียนพูดอย่างไม่ลดละ ก่อนหน้านี้เขารู้ดีว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายผิดจึงพูดเช่นนั้นออกไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจพยายามจะข่มพวกเขานั่นจึงทำให้ฝ่ายเขาเริ่มมีความคิดไม่ดีต่ออีกฝ่าย
“ข้าไม่เห็นความจริงใจของท่านผู้นำตระกูลโอหยางเลยแม้แต่น้อย”
“กัปตันปาร์คเกอร์ไม่ได้มีความจริงใจเท่ากับข้าหรอกหรือ?”
“งั้นเจ้ากำลังจะบอกว่าผู้นำตระกูลโอวหยางอย่างเจ้าจะยังคงยืนกรานจนถึงที่สุดหรือ?”
“มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราทำกัปตันปาร์คเกอร์เองก็ยังคงดึงดังจะให้พวกเรายอมรับในสิ่งที่พวกเราไม่ได้ทำให้ได้งั้นหรือ สุดท้ายยังไงพวกเราก็ขอยืนยันคำเดิมว่า พวกเราไม่ได้เป็นคนทำ”
”ฮึ!”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ผู้คุมทั้งสองฝ่ายต่างวางมือไว้ที่อาวุธของตนราวกับว่าพวกเขาสามารถโจมตีได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้โอวหยางซิงเหวินรู้สึกประหม่าอยู่ในใจเขาไม่ต้องการมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่เขามาเพราะพ่อของเขาและเมื่อดูจากทุกคนที่นี่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่มีพลังการต่อสู้ต่ำที่สุด ดังนั้นหากทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันเขาจะตกอยู่ในอันตรายที่สุด
ส่วนปาร์คเกอร์เองก็ยังไม่ต้องการต่อสู้ในตอนนี้เพราะถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะพาคนมาด้วยพอสมควรแต่เขาก็ไม่ได้พาทุกคนมาที่นี่ อีกอย่างเขาต้องการก่อสงครามแบบกองโจรแทนและหวังจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด กองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดนั้นยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าอีกฝ่าย นั้นก็คือ ด้านตำแหน่งที่ตั้ง
เนื่องจากกองทหารรับจ้างของเขานั้นไม่เคยมีที่พักที่แน่นอนมาก่อนและนั้นเป็นเรื่องยากที่พวกตระกูลหยางจะหากองทหารของเขาพบซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างจากตระกูลโอวหยางเนื่องจากครอบครัวและธุรกิจต่างก็อยู่ในเขตเมืองเฮ่าเทียนทั้งสิ้นดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับกองทหารรับโลหิตสีเลือดที่จะหาพวกเขาพบ
อย่างไรปาร์คเกอร์ก็ยังคงรู้สึกไม่เต็มใจที่จะต่อสู้อยู่เล็กน้อยเพราะเขาแค่ต้องการผลเวอร์มิลเลี่ยนแต่ถ้าเขาไม่สู้ในวันนี้อาจะเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้อีกฝ่ายกินผลเวอร์มิลเลี่ยนเข้าไปแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะสามารถโจมตีฝ่ายตระกูลโอวหยางภายหลังได้ก็ตามเนื่องด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ท้ายที่สุดจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะเอาผลเวอร์มิลเลี่ยนกลับมาในวันนี้ให้ได้
โอวหยางเทียนเองก็ไม่ต้องการต่อสู้เช่นกันเพราะเขาไม่ต้องการเสี่ยงและแม้ว่าเขาจะพาคนมาเพียงไม่กี่ชีวิตแต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องศิลปะป้องกันตัวที่แข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านั้นแล้วก็สามารถต่อกรได้ยากไม่แพ้กัน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ต้องการที่จะต่อสู้แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะเป็นคนเริ่มกล่าวออกมาดัง ๆ เพราะหากพวกเขาแสดงความอ่อนแอออกมา พวกเขาต่างก็ต้องรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายและยิ่งไปกว่านั้นมันอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการสู้ของพวกเขาในอนาคตอีกด้วย
“นายน้อย เคยบอกให้ข้าซ่อนผลเวอร์มิลเลี่ยนที่เขาพูดถึงอยู่รึเปล่า?” ในขณะที่บรรยากาศกำลังครุกรุ่นทั้งสองฝ่ายต่างเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของซุ่นจื้อที่พูดขึ้นมาแม้ว่าเสียงเขาจะไม่ดังก็ตาม แต่ภายใต้ความเงียบเช่นนี้จึงทำให้ได้ยินเสียงของเขาและนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาในทันที
โอวหยางซิงเหวินมองไปที่คนรับใช้ของเขาอย่างไม่เชื่อพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงในตอนแรกเขายังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนักแต่หลังจากรู้สึกได้ว่าทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขา เขาจึงเข้าใจและชี้ไปที่ซุ่นจื้อพร้อมกล่าวว่า: “แก แก”
เนื่องจากโอวหยางซิงเหวินเริ่มมีอาการร้อนรนมากเกินไปเขาจึงยังไม่ได้พูดอะไรออกไป
“เขาพูดว่าอะไรนะ”หลังจากที่ซุ่นจื้อพูดประโยคนั้นจบ เขาก็เอาแต่ก้มหัวลงและไม่กล้าสบตาใครอีกซึ่งเขาทำตัวเหมือนผู้รับใช้ที่เชื่อฟังแต่เจ้านาย