กับดักรักในรอยแค้น - ตอนที่ 640 ยากกว่าโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า / ตอนที่ 641 พูดจริงเหรอ
- Home
- กับดักรักในรอยแค้น
- ตอนที่ 640 ยากกว่าโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า / ตอนที่ 641 พูดจริงเหรอ
ตอนที่ 640 ยากกว่าโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
การกุศลเป็นชื่อเรียกที่สวยงาม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงการปิดบังผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยชื่อที่สวยงามนี้เท่านั้น ถ้ามีเงินเยอะขนาดนั้นก็สู้สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่มสักสองแห่งไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยในใจของฉู่เจียเสวียนคิดแบบนี้
“ฮ่าๆ…” เผยหนานเจวี๋ยหัวเราะออกมาน้อยๆ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความถูกต้องของการประมูลเลย และการปรากฏตัวของบริษัทเผยก็เป็นเพียงเพื่อชื่อเสียงของเขาเท่านั้น
การแสดงออกด้านความยุติธรรมของฉู่เจียเสวียน ทำให้เผยหนานเจวี๋ยคิดว่าเธอที่เป็นแบบนี้น่ารักมาก
“คุณหัวเราะอะไร” ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับรอยยิ้มที่ลึกลับของเขา
“สำหรับผมแล้วการประมูลก็เพื่อแค่ชื่อเสียงเท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับผม” เผยหนานเจวี๋ยหุบยิ้มบนใบหน้าตนเอง ก่อนจะกล่าวกับฉู่เจียเสวียนเสียงเบา
“ก็เพราะพวกนักธุรกิจแบบพวกคุณที่เพิกเฉยต่อกลไกแบบนี้ไง” ฉู่เจียเสวียนเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ในเมื่อมันเป็นการบริจาค แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีคนได้ผลประโยชน์ เด็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่ยากจนจะได้รับเงินทุนด้วย” เผยหนานเจวี๋ยกล่าวเรียบๆ
“ช่างเถอะ ฉันก็ไม่เข้าใจโลกของคนรวยจริงๆ” ฉู่เจียเสวียนไม่อยากเถียงกับเผยหนานเจวี๋ยถึงเรื่องนี้แล้ว เธอไม่ควรใส่ใจกับเรื่องนี้
ซูซานได้ยินบทสนทนาในห้องโถงก็เดินออกมาจากห้องครัว เมื่อพบว่าเผยหนานเจวี๋ยมาแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีก และทำกับข้าวเพิ่มขึ้นอีกสองสามอย่าง
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องโถง ซูซานก็ยกยิ้มตาม
ถ้าเผยหนานเจวี๋ยเป็นจุดหมายปลายทางของฉู่เจียเสวียน ตนก็จะไม่ขัดขวางไม่ให้เธออยู่กับเขา
เธอง่วนอยู่ในครัวเนิ่นนาน จนกระทั่งเมื่อทำกับข้าวจานสุดท้ายเสร็จแล้ว ฉู่เจียเสวียนก็เข้าไปในห้องครัว
“แม่ ทำกับข้าวอะไรเหรอคะ” ฉู่เจียเสวียนเดินเข้าไปในห้องครัว เอ่ยพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“กินข้าวได้แล้ว ยกกับข้าวออกไปเถอะ” ซูซานกล่าวอย่างอ่อนโยน ไม่รู้ว่าอาหารที่เธอทำนั้นจะถูกปากเผยหนานเจวี๋ยหรือเปล่า
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาบ้านของพวกเธอ
“ได้ค่ะ” ฉู่เจียเสวียนฟังแล้วพยักหน้ารับ
เธอลงมือเอากับข้าวไปวางไว้ที่โต๊ะ แต่เดิมเผยหนานเจวี๋ยขอให้ออกไปกินข้างนอก แต่ฉู่เจียเสวียนไม่ต้องการ เธอรู้สึกว่าอาหารข้างนอกนั้นไม่อร่อยเหมือนที่ซูซานทำ
หลังจากวางอาหารบนโต๊ะเรียบร้อย ฉู่เจียเสวียนก็เดินออกไปที่ห้องโถงเรียกให้เผยหนานเจวี๋ยกินข้าว
