กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 361 พลังใหม่
”เป็นไปได้ไหมที่วิธีนี้ทำได้เพียงขกัดกำลังภายในเท่านั้นและคงไม่สามารถใช้กับพลังเวทย์ได้ มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพลังเวทย์เหล่านี้จริงหรือ “ฮวงเฟิงนึกสงสัย
เขาพยายามลองฝึกสองถึงสามครั้งแต่ก็ดูไร้ประโยชน์
”ลืมไปเถอะว่าพลังใหม่นี้จะไม่ขัดกับการฝึกวิชาลมปราณภูตอุดรถ้ามันเกิดหักล้างกันขึ้นจริง ๆ ฉันก็จะหยุด” ฮวงเฟิงคิดในใจ
ฮวงเฟิงที่ตัดสินใจได้แล้วจึงเริ่มได้เริ่มเทียบภาพแรกเพื่อฝึกวิชาลมปราณภูตอุดรเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งที่ต้วนอวี้ไม่เคยเรียนรู้ว่าและเนื่องจากเขาก็ไม่เคยฝึกกำลังภายในหรือเรียนวิชาใด ๆ มาก่อนด้วย นั่นจึงทำให้เขาเรียนเคล็ดวิชานี้ได้อย่างง่ายดาย จะเห็นได้ว่าบนผ้าแพรนี้ได้อธิบายรายละเอียดและคำอธิบายเกี่ยวกับสุดยอดเคล็ดวิชาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น มันจึงไม่เป็นเรื่องยากสำหรับฮวงเฟิงในการฝึกฝนเช่นกัน
อีกทั้งฮวงเฟิงเองก็เคยมีประสบกาณ์ในการฝึกฝนกำลังภายในมาก่อนความเร็วในการฝึกของเขาจึงไม่ได้ช้าเหมือนผู้ที่เริ่มฝึกฝน หากย้อนกลับไปดูที่ต้วนอวี้แล้ว เขาใช้เวลาในการฝึกจากภาพแรกเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนฮวงเฟิงก็ใช้เวลาไม่ช้าไปกว่าเขาเช่นกัน
หลังจากที่ฝึกภาพแรกเสร็จก็เริ่มฝึกตามภาพที่สองต่อทั้งสองรูปที่ให้มาเห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องได้รับการฝึกจากสองภาพนั้นก่อนซึ่งภาพที่หนึ่งแสดงให้เห็นถึงการดูดซับกำลังภายในส่วนอีกภาพนั้นแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนของพลังภายในเพราะหากฝึกตามเพียงภาพแรกพลังที่ดูดซับมาจะไม่สามารถนำเอาออกมาใช้ได้
เคล็ดวิชาของสำนักแปดมังกรฟ้าต้วนอวี้ได้ฝึกเพียงสองเคล็ดวิชานี้เท่านั้นเนื่องจากตัวเขาเองเดิมไม่ชอบวิชายุทธ์ของพวกโจรอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการฝึกอะไรเพิ่มอีกแต่เนื่องจากเขาได้สัญญาไว้กับพี่นางฟ้า เขาจึงได้เลือกฝึกตามแผนภาพทั้งสองเพื่อรักษาสัญญาที่เขาให้ไว้
แม้ว่าเขาจะฝึกจากแผนภาพเพียงสองชุดและทั้งสองเป็นเพียงแผนภาพพื้นฐานอีกด้วยหลังจากนั้นพลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากจนกำลังภายในของต้วนอวี้ติดอันดับหนึ่งในกลุ่มมังกรสวรรค์ของทั้งหมดด้วย
ฮวงเฟิงจึงจินตนาการออกว่าสวรรค์จะมีผลกระทบเช่นไรหากเขาสามารถฝึกแผนภาพทั้งหมดจนเสร็จสิ้น
หลังจากนั้นฮวงเฟิงก็มองไปที่วิชาท่าเท้าท่องคลื่นซึ่งเคล็ดวชานี้ไม่ง่ายเหมือนกับวิชาตัวเบา เมื่อดูจากการต่อสู้ของต้วนอวี้แล้วเห็นได้ชัดว่าตราบใดที่เขามีความเชี่ยวชาญในการใช้มัน ในระหว่างการต่อสู้อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้หรือแม้กระทั่งชายผ้าก็ไม่อาจแตะต้องได้ เช่นนั้น ฮวงเฟิงจึงชื่นชอบเคล็ดวิชาการฝึกประเภทนี้มากจนรอแทบไม่ไหวที่จะฝึกมัน
