การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 104
ตอนที่ 104
ภายในบ้านไม้หลังหนึ่งแสงประทีปส่องสลัวๆ มีกลุ่มคนรวมตัวกันอยู่ข้างใน บางคนนอนฟุบพักสายตาอยู่บนโต๊ะ บางคนก็นั่งชันเข่าอยู่ตามมุมห้อง
ผู้มาเยี่ยนหน้าใหม่เห็นสภาพคนในห้องปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามสบาย ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา เขาเดินไปนั่งเก้าอี้โยกด้านในสุดของห้อง
ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกก่อนหน้า ยกกล้องยาสูบขึ้นมาและบ่นพึมพํา “หน้าเสียดายที่กลิ่นยาอ่อนเกินไป”
พูดจบช่วงหน้าอกของชายคนนั้นก็พองตัวขึ้น ควันจากกล้องยาสูบถูกดูดเข้าไปเต็มปอด
ชายร่วมโต๊ะหน้าใหม่ได้ยินคําพูดเช่นนั้น ก็ยื่นมือออกไปแย่งกล้องยาสูบ “พวกเราไม่เหลือสารเสพติดที่ออกฤทธิ์ร้ายแรงอีกแล้ว ทนสูบไปเถอะ ดีกว่าไม่มี”
“มันต้องมีเหลืออยู่บ้างสิ ข้ารู้ว่าเจ้าแอบเก็บไว้ใช่ไหม ในเมื่อมีเหลืออยู่เอาออกมานิดหน่อย คงไม่เป็นไรกระมัง”
“ถ้าเจ้ายังกระสันอยากได้สารกระตุ้นอารมณ์ ระวังไว้เถอะวันไหนของหมดลงแดงขึ้นมาเจ้า จะแย่เอานะ เก็บยาที่ออกฤทธิ์ร้ายแรงไว้สูบยามหลังดีกว่า”
ชาย 2 คนผลัดเปลี่ยนกันใช้กล้องยาสูบ พื้นทางเดินกองเต็มไปด้วยกล้องยาสูบหลายสินอันและสมุนไพรนานาชนิด
คนที่อยู่ในบ้านไม้แห่งนี้ ล้วนเป็นนักเวทย์แห่งความมืดทุกคน
“เฮ้อ…น่าเบื่อจริงๆ”
พวกเขาอยากได้อะไรก็ได้ที่มันปลุกเร้าอารมณ์มากกว่านี้
ยาเสพติด เหล้า ผู้หญิง เป็นสิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของพวกเขาได้ส่วนหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป และรู้ด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป..
“สภาพคนจวนตาย เป็นยาเร้าอารมณ์ที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดจริงๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นสีหน้าน่าสังเวชของพวกมัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงพูดในลําคอของชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ทําให้คาลวินนั่งฟังอยู่เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นคนที่นอนแผ่หลาอยู่ตามมุมห้อง หรือคนที่กําลังมั่วสุมกล้องยาสูบ พวกเขามีรสนิยมและความคิดเหมือนกับชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก
เสียงพูดคุยตอบโต้ระหว่างคาลวินและชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ได้ยินก้องไปทั่วทั้งห้อง เพราะในห้องมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่คุยกัน คนอื่นๆง่วนอยู่กับกล้องยาสูบ
“เมื่อวานถึงคราวคัดเลือกเครื่องสังเวย เจ้าเห็นสีหน้าของพวกโง่นั่นไหม พวกมันร้องไห้อ้อนวอนให้ไว้ชีวิต ข้าเกือบจนน้ําตายเพราะน้ําตาเสียแล้ว”
“เจ้าจําสามีภรรยาคู่นั้นได้ไหม ฝ่ายภรรยาร้องไห้ขอร้องให้ปล่อยตัวสามี หล่อนจะตายแทน แหม่ ความรักที่มีต่อสามีช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เห็นแล้วทําให้น้ําตาของข้าคลอเบ้า”
“สงสารมากขนาดนั้น ทําไมเจ้าไม่ยอมตายแทนนางล่ะ?”