“หนานเจวี๋ย มาทานข้าวสิ ฝีมือของแม่ฉันอร่อยมากเลยนะ คุณจะต้องกินให้เยอะๆ หน่อย” ฉู่เจียเสวียนเดินเข้าไปหาเผยหนานเจวี๋ย ก่อนจะดึงมือของเขาเข้าไปยังห้องกินข้าว
เขากลับไม่รู้สึกเคอะเขินเลยสักนิด เดินอยู่ข้างฉู่เจียเสวียนด้วยสีหน้าธรรมชาติเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขามากินอยู่บ่อยๆ
เขาลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร เผยหนานเจวี๋ยรู้สึกว่าหลังจากเขาป่วยแล้ว ก็ไม่เคยได้กินข้าวอิ่มเลยสักมื้อ
หลังจากกับข้าววางเรียงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มทานข้าวที่โต๊ะอาหาร
“หนานเจี๋ย คุณกินที่มันคลีนๆ หน่อยสิ อย่ากินของมันนัก” เมื่อเห็นเผยหนานเจวี๋ยยื่นตะเกียบออกไปจะคีบหมูตุ๋น เธอก็รีบเอ่ยปากขึ้นทันที
ร่างกายของเผยหนานเจวี๋ยยังไม่หายดี หมอเคยบอกว่ากินอาหารคลีนจะดีที่สุด ห้ามกินของมันเยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก คุณน้าซูทำกับข้าวลำบากขนาดนั้น ผมจะต้องกินสักหน่อยสิ” อยู่โรงพยาบาลเขาก็กินอาหารอ่อนๆ มาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ปากของเขาก็ไร้รสชาติแล้ว
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณกินน้อยๆ หน่อย” ฉู่เจียเสวียนก็รู้ว่าช่วงนี้เผยหนานเจวี๋ยกินน้อยเกินไป บางครั้งก็ต้องการเนื้อสัตว์มาชดเชย
“หนานเจวี๋ย เธอกินเยอะๆ หน่อยนะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอชอบกินอะไร” ซูซานเอ่ยปาก น้ำเสียงเกรงใจ
“ชอบหมดเลยครับ ฝีมือของน้าซูอร่อยมากเลย” เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยปากชม เผยหนานเจวี๋ยเป็นคนเลือกกินมาก จะให้เขาชมใครนั้นยากกว่าโบยบินขึ้นสู้ท้องฟ้าเสียอีก
ตอนที่ 641 พูดจริงเหรอ
“อ๊ะ ประธานเผย เธอพูดจริงเหรอ” ซูซานเอ่ยหัวเราะเสียงเบา มองดูเผยหนานเจวี๋ยพร้อมถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“แน่นอนสิครับ” เผยหนานเจวี๋ยพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ต้องคิด
หลังจากกินข้าวเที่ยง ตอนนี้ก็ใกล้เวลาบ่ายโมงแล้ว เผยหนานเจวี๋ยกับซูซานนั่งอยู่ในห้องรับแขก รอฉู่เจียเสวียนอยู่เงียบๆ
ฉู่เจียเสวียนขึ้นไปที่ชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอนึกว่าเผยหนานเจวี๋ยจะมาถึงช้ากว่านี้ เพราะอย่างนั้นจึงใส่ชุดลำลอง ตอนนี้กำลังจะออกไปข้างนอกแล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ
ในห้องรับแขก เผยหนานเจวี๋ยนั่งอยู่กับซูซานสองคนไม่พูดไม่จา เมื่อไม่มีฉู่เจียเสวียนอยู่ด้วย รังสีเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจตนา แต่ว่าซูซานก็ยังรู้สึกถึงความเย็นเยียบนั้นได้
ซูซานนั่งอยู่ตรงหน้าเผยหนานเจวี๋ย ในมือของเธอถือนิตยสารเล่มหนึ่ง มองสำรวจเผยหนานเจวี๋ยเป็นครั้งคราว เขาก็หน้าตาดีจริงๆ แต่ว่าเย็นชาไปหน่อย
ทั้งๆ ที่ซูซานอยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยมาจากตัวเขา แต่ว่าเธอก็ยังถูกความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาทำให้รู้สึกหวาดกลัว
“น้าซูครับ” จู่ๆ เผยเอ่ยขึ้น เงยหน้ามองซูซาน
ซูซานพลันตกใจ เงยหน้ามองเขา ไม่รู้ว่าเขาเรียกเธออย่างกะทันหันเพราะเหตุใด “มีอะไรเหรอ”
“ผมจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีครับ” เผยหนานเจวี๋ยกล่าว มองซูซานด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่เคยสัญญากับใครด้วยคำพูดเหล่านี้ ซูซานเป็นคนแรก เพียงเพราะเธอเป็นแม่ของฉู่เจียเสวียน ดังนั้นเขาจึงต้องการรักครอบครัวของเธอเหมือนครอบครัวตัวเอง
“ผมรู้ว่าคุณน้าอาจไม่ค่อยวางใจนัก เมื่อก่อนผมเคยทำไม่ดีกับเธอมากจริงๆ แต่ว่าต่อจากนี้ไป เรื่องพวกนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย” ซูซานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ แม้จะได้รับคำสัญญาจากเขาและทำให้ใจของเธอสงบลงไม่น้อย
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง” ริมฝีปากของเผยหนานเจวี๋ยยกขึ้น แววตาที่มองเธอมีความมั่นใจในตัวเอง
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด เขาจะไม่ปล่อยให้ฉู่เจียเสวียนได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรอีกอย่างแน่นอน
ซูซานยิ้มออกมาแล้ว รอยยิ้มนั้นสดใสเป็นอย่างมาก “ตกลง นี่เธอพูดเองนะ ถ้าหากเธอทำให้เขาเสียใจ อย่างนั้นฉันจะไม่ยอมให้พวกเธออยู่ด้วยกันอย่างเด็ดขาด” ซูซานกล่าวเรียบๆ มองเผยหนานเจวี๋ยด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าชายผู้นี้กล้าทำให้ลูกสาวของเธอเสียใจละก็ เธอก็จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
เผยหนานเจวี๋ยพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขาได้มอบคำตอบที่ดีที่สุดให้แก่ซูซานไปแล้ว
ในเวลานี้เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างบน ฉู่เจียเสวียนเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว
เผยหนานเจวี๋ยหน้าไปมองยังบันได ดวงตาจับจ้องที่ทางออก ไม่ช้า เงาของฉู่เจียเสวียนก็ปรากฏสู่สายตาของเขา
ฉู่เจียเสวียนสวมเสื้อโค้ทตัวยาวสีเขียวอ่อน ด้านในเป็นเสื้อกันหนาวสีขาวเข้ากัน ท่อนล่างเป็นกระโปรงเข้ารูป ทำให้ขาที่เรียวยาวของเธอยิ่งเพรียวบางกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ผมหยักศกปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ใบหน้าที่งดงามนั้นมีรอยยิ้ม ดวงตาที่ดำสนิทโก่งงอเล็กน้อย ก้าวไปที่ด้านข้างของเผยหนานเจวี๋ย เธอสวยดุจนางฟ้าที่หลุดออกมาจากภาพวาด
เผยหนานเจวี๋ยมองจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าฉู่เจียเสวียนสวย แต่ว่าวันนี้เมื่อได้เห็นเธอ เธอก็สวยเกินไปแล้วจริงๆ
ระหว่างที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ฉู่เจียเสวียนก็มาอยู่ข้างกายเขาแล้ว “มองอะไรเหรอ”
เงยหน้าขึ้นก็เผชิญกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของฉู่เจียเสวียน ถ้าไม่ใช่เพราะมีซูซานอยู่ เขาต้องการที่จะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและจูบเธอสักที
“พวกเราไปกันเถอะ” เมื่อดึงสติกลับมา เผยหนานเจวี๋ยกล่าวเสียงเบา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว ถ้ายังไม่ไปอีกก็จะไม่ทันแล้ว
“ได้” ฉู่เจียเสวียนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็หมุนตัวไปมองซูซาน “แม่คะ แม่ไม่อยากไปด้วยกันจริงๆ เหรอ อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำเปล่าๆ”