แต่เพียงแค่ดูแผนภาพและคำอธิบายของท่าเท้าท่องคลื่นฮวงเฟิงก็เริ่มปวดหัว ในแผนภาพมีรอยเท้าหลายร้อยหรือหลายพันอยู่บนแผนภาพ จากรอยเท้าหนึ่งถึงอีกรอยเท้าหนึ่งล้วนโยงลายเส้นสีเขียวโดยบนลายเส้นวาดรูปหัวธนู เพื่อให้รู้ลำดับการวางเท้า ได้ชัดว่าบนผ้าแพรนี้มีรอยก้าวเท้าสุดซับซ้อนและมีข้อความที่ลงท้ายไว้ว่า ‘พบพานศัตรูเข้มแข็ง ใช้เพื่อป้องกันตัว ค่อยสะสมลมปราณ ปลิดชีวันศัตรู’..ไอลีนโนเวล
”แปลใจความได้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง จงใช้สิ่งนี้เพื่อปกป้องตนเอง สะสมกำลังภายในให้มากขึ้นแล้วจงคร่าชีวิตศัตรูให้ได้”
ถ้อยคำเล็กๆที่ทิ้งท้ายไว้นี้มีความหมายเข้าใจง่ายประการแรกคือให้ป้องกันตนเอง นอกจากนี้ในระหว่างที่ใช้กระบวนท่านี้มันยังสามารถเพิ่มกำลังภายในให้กับตนเองได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสฆ่าอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่รอยเท้าที่ซับซ้อนเหล่านั้นฮวงเฟิงก็รู้สึกปวดหัวจนสุดจะบรรยายแต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีพระสูตรอี่ที่ต้วนอวี้ชอบศึกษาเนื่องจากเดิมทีเขาชอบศึกษาพุทธศาสตร์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงย่อมเข้าใจง่ายเป็นธรรมดา แต่กลับฮวงเฟิงแล้วมันยิ่งทำให้เขาปวดหัวเกินกว่าจะทนได้
”ช่างมันค่อยๆฝึกไปก็ได้” ฮวงเฟิงคิดในใจอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เขาก็จะต้องฝึกฝนมันให้ได้แต่แน่นอนว่าเขาคงต้องใช้เวลามากกว่าต้วนอวี้
”สงสัยจริงว่าต้วนอวี้ได้คัมภีร์ผืนนี้มาก่อนหรือหลังตอนฝึกกันแน่หากได้มามันมาทีหลัง ต้วนอวี้ก็คงไม่สามารถฝึกสองวิชานี้ได้ นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะสิ ” ขณะที่ฮวงเฟิงกำลังเก็บม้วนคัมภีร์กลับเข้าสู่แหวนมิติเขาก็นึกคิดในใจอยู่เงียบ ๆ ว่าถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดว่าจริง ๆ ตอนนี้จะมีตัวเอกถึงสองคนในหมู่มังกรสวรรค์สวรรค์ เพราะฉะนั้นเขาจึงจำต้องฆ่าต้วนอวี้ให้ได้
อย่างไรเสียเห็นได้ชัดว่าฮวงเฟิงยังไม่ทราบสถานการณ์ที่ชัดเจนในตอนนี้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เขาอยู่ตอนนี้และสิ่งที่เขาได้รับในครั้งนี้ ฮวงเฟิงรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของสำนักแปดมังกรสวรรค์ การเข้าสู่โลกยุทธภพเป็นที่ฮวงเฟิงอยากรู้อยากเห็นและอยากจะไปดู เฉียวเฟิง ยอดฝีมือในยุทธภพกับยอดสาวงามหวังอวี่เยี่ยนแต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาจนสำเร็จได้
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ฮวงเฟิงจะต้องลุกกลับไปทำหน้าที่ที่บริษัท เขาวางแผนที่จะไปกินข้าวเที่ยงที่นั้นแม้ว่าอาหารจะไม่อร่อยเท่าที่เขาทำเองก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักและที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันช่วยให้เขาประหยัดเงินได้มากเสียอีก