“อะไรกัน แกคิดว่าข้าควรเอาตัวเองไปปกป้องผู้หญิงโสโครกนั่นเหรอไง แล้วสําหรับเจ้าคิดว่าไง?”
“ก็เหมือนเดิม สภาพหมดอาลัยตายอยากของพวกมันเป็นยากระตุ้นอารมณ์ชั้นเลิศ”
“แกมันวิปริตเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ฮ่า ฮ่า”
“เจ้ากําลังพูดถึงตัวเองอยู่หรือไง?”
“โมรอส”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งสะใจดังกลบทุกสิ่ง กลุ่มคนที่อยู่ในบ้านคนที่อ่อนเพลียยังอดยิ้มมุมปากไม่ได้
แอ๊ด
ทันใดนั้นเองประตูห้องที่ปิดไว้พลันเปิดผาง แสงแดดทอแสงผ่านช่องประตู เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องค่อยๆซาลง แขกเหรื่อที่ไม่รู้ว่าเป็นใครถือวิสาสะเปิดประเข้ามา ทุกคนที่อยู่ในห้องตรึงสายตาไปที่คนผู้นั้น
แขกเปิดประตูแล้วเดินไปกลางห้องด้วยท่าที่องอาจ ไร้ความหวาดกลัว สายตาอัดแน่นความกล้าหาญเต็มเปี่ยมจนไปหยุดอยู่กลางห้อง..
ชายหนุ่มที่นอนอยู่ใกล้ประตูมากกว่าคนอื่น โดนแสงแดดที่ส่องลอดช่องประตูแยงตา เขาแสดงหน้าเจ้าหน้างอ
“แกเป็นใคร?”
พวกเขาทุกคนไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จัก [แขกคนนี้มาก่อน การแต่งตัวสวมใส่ชุดเกราะ ซึ่งแตกต่างจากชาวพื้นเมืองของที่นี่ บนหัวมีมังกรตัวสีแดงเกาะอยู่ด้วย
คิ้ว คิ้ว!!
มังกรแยกเขี้ยวและคํารามเสียงกระด้างใส่กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า
นักเวทย์แห่งความมืดทุกคน เริ่มโคจรพลังเวทย์ในร่างกายเตรียมพร้อมต่อสู้ เสียงคํารามของมังกร บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความเป็นปฏิปักษ์
“ไอ้ลูกหมาหลงทาง แกเป็นใครฟะ”
“ไม่ทราบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือแหล่งอาศัยของนักเวทย์แห่งความมืดหรือปาว”แขกถาม
ซูฮยอนเดินดื่มๆเข้าไปด้านในและนั่งลงบนเก้าอี้โยกที่ไม่มีใครนั่ง เอี้ยด! เอี้ยด!!
เก้าอี้โยกส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ราวกับว่าเก้าอี้ใกล้ปริแตกทุกวินาที
นักเวทย์แห่งความมืดก้มมองกริชของตัวเอง สายตาจ้องเขม็งซูฮยอนแขกไม่ได้รับเชิญ
คาลวินหนึ่งในคนนั่งร่วมโต๊ะ ตัดสินใจพูดเพื่อทําลายบรรยากาศตึงเคลียด “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นแขกหน้าใหม่ ที่พึ่งมาถึงเมืองของพวกเราเมื่อ 2-3 วันก่อน”
“อ่า…ข้านึกออกแล้ว”
“อ่อ….หมูโชคดีที่บังเอิญรอดชีวิต เทพธิดาโชคลาภปัดเป่าเคราะห์กรรม สุดท้ายก็มาถึงเมืองนี้สินะ”
“แต่แกคิดว่าตัวเองจะโชคดีได้ตลอดงั้นเหรอ?”
