กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 301-302
บทที่ 301 เปิดบูธ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำฮวงเฟิงจึงกลับบ้านและพบม้วนคัมภีร์วิเศษภายในแหวนมิติ
การเรียนรู้ม้วนคัมภีร์นี้ยากกว่าเวทมนตร์พื้นฐานทั่วไปของเมื่อก่อนเป็นอย่างมากซึ่งจะต้องเพ่งกระแสจิตหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขาลงไปในม้วนคัมภีร์เพื่อทำความเข้าใจหลักการจนสามารถร่ายมนตร์ออกมาได้ จากนั้นจึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจเวทมนตร์นี้ได้
เขาคิดที่จะทดลองฝืนทำและคิดว่าตัวเองคงสามารถอดทนต่อความยากลำบากในการฝึกได้แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้เพราะมันอาจส่งผลต่อระดับการในการฝึกของเขาจนทำให้ช้าลงในภายหลังได้ เช่นนั้นฮวงเฟิงจึงยังไม่ค่อยอยากเสี่ยงเท่าใดนัก เขาจึงวางม้วนคัมภีร์ลงและตัดสินใจจะทำเป็นไม่สนใจชั่วคราว
หลังจากที่เก็บม้วนคัมภีร์ไว้ในกล่องจักรวาลเขาก็แน่วแน่ที่จะเพิกเฉยต่อมันไว้ชั่วคราว
แน่นอนว่าฮวงเฟิงไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถอดทนรอจนกว่าเขาจะถึงระดับที่จะสามารถฝึกได้และการอก็เป็นวิธีที่จะทำให้เขาสำเร็จวิชาช้าแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็รอเพียงไม่กี่วันเอง
หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ของเขาถูกขายไปแล้วเขาจึงรอการตอบรับของตลาดเกี่ยวผลิตภัณฑ์ซึ่งฮวงเฟิงค่อนข้างมั่นใจแต่ในเรื่องของการอธิบายหลักการในการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเสียหน่อยและเขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงต้องทำการโฆษณาและจ้างตัวแทนขายให้มาขายผลิตภัณฑ์แทน
ในช่วงเช้าของวันที่สองฮวงเฟิงที่ซักผ้าเสร็จพอดีก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“บอสคะพี่เหลียงบอกว่าให้ฉันตามบอสไปวันนี้ด้วย เขาบอกว่าเขาจะไปบริษัทจัดหาคนเพื่อหารับสมัครคนมาเป็นพนักงานค่ะ” เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นนั้นมาจากกัวเมิ่งหานที่กัวเหลียงจัดให้มาช่วยฮวงเฟิง
”เอ่อเดี๋ยวก่อน ผมเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จมาทานด้วยกันก่อนสิเสร็จแล้วค่อยไปก็ได้” ฮวงเฟิงกล่าว
”โอ้ใช่ถ้าไม่ได้อยู่ที่โรงงาน เธอเรียกแค่ชื่อฉันหรือไม่ก็พี่เฟิงก็ได้” ฮวงเฟิงไม่ต้องการแบ่งแยกสถานะกับกัวเมิ่งหานในตอนที่ไม่ใช่เวลาทำงานเพราะอย่างไรพวกเขาไม่ได้เพิ่งมารู้จักกันเพียงวันสองวันแต่พวกเขาเป็นเพื่อนกัน
“ถ้าอย่างงั้นต่อจากนี้ฉันจะเรียกคุณว่าพี่เฟิงก็แล้วกันนะคะ”กัวเมิ่งหานย่อมไม่ปฏิเสธคำแนะนำจากฮวงเฟิงเพราะความจริงเธอไม่ต้องการห่างเหินกับฮวงเฟิงอยู่มากไปกว่านี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่หรูหรานบอกกับเธอ
”คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?”เมื่อเห็นฮวงเฟิงเข้าไปในครัว กัวเมิ่งหานจึงนึกอยากจะช่วยเขา
”ไม่ต้องๆ แค่รออยู่ด้านนอกก็พอ คุณทำอาหารให้ผมมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ผมจะให้คุณได้ชิมฝีมือการทำอาหารของผมบ้าง” ฮวงเฟิงกล่าว
กัวเมิ่งหานไม่ปฏิเสธและนั่งลงอย่างเชื่อฟังในห้องนั่งเล่นเธอเองก็ค่อนข้างอยากรู้ทักษะการทำอาหารของฮวงเฟิงเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับเขาไว้สูงนัก
แต่เมื่อเธอได้ลิ้มลองข้าวผัดไข่ที่แสนเรียบง่ายของฮวงเฟิงเข้าไปแล้วก็ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ไปทันทีเพราะจริง ๆ แล้วทักษะการทำอาหารของฮวงเฟิงนั้นถือว่าดีอยู่ไม่น้อยและยังดีกว่าของเธออีกด้วย
”เป็นไงบ้าง?ทักษะการทำอาหารของผมไม่เลวใช่ไหมล่ะ?” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างพอใจเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของกัวเมิ่งหาน