”คุณไม่ได้กลับมาเพราะมีวัตถุประสงค์อื่นใช่ไหม”เซี่ยเมิ่งเจียวมองไปที่ฮวงเฟิงที่กำลังกินอาหารของเขาอยู่ถามขึ้นอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามทางด้านซูหยูโม่ใบหน้าของเธอกลับมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพลางมองไปที่ฮวงเฟิง
”แน่นอนว่าไม่ไม่ใช่ว่าผมส่งโฆษกที่สนามบินเสร็จแล้วต้องกลับมาไม่ใช่หรือ? นี่นะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นและอีกอย่างนี่ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันด้วย” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างไม่อายและในเวลาเดียวกันเขาก็กินเนื้อตุ๋นน้ำแดงที่ซูหยูโม่ให้มาด้วย
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ฮวงเฟิงซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวทานอาหารด้วยกันเป็นครั้งแรก ในตอนที่ฮวงเฟิงมาถึงที่โรงอาหาร เขาก็เห็นว่าทั้งสองยังคงนั่งอยู่ ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปหาอย่างไม่ลังเลซึ่งเหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ก็คือ มาหาซูหยูโม่กับเซี่ยเมิ่งเจียวผู้ซึ่งเป็นเจ้านายของบริษัทและเมื่อผู้เป็นเจ้าหน้ามาอยู่ในโรงอาหาร แน่นอนว่าเขาก็ต้องทำหน้าที่ดูแลพวกเธอ
ทั้งซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวให้ความสำคัญกับชื่อเสียงทางสังคมเป็นอย่างมากแต่พวกเธอไม่ชอบเนื้อแบบนี้ที่พวกเธอมาอยู่ที่นี่ก็เพราะโรงอาหารยืนยันที่จะให้สิ่งนี้กับพวกเธอและตอนนี้ฮวงเฟิงได้จัดการมันไปเรียบร้อยแล้ว
”จริงหรอ?”เซี่ยเมิ่งเจียวไม่เชื่อ
ฮวงเฟิงทำได้เพียงพยักหน้าจากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยคำถามที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่นัก:”ใช่แล้ว ถังมู่เสวี่ยอยู่ไหนล่ะ กลับเมืองหลวงไปแล้วหรอ?”
”เปล่าตอนนี้เธอกำลังเตรียมพัฒนาเมืองชิงของเธอและเธอก็พบบางอย่างที่อยากทำน่ะ ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับไวน์ขาวนะ” ซูหยูโม่กล่าว
“เหล้าหรอครับ?” ฮวงเฟิงตกใจ ไม่ใช่ว่าในแหวนมิติก็มีสูตรหมักไวน์อยู่นี่ แต่ตอนนี้เขายังมีเงินไม่เพียงพอที่จะลงทุน ดังนั้น เขาจึงยังไม่ได้ผลิตอะไรที่เกี่ยวกับเหล้า หลังจากที่ขายเครื่องบำบัดน้ำเสียได้เขาจึงจะสามารถนำเงินที่ได้จากการขายมาผลิตไวน์ขาวได้แน่
”ผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่กันแน่แต่ในอนาคตผมอาจจะได้ร่วมงานกับเธอ”ฮวงเฟิงพึมพำเบา ๆ แต่คำพูดของเขาดันไปเข้าหูของซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียว ในสายตาของพวกเธอ เขาเป็นเพียงผู้จัดการด้านความปลอดภัยของบริษำท ส่วนถังมู่เสวี่ยคงเป็นไม่ได้อยู่แล้วที่เขาจะทำงานร่วมกับเธอได้