“เพื่อนนายพูดถูก เดี๋ยวอีกสักพักมันก็ตาย”
ซูฮยอนตรวจสอบใบหน้าของนักเวทย์แห่งความมืดที่กําลังเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจอย่างหลงละเลิง ระหว่างนั้นเขาเห็นกล่องยาสูบกองระเกะระกะอยู่เต็มพื้น แรงลมอ่อนๆทําให้กล่องยาสูบเกลือกกลิ้งไปมา
เขาก้มหัวหยิบขึ้นมาหนึ่งวัน กลิ่นเหม็นเขียวฉุนแทงจมูกทันที “ยาหลอนประสาท ยาเส้นผสมสารเสพติด อย่างงี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้ว”
“เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าพวกมันคืออะไร?”คาลวินเหวี่ยงกล่องยาสูบซ้ายทีขวาที
“ตัวยาที่อัดแน่นอยู่ในกล่องยาสูบสรรพคุณเลิศล้ํา แค่นั่งอยู่เฉยๆเจ้าสามารถลอยนับดวงดาราบนท้องนภาได้ สนใจสักแท่งไหม รับรองถอนตัวไม่ขึ้น”
“เฮ้เพื่อน แกอยากให้แขกลิ้มยาวิเศษของพวกเราหรือวะ? ของยิ่งขาดแคลนอยู่”
“ปล่อยให้มันเสพสุขไป อีกหนึ่งเดือนก็ถึงคราวตายของมัน อย่างน้อยปล่อยให้ชีวิตน้อยๆได้ เสวยสุขเป็นครั้งสุดท้าย จะเป็นไรไป”
“แกพึ่งบอกข้าอยู่หยกๆ ว่าส่วนของพวกเรายังไม่พอสูบ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่าทิ้งกกับแขก ปล่อยให้มันลองยาสัก 2-3 ครั้งและขัดขวางมันไม่ให้สูบอีก เจ้าลองจินตนาการถึงภาพมันดิ้นทุรนทุรายดูสิ เป็นสันทนาการฆ่าเวลาชั้นดีเลยไม่ใช่เหรอ”
พวกเขาพูดถ่มถุยและหัวเราะเยาะซูฮยอน
พวกเขาไม่เหลือความสงสัยหรือความกระตือรือร้นต่อแขกไม่ได้รับเชิญแม้แต่น้อย สําหรับพวกเขาซูฮยอนเป็นได้แค่เครื่องมือสร้างความบันเทิงเท่านั้น
ซูฮยอนมองไปรอบๆห้อง สังเกตสภาพแวดล้อม ภายในบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของสารเสพติดและกลิ่นเหล้า ต่อให้ไม่ใช่ผู้อัจฉริยภาพทางด้านความคิด ก็สามารถคาดเดาได้ง่ายๆว่าพวกขี้แพ้ที่มั่วสุมอยู่ที่นี่เป็นคนมีนิสัยประเภทใด
“ฉันมีเรื่องอยากถามพวกนายหลายเรื่อง “ซูฮยอน
“เหยียบถิ่นเสือ ยังแสดงสีหน้าเยือกเย็นได้อีก ไม่รู้จักประมาณตน”
“เพื่อนอย่าขึ้นเสียงสิวะ มันทําให้แขกกลัวรู้ไหม”
ซูฮยอนเมินเฉยต่อเสียงนกเสียงกา รอบข้างที่ถากถาง สายตายหันไปสนใจคาลวิน
มองปราดเดียวสามารถเดาได้ทันทีว่าชายที่ชื่อคาลวิน เป็นคนที่มีอํานาจและอิทธิพลอันดับต้นๆของที่นี่
“พวกนายรู้จักผู้อาวุโสมัลคอล์มหรือปาว?”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
“มัลคอล์ม?”
“ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? เขาพูดว่ารู้จักมัลคอล์มไหมงั้นเหรอ?”
เสียงเอะอะมะเพิ่งดังขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเสียงเอะอะแตกต่างจากตอนแรก เมื่อครู่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับซูฮยอน เต็มไปด้วยน้ําเสียงดูถูกเหยียดหยาม พอชื่อมัลคอล์มหยิบยกขึ้นมาพูด มีน้ําเสียงผสมกันระหว่างตกใจและกระวนกระวาย
“เจ้ารู้จักเขาได้ยังไง?”คาลวินนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกด้านในสุด ลุกขึ้นยืนและเอ่ยปากถาม
ซูฮยอนไม่ได้ตอบคําถามของคาลวินทันที คิ้วของเขาขมวดชนกัน
“เขาไม่ใช่เฒ่าสติเลอะเลือน แต่ว่า…”
“ผู้อาวุโสมัลคอล์ม สําหรับพวกนายเขาเป็นคนยังไง?”
“พูดอะไรของแก ทําไมข้าต้องตอบแกด้วย?”
“ไอ้ลูกหมา แกแส่…”
พลังเวทย์แพร่ออกมาจากร่างกายของซูฮยอน บรรยากาศภายในตัวบ้านเริ่มตกอยู่ใน แรงกดดัน การหายใจฝืดเคือง บ้านหลังเล็กๆทําให้ออร่าพลังเวทย์กระจายตัวได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
ตัวบ้านเริ่มสั่นสะเทือน คนอิดโรยที่กําลังงีบหลับอยู่ตามมุมต่างๆภายในบ้านตาลีตาเหลือกลุกพรวด
ปัง!!
ประตูที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ปิดลงอย่างฉับพลัน
ซูฮยอนไม่สนใจพวกปลาชิวที่โหวกเหวกโวยวายเสียงดัง สายตายังคงตรึงไว้ที่คาลวิน “พิเคราะห์จากการตอบสนองของนาย คงไม่ต้องบีบบังคับซักใช้ต่อแล้วมั่ง นายบอกฉันมาดีๆจะได้ไม่เจ็บตัว ทําไมผู้อาวุโสมัลคอล์มถึงมีเอี่ยวการวิจัยอูโรโบรอส?”
เหงื่อไคลเย็นไหลย้อยออกมาจากหน้าผากคาลวิน สายตาแข็งกร้าวมองซูฮยอน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดสายตาของซูฮยอนทําให้เรี่ยวแรงของคาลวินถูกสูบออกไป ตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ยาหลอนประสาท แต่เหมือนปัญหาจะไม่ใช่ฤทธิ์ยา
“เห่าอยู่ได้ กวนใจข้าเป็นบ้า”
“คาลวินฆ่าไอ้ลูกหมานี้เถอะ เก็บไว้ทําไมตั้งหนึ่งเดือน รกหูรกตาเปล่าๆ”
“โอ้ เป็นไอเดียที่ดี”
การตอบรับเห็นดีเห็นงามของสหายรอบตัว เป็นเหตุให้คาลอินกรีดร้องคร่ําครวญในใจ
<<พวกแกจะบ้าดีเดือดไปถึงไหน? คนที่ตายควรเป็นพวกแกมากกว่า>>
เสียงคร่ําครวญบ่นงึมงําอยู่ในลําคอ ไม่ได้เปล่งออกมา
คาลวินเม้นริมปากขึ้นลง หลิ่วตาส่งสัญญาณบอกใบ้ แต่น่าเสียดายที่สหายไม่ทันสังเกตเห็น
พวกเขาลุกขึ้นจากที่นั่ง มือหยิบอาวุธเตรียมพร้อมเชือด
“หาเหาใส่หัวเก่งจริงๆ คนเขาอุสาห์มาดี พวกนายไม่เคยได้ยินคําว่ากรรมติดจรวดยั้งเหรอ? พฤติกรรมของพวกนายจะได้รับผลตอบแทนกลับไปอย่างสาสม” ซูฮยอนลุกขึ้นจากเก้าอี้ โยกและปลดดาบออกมาจากฝักที่เหน็บไว้ข้างเอว
“ในเมื่อพวกนายเลือกนองเลือด ฉันจะเหลือผู้รอดชีวิตไว้คนเดียวพอ”
“ไอ้ลูกหมา อย่าลําพองใจให้มากนัก”
“ฆ่ามันซะ!!”
ย้ากกกก!!
ฆ่า!!!
นักเวทย์แห่งความมืดหลายสิบคนที่แยกย้ายตามมุมห้อง เคลื่อนตัวตีวงล้อมเข้าใกล้ซูฮยอน
“มิรุ”
คิ้ว!
[คุณได้รับคําอวยพรจากมังกรศักดิ์สิทธิ์)
[ความเร็วเคลื่อนที่ของคุณเพิ่มขึ้น]
[ความแข็งแกร่งของคุณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย]
[สถานะต้านทานเวทย์ของคุณเพิ่มขึ้น
[พลังเวทย์ของคุณ…]
ร่างกายซูฮยอนถูกยกระดับขึ้นอีกก้าว ทั้งความแข็งแกร่งและความว่องไว
ขณะซูฮยอนกําลังตรวจสอบสภาพร่างกาย สายตาของเขาก็สังเกตบริเวณรอบๆ เพื่อหาชัยภูมิที่ตัวเองได้เปรียบ
โซ่สีดําและบอลเพลิงสีดํากําลังพุ่งตรงมายังจุดที่ซูฮยอนอยู่ คําสาปเฉื่อยชาวิ่งเสี่ยตามพื้นด้านล่าง
ฟรีบ!!
ซูฮยอนกระโดดหลบไปด้านหลังและสะบัดดาบโจมตี คลื่นรัศมีดาบแนวนอนแผ่กว้าง ผลาญทําลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ฉั๊วะ!!
โซ่เส้นใหญ่ถูกหันขาด บอลเพลิงก็แตกกลายเป็นละอองกลางอากาศ การโจมตีที่นักเวทย์แห่งความมืดร่วมมือกัน กลายเป็นการโจมตีไร้ประโยชน์ทันตา
“ดาบ?”
“แม่งไอ้ลูกหมามันเป็นนักดาบ?”
ตอนที่เห็นซูฮยอนหยิบดาบขึ้นมาพวกเขาคิดว่าดาบเล่มเดียวจะมาต่อกรอะไรพวกเขาได้ แต่พอซูฮยอนเหวียงดาบ การโจมตีที่พวกเขาร่ายออกมาถูกทําลายหายไปจนหมด บรรดานักเวทย์แห่งความมืดที่เคยดิ์ด้า หน้าหงอยลงทุกคน ความจริงที่ประจักษ์ตรงหน้าทําให้พวกเขาตกใจตาเหลือก
ที่นี่คือเมืองของเหล่านักเวทย์โมรอส ถ้าคุณไม่ใช่นักเวทย์ การเข้ามาภายในเมื่อหมดสิทธิ์ แต่ตรงหน้าพวกเขากลับมีนักดาบหลงเข้ามาในเมืองได้ยังไง?
“พวกนายพูดว่า ฉันเป็นนักดาบงั้นเหรอ?”
ตูม!!
“อ้ากกกก!!”
ซูฮยอนดีดนิ้ว นักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนอยู่ใกล้เขาที่สุด ร่างกายมีเปลวเพลิงลุกท่วม เสียงโอดครวญร้องระงม ร่างกายชักกระแด่วๆ ล้มกลิ้งล้มหงายกลางพื้นพยายามดับเปลวเพลิง
เขาย้ายสายตาออกจากมนุษย์ไฟคลอกแล้วยิ้มแสยะ
“ในทางเทคนิค นายพูดถูก”
“วะ..เวทย์?”
“ดาบเวทย์?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน?”
นักดาบเวทย์ เป็นคําศัพท์ที่ระบุถึงบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเวทย์และด้านดาบ หรือที่ผู้คนเรียกกันว่าผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง
อย่างไรตามคําศัพท์นักดาบเวทย์สูญเสียความหมายที่แท้จริงไป จากผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงกลายเป็นผู้รู้อย่างเป็ด การฝึกฝน 2 อย่างพร้อมกัน ทําให้ไม่มีความชํานาญ ไม่มีความเสถียรภาพ ทักษะการต่อสู้อยู่กึ่งๆกลางๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านดาบหรือด้านเวทย์
ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงจึงกลายมาเป็นคําพูดหยามเกียรติ สําหรับพวกเหยาะแหยะ ไม่แตกฉานสักด้าน แต่ใจกล้าบ้าบินฝึกทั้ง 2 อย่างพร้อมกันโดยไม่คํานึกถึงขีดจํากัดตัวเอง
“แม่งเอ้ย! ช่างหัวนักดาบเวทย์ห่าเหวอะไรนั้นซะ”
“ฆ่าไอ้ลูกหมาเดี๋ยวนี้!”
นักเวทย์แห่งความมืดเริ่มมารุมมาตุ้มซูฮยอนอีกครั้ง
สายตาไร้เยื่อใยของซูฮยอนกวาดมองพวกเขาและเงยหน้าขึ้นไปพูดกับมิรุที่เกาะอยู่บนหัว “ฉันยกพวกปลาซิวด้านหลังให้นาย”
มิรุคํารามตอบด้วยน้ําเสียงแจ่มใสแสดงกิริยาท่าทางวางใจมันได้เลย วันนี้มังกรน้อยมีภาพลักษณ์ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากกว่าทุกวัน
ซูฮยอนเลิกสนใจข้างหลัง สายตาหันมาโฟกัสข้างหน้าแทน
ครืน!!
ไม่นานคลื่นสึนามิที่สรรค์สร้างขึ้นจากพลังเวทย์แห่งความมืดก็ถาโถมเข้าใส่ร่างกายของซูฮยอน
เมื่อนักเวทย์แห่งความมืดเห็นร่างกายซูฮยอนถูกดูดกลืนหายไปกับคลื่นสึนามิ พวกเขากระโดดโลนเต้นโห่ร้องออกมาอย่างเหิมใจ
“เคยบอกแล้วใช่ไหม กระตุกหนวดเสือจุดจบคือหนีไม่พ้นความตายสถานเดียว”
“วางมาดองอาจกล้าหาญ นึกว่าจะแน่ ที่ไหนได้ หมูชะมัด”
ซ่า!! ซ่า!!
พลังเวทย์แห่งความมืดสลายเป็นหมอก เงาซูฮยอนโผล่ออกมาทามกลางควันสีดํา
[กายาทรหด]
[เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอน]
“ที่การโจมตีขอพวกแกอยู่ในการคํานวณของฉันตั้งแต่แรก”
ซูฮยอนเดินแหวกหมอกควันไปหากลุ่มนักเวทย์แห่งความดด้วยท่าที่ผ่อนคลาย “น่าเสียหายที่คู่ต้องสู้ของพวกแกคือฉัน สําหรับนักเวทย์ ฉันถือเป็นปัญหาอันดับหนึ่งเลยนะจะบอกให้”
เขาไม่มีความจําเป็นต้องหลบการโจมตีที่นักเวทย์แห่งความมืดปล่อยออกมา เพราะมนต์คาถาของพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลุสถานนะต้านท้านพลังเวทย์ของซูฮยอนได้
หลังจากได้รับสถานนะต้านท้านพลังเวทย์และเสริมแกร่งด้วยเกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอนอีกหนึ่งชั้น การโจมตีด้วยมนต์คาถาของนักเวทย์แห่งความมืด จึงให้ความรู้สึกเหมือนมดกัด
“ต่อให้พวกแกกระหน่ําการโจมตีมามากกว่านี้ ฉันก็ไม่กลัว”ซูฮยอน เหลือบมองข้างหลังพลางพูดต่อว่า
“ปลาซิวปลาสร้อยข้างหลังก็ไม่ต้องถึงมือฉัน”
[ปราณมังกร]
มิรุปล่อยพ่นปราณมังกรชําระล้างนักเวทย์แห่งความมืดทุกคนที่อยู่ด้านหลัง แม้อนุภาพจะไม่รุนแรงเท่าในดันเจี้ยนระดับสําน้ําเงิน แต่มันก็เพียงพอจัดการกลุ่มนักเวทย์ที่อยู่ข้างหลังซูฮยอน
ชั่วพริบนักเวทย์แห่งความมืดครึ่งหนึ่งนอนแน่นิ่งบนพื้น คาลวินและคนที่เหลือรอด แขนขากลายเป็นอัมพาต
“ในไม่ช้าพรรคพวกคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจะรีบวิ่งกรูมาที่นี่ เจ้าแข็งแกร่งก็จริง แต่ตัวคนเดียวจะทําอะไรพวกข้าได้” คาลวินพูดข่มขู่ขณะร่างกายสั่นเกร็ง เขาทราบดีว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ ไม่มีใครต่อกรกับผู้บุกรุกได้เลยสักคน
กระนั้นกลุ่มคนที่อยู่ในห้องนี้ ไม่ใช่จํานวนที่แท้จริงของนักเวทย์แห่งความมืด
ยังมีอีกหลายคนกระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามจุดต่างๆภายในเมืองและหมู่บ้านแห่งนี้ หากซูฮยอนออกไปจากบ้านหลังนี้เมื่อไร
เขาจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนักเวทย์แห่งความมืดมากกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันหลายเท่าตัว
“เอาสิ บอกพวกเขารวบรวมคนมาให้หมด”
ฉัวะ!!
ดาบของซูฮยอนนั่นคอนักเวทย์แห่งความมืดเรียงคนตามลําดับ เหลือรอดไว้แค่คาลวินคนเดียว
“ต่อให้เกณฑ์คนมาเป็นโขยง ก็ไม่คณามือฉันหรอก”
“อวดดีเหลือเกิน
เสียงลากฝีเท้าของพวกพ้องดังเตือนสติของคาลวิน
คาลวินมองไม่เห็นว่าดาบของซูฮยอนจะเล็งไปที่เหยื่อรายไหนต่อไป เพราะซูฮยอนกวัดแกว่งดาบเร็วจนสายตามองตามไม่ทัน
ด้านนอกตัวบ้านมีนักเวทย์แห่งความมืดกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน แต่จากการสัมผัสคลื่นพลังชีวิต คาลวินคิดว่าจํานวนคนแค่หยิบมือ ไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ในห้องนี้ได้
“ข้างในเกิดอะไรขึ้น?”
“เหมือนจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นข้างใน แต่เสียงเริ่มเงียบไปแล้ว”
คาลวินได้ยินเสียงบ่นพึมพําวิเคราะห์สถานการณ์จากนอกบ้าน นักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนอยู่ด้านนอกแยกย้ายกันไปสํารวจรอบตัวบ้าน ถ้าเป็นเวลาปกติเมื่อมีกําลังเสริมมาช่วย เขาควรดีใจเฉลิมฉลองกับความโชคร้ายของศัตรู
แต่ศัตรูที่กําลังบั่นคอพวกพ้องของเขาเหมือนนั่นคอไก่ แข็งแกร่งเกินไป
<<หากก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ชะตากรรมของทุกคนที่ต้องเผชิญคือความตาย>>
คาลวินกลืนน้ําลาย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหม่า เขาต้องหาวิธีหยุดไม่ให้พวกที่อยู่ด้านนอกเข้ามาในห้องนี้
แม้ว่าหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆเย็นเฉียบจะเกาะบนหน้าผาก ตัวสั่นงกเงิน คาลวินทําใจดีสู้ เสือเปิดปากที่สั่นพะงาบถาม “เจ้าต้องการอะไรจากพวกข้ากันแน่?”
“ฉันเคยบอกไปแล้ว อย่าบอกนะว่าลืม?”
“เจ้าอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับมัลคอล์ม?”
“เรียกให้มันถูกๆหน่อย อย่าลืมเติมคําว่าผู้อาวุโสลงไปด้วย ถ้านายยังแสดงกิริยาหยาบคายอีกครั้ง ฉันจะไปถามคนอื่น”
คําพูดของซูฮยอนบอกเป็นนัยๆว่า เขาจะฆ่าคาลวินและไปถามคนอื่น
สุดท้ายคาลวินต้องยอมละทิ้งคราบผู้มีอิทธิพล หันหน้ามาใช้เจรจาสันติวิธี
คาลวินหันหน้ามองพวกพ้องที่ยังมีชีวิตรอดบริเวณใกล้เคียง จํานวนคนร่อยหรอลงกว่าตอนแรกเยอะมาก
“สําหรับตอนนี้ พวกเราควรคุยกับเงียบๆ 2 คน จะได้ไม่รบกวนสมาธิ ปล่อยให้พวกเขาออกไปด้านนอกก่อนดีไหม”
“คาลวิน!!”
“เพื่อน แกเป็นอะไรไป!”
“หุบปาก!” คาลวินตวาดเสียงดัง สายตาจ้องเขม็งไปยังนักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด กลิ่นอายแห่งความตายไหลออกมาจากร่างกายของคาลวิน
“ถ้าแกอยากตายนัก ก็เชิญไปตายคนเดียวไม่มีใครปราม แต่ข้ายังไม่อยากตายเหมือนหมาข้างถนน”
คําพูดของคาลวิน ทําให้สภาพแวดล้อมที่เคยครึกโครมหยุดชะงักลง
ทุกคนก้มหน้ามองพื้น บรรยากาศเงียบสงบราวกับการต่อสู้นองเลือดเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา คาลวินคิดว่าคําพูดของเขาอาจโน้นน้าวจิตใจของผู้คนได้ เขาเหลือบมองซูฮยอนก่อนจะหันกลับไปหาพวกพ้อง
“สําหรับตอนนี้ อนุญาตให้ข้า…”
ปัง!!
“คาลวิน ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ประตูที่ปิดไว้ตั้งนานเปิดผาง นักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนคุมเชิงด้านนอกอยู่นาน เบียดเสียดเข้ามาที่ละคน
เมื่อเข้ามาในบ้านเกิดเหตุพวก เขาพบว่าตามพื้นมีซากศพนอนแบหลาระบุหน้าตาไม่ได้ ใครเป็นใคร นอนเกลื่อนกลาด เนื้อตัวถูกไฟครอก บางคนหัวหลุดออกจากบ่า เลือดเจิ่งนองกลายเป็นบ่อเลือดขนาดย่อมๆ กําลังเสริมมาใหม่แสดงสีหน้าตระหนกตกใจทุกคน
“เกิดเภทภัยอะไรขึ้นกันแน่? ทําไมถึงมีสภาพเละตุ้มเป๊ะแบบนี้?”
“อย่าบอกนะว่าคนที่นอนกองอยู่บนพื้น พวกเขาตายหมดแล้ว?”
นักเวทย์แห่งความมืดหลายสิบคน ย้ายสายตามองไปมาระหว่างซูฮยอนและคาลวิน
ผ่านไปได้สักพักมีบางคนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ผู้รอดชีวิตภายในห้องมีอัปกิริยาขี้ขลาดตาขาว แผ่นหลังสั่นระรัวเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง คนไหวพริบดีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทั้งหมดยักไหล่และกล่าวว่า
“สายเกินไป พวกเขากลับบ