”อื้มมันดีกว่าของฉันมากเลยค่ะ” กัวเมิ่งหานพูดอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จพวกเขาทั้งสองก็ตรงไปที่แหล่งของคนที่ต้องการสมัครงานซึ่งพวกเขาต้องใช้เงินส่วนหนึ่งให้กับสำนักงานฝ่ายบริหารจัดการหาคนที่ตรงคุณสมบัติที่เขาต้องการ แม้ว่าผลที่ได้จะไม่ค่อยดีนักแต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้เช่นกัน
หลังจากที่ฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการรับสมัครเสร็จแล้วและตอนนี้เวลาก็ยังไม่เกินสามทุ่มอย่างไรก็ตามในเวลานี้แหล่งรวมของผู้มีความสามารถยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงของการจบการศึกษาจึงมีผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่น้อยและแน่นอนว่าก็ยังมีคนที่มีประสบการณ์การทำงานรวมอยู่ด้วยไม่น้อยเช่นกัน
ในขณะที่ฮวงเฟิงและคนอื่นๆ ตั้งบูธของพวกเขาเสร็จก็ได้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาดูแต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการแนะนำโรงงานแล้วส่วนใหญ่ก็หันหลังกลับไปเนื่องด้วยโรงงานของฮวงเฟิงนั้นเล็กเกินไปและมีคนงานเพียงยี่สิบกว่าคน
ฮวงเฟิงไม่แปลกใจกับสถานการณ์เช่นนี้เพราะตอนที่เขาเพิ่งจบการศึกษาใหม่ ๆ เขาเองก็มีความทะเยอทะยานเต็มเปี่ยมและเคยดูถูกธุรกิจขนาดเล็กมาก่อนเช่นกันและต้องการหาบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองและยังมีผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเอาหัวโขกกำแพงเพราะการที่จะเข้าบริษัทใหญ่นั้นก็ต้องพบกับการแข่งขันที่สูงด้วยเช่นกัน และเมื่อหมดหานทางเขาก็ต้องหันกลับไปมองบริษัทเล็ก ๆ ที่เคยดูถูกแต่นั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว
ฮวงเฟิงรู้ว่าบัณฑิตที่เพิ่งออกจากมหาวิทยาลัยเหลานี้ก็จะต้องช็อคกับความจริงในไม่ช้าท้ายที่สุดล้วพวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ที่จะต้องยอมไปทำงานที่บริษัทเล็ก ๆ หรือโรงงานเล็ก ๆ ที่พวกเขาไม่ชอบเพราะเมื่อถึงเวลานั้นไม่ได้เป็นพวกเขาแล้วที่เลือกบริษัทแต่เป็นบริษัทเล็ก ๆ พวกนั้นต่างหากที่จะเป็นคนคัดเลือกแทน
พวกเขาหลายคนไม่อยากไปทำงานที่โรงงานของฮวงเฟิงจึงได้เลือกไปสมัครกับโรงงานอื่นหรือเลือกทางเลือกอื่นแทนแต่สุดท้ายพวกเขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ยื่นเรซูเม่ไปบริษัทใดบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หลังจากที่รวบรวมประวัติย่อมาทั้งหมดแล้ว เขาก็พบว่าโรงงานของเขาจะต้องขยายเวลาการรับสมัครพนักงานขายเพิ่มและเขาเองก็ต้องการคนที่มีความสามารถสำหรับตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากเร่ซูเม่เพื่อเลือกพนักงานในอนาคตได้
สำหรับคนที่นั่งลงเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมจากฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานพวกเขาทั้งคู่คอยตอบข้อสงสัยจากคนเหล่านี้อย่างอดทนเนื่องจากโรงงานของพวกเขาในตอนนี้ยังเป็นเพียงโรงงานเล็ก ๆ จึงไม่มีสิทธิ์เพิกเฉยต่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้
ไม่กี่เดือนที่ผ่านเขายังไม่มีกล่องจักรวาลและเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ในตอนนั้นเขาจึงเป็นกังลเรื่องงานตลอดทั้งวันเพราะยังไม่มีงานอะไรให้ทำ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาจะทำงานออกมาอย่างไรให้ดีจนสามารถทำให้บอสเอ่ยปากชมเขาได้และไม่กี่เดือนที่ผ่านนั้นเองเขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการสมัครงานในงานครั้งนี้และแน่นอนว่าสถานะของเขาตอนนั้นไม่ใช่เจ้าของหรือผู้สัมภาษณ์จากโรงงานเหมือนในตอนนี้ แต่เขาเป็นเพียงคนหางานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกับคนที่อยู่หน้าเขาตอนนี้
”ฮวงเฟิงทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?!”
ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังพิจารณาถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากข้อเท็จจริงอยู่ว่าเหตุใดคนที่เข้ามาสมัครถึงได้มีจำนวนน้อยทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยร้องทักขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ฮวงเฟิงเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณเพื่อมองหาต้นเสียงของผู้พูดจากนั้นเขาก็ตกตะลึงแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าตามที่เขารู้สึกชาไปทั้งหมด
”โอ้หวังทงทง ช่างบังเอิญจริง ๆ เลย” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างเป็นกันเองขณะที่เขายังคงจัดเรียงเรซูเม่ที่อยู่ในมือเขา
ถูกต้องแล้วคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าฮวงเฟิง ก็คือแฟนสาวที่เขาเคยพูดถึงตอนอยู่มหาวิทยาลัย
บทที่ 302 แฟนเก่า
หวังทงทงเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมหาวิทยาลัยและเป็นแฟนเก่าของฮวงเฟิงด้วยแต่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เลิกกันมานานแล้วหลังจากที่แยกทางกันได้สักพักฮวงเฟิงก็ไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลยซึ่งนับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ทั้งสองคงไม่มีทางได้ติดต่อกันอยู่แน่ ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญที่ทำให้มาเจอกันที่นี่ในวันนี้และฮวงเฟิงเองก็รู้สึกว่าเขาคงจะลืมผู้หญิงคนนี้ไปแล้วจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทีของฮวงเฟิงในตอนนี้หวังทงทงจึงขมวดคิ้วแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้ชอบฮวงเฟิงแล้วและยังรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าฮวงเฟิงไม่ได้สนใจเธอต่อไปอีกแล้วเนื่องจากตอนที่เขาอยู่มหาวิทยาลัยเขาชอบและหลงเธอเอามาก ๆ และสุดท้ายก็เป็นเธอเองที่เป็นคนทิ้งฮวงเฟิง ดังนั้นเธอจึงยังคิดว่าตอนนี้ฮวงเฟิงยังคงห่วงใยและชอบเธออยู่แน่นอน
แต่อย่างไรฮวงเฟิงในตอนนี้ก็ยังคงสามารถทำให้หวังทงทงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากได้ราวกับว่าเธอเพิ่งถูกทำให้อับอายที่เธอคบคนอย่างฮวงเฟิงที่มาจากบ้านที่มีฐานะยากจนเพราะในตอนนี้เขาไม่ได้แสดงอาการสนใจเธออีกต่อไป
”ฮวงเฟิงพวกเราไม่ได้ติดต่อกันเสียตั้งนาน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนล่ะ?” หวังทงทงกล่าวกับฮวงเฟิงพลางมองไปที่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ซึ่งก็ยังเป็นเสื้อผ้าราคาไม่กี่ร้อยเหรียญเช่นเดียวกับตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย แม้ว่าจะจบมหาวิทยาลัยมานานแล้วแต่สภาพของเขาก็ยังคงไม่ได้มีก้าวหน้าใด ๆ เลย และเธอก็คิดอีกว่าเธอตัดสินใจเลือกถูกและรู้สึกโชคดีที่เธอเลือกจากไปก่อน มิเช่นนั้นเธอคงต้องทนทุกข์ทรมานและอยู่กับเขาอย่างขมขื่นเป็นแน่
ตอนที่เธอคบอยู่กับฮวงเฟิงในตอนนั้นเธอรู้สึกปรับใจในความจริงใจของเขามากแต่เธอก็รู้ตัวทันทีเช่นกันว่าเธอเองนั้นไม่ได้รักเขาจริง ๆ เธอแค่รู้สึกชอบเวลามีคนอื่นเห็นคุณค่าในตัวเธอสูง แต่ฮวงเฟิงนั้นไม่สามารถเอาใจและดูแลเธอได้ตามที่เธอต้องการ ดังนั้น เมื่อมีพวกเศรษฐีมาตามตื้อเธอเข้า เธอจึงตัดสินใจทิ้งฮวงเฟิงและลาขาดจากเขาโดยไม่แม้แต่จะคิดถึงเขาอีกเลย
และฮวงเฟิงในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่เธอคาดเดาไว้นั้นก็คือเขาดูไม่เปลี่ยนไปเลยซึ่งเธอเดาว่าเขาคงมีรายได้ไม่สูงมากนัก
”พนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทแห่งหนึ่ง”ฮวงเฟิงกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบังและไม่พยายามโกหกตัวตนกับสถานะของเขาอีกด้วยว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและที่เขามาที่นี่ก็มาในฐานะของตัวแทนโรงงานซึ่งไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่สำคัญนัก
“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหรอ?”วังทงทงตะลึงในครั้งแรกที่ได้ยินแต่จากนั้นเธอก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างเหยียดหยามโดยไม่ปิดบังเช่นกันเพราะเธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างฮวงเฟิงคงจะไม่มีทางไปไกลได้กว่านี้แน่แต่เธอไม่ได้คิดว่าเขาจะตกต่ำถึงเพียงนี้
”ใช่”ฮวงเฟิงพยักหน้าตอบด้วยท่าทีที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยราวกับว่าสีหน้าที่ดูหมิ่นเหยียบหยาบของหวังทงทงไม่ได้ทำให้เขารู้แย่อะไรเลย
“ถ้าอย่างนั้นทุกสิ่งที่คุณเรียนมาในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีประโยชน์หรือ?” หวังทงทงดูเหมือนจะกังวลมากขณะที่เธอถามคำถาม ในความเป็นจริงเมื่อพวกเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหวังทงทงได้ส่งคืนทุกสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ให้กับอาจารย์ของเธอแล้วและเธอก็ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย สิ่งที่เธอคิดมาตลอดคือแต่งตัวอย่างไรจะแข่งขันอย่างไรและจะมีอารมณ์อยากเรียนรู้ที่ไหน
”มันไม่มีทางอื่นแล้วเพราะฉันต้องเลี้ยงดูครอบครั้ว”ฮวงเฟิงกล่าวซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของฮวงเขาในตอนนั้นเขาจึงได้เลือกเข้าสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อีกทั้งตอนนั้นเขาแทบไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ดังนั้นมันจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขาต้องทำ
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” หวังทงทงกล่าวขณะมองไปที่ฮวงเฟิงที่ดูท่าทางกำลังยุ่ง
”มารับสมัครงานน่ะที่โรงงานต้องการรับสมัครคน อีกอย่างไม่ค่อยมีคนว่างฉันจึงมาแทน” ฮวงเฟิงกล่าว
”แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” ฮวงเฟิงกล่าวต่อ
”ก็เหมือนนายฉันกำลังหาคนมาสมัครงานอยู่เหมือนกัน แต่ฉันไม่ต้องนั่งประจำที่นี่เพราะฉันเป็นหัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคลของบริษัท” หวังทงทงกล่าวอย่างพอใจภูมิใจ
ที่มีพนักงานประมาณ20 คนและเธอก็คิดว่าฮวงเฟิงคงเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงงานแห่งนี้ เช่นนั้น อนาคตของฮวงเฟิงจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือเขาจะหยุดเพียงแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยในโรงงานเล็ก ๆ แค่นั้นหรือ
อยู่ๆ ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมายังหวังทงทงและพูดว่า”ผู้จัดการหวังคะ มีบางอย่างที่ฉันต้องการให้คุณทำค่ะ”
”เข้าใจล่ะ”หวังทงทงพยักหน้าอย่างทะนงตนจากนั้นก็หันไปพูดกับฮวงเฟิงว่า: “ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ งั้นขอตัวก่อนนะ”
”คุณดูยุ่งเนอะ”ฮวงเฟิงพูดโดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
หวังทงทงหันกลับมาลาเขาแล้วเดินจากไปแต่ในขณะที่เธอกำลังจะเดินจากไปสายของเธอได้ไปหยุดอยู่ที่กัวเมิ่งหานที่อยู่ข้างๆ ฮวงเฟิงชั่วครู่ จากนั้นความสงสัยและความรู้สึกหึงหวงได้แสดงออกมาผ่านสีหน้าของเธอ
”ผู้หญิงคนนี้คงเป็นเพื่อนร่วมงานของนายใช่ไหมฮวงเฟิงเธอเป็นคนที่สวยมากจริง ๆ เธอคงเป็นรุ่นน้องนายสินะ?”
หวังทงทงแอบคิดร้ายอยู่ในใจเพราะเธอคิดว่ากัวเมิ่งหานคงไม่ใช่แฟนของฮวงเฟิงอย่างแน่นอนและคนอย่าฮวงเฟิงไม่มีทางที่จะมีแฟนสวยขนาดนี้ได้
แต่ในใจเธอเองก็คิดเจ็บใจและรู้สึกอิจฉาอยู่ไม่น้อยเพราะในสถานะตอนนี้ของเธอก็ไม่ต่างอะไรจากเมียน้อยและอย่างน้อยเธอคนนั้นก็มีตัวตนในสังคมไม่เหมือนกับเธอที่เธอคิดเช่นนั้นเป็นเพราะตำแหน่งที่เธอได้มาปัจจุบันนั้นเป็นผลมาจากการที่เธอเอาร่างกายของเธอเข้าแลก เช่นนั้นเธอจึงทนมองคนที่สวยกว่าเธอไม่ได้
“พี่เฟิง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอคะ?” ก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงยังไม่ได้แนะนำให้พวกเธอรู้จักกันแม้ว่าในตอนนั้นกัวเมิ่งหานจะยืนฟังพวกเขาสนทนากันอยู่ก็ตามและไม่กล้าที่จะขัดจังหวะพวกเขา
”อ่อคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยน่ะ” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างเป็นกันเอง
”เก็บเรซูเม่พวกนี้ไว้พวกเราอาจต้องใช้มันในอนาคต”ฮวงเฟิงกล่าวต่อ
ตอนนี้ในสายตาของฮวงเฟิงสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือเรซูเม่ส่วนหวังทงทงนั้นก็ไม่ได้สำคัญเท่าเรซูเม่และไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขาเลย
”ได้เลยค่ะ”กัวเมิ่งหานเก็บเรซูเม่ตามที่ฮวงเฟิงสั่ง
อย่างไรก็ตามเงินเดือนของพนักงานขายอย่างโรงงานเล็กๆ แบบนี้จะต้องมีค่าคอมมิชชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะหากพวกเขาต้องพึ่งเงินเดือนอันน้อยนิดของพวกเขาเพียงอย่างเดียว พวกเขาคงไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ดี ๆ ของโรงงานได้เลยและแน่นอนว่าถ้าขายสินค้าไม่ได้ ค่าคอมมิชชั่นก็จะไม่ได้ด้วยเช่นกัน ดังเหล่าบัณฑิตที่ฉลาด ๆ จึงไม่ค่อยสนใจสมัครโรงงานเล็ก ๆ เช่นนี้
ซึ่งมันก็เหมือนกับฮวงเฟิงที่กำลังหางานทำในตอนนั้นในตอนแรกพวกเขาก็ไม่คิดเปิดใจให้กับโรงงานพวกนี้แต่เมื่อหมดทางเลือก พวกเขาจึงไม่คิดถึงเรื่องอื่น ๆ มากเท่าใดแล้วเนื่องจาก ณ ตอนนั้นขอให้งานเป็นอันดับแรกก่อน
สำหรับคนกลุ่มนี้ฮวงเฟิงสัมภาษณ์พวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็จะดูว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติตรงกับตำแหน่งพนักงงานขายหรือไม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสิ่งจำเป็นของพนักงานขายนั้นจะต้องพูดคล่องมีคารมคมคาย หัวไวและมีบุคลิกที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อีกทั้งฮวงเฟิงมั่นใจในบริษัทรุ่ยเจี๋ยของเขาเป็นอย่างมากแต่สำหรับคนกลุ่มนี้เขายังสามารถผ่อนปรนข้อกำหนดให้อย่างเหมาะสมได้บ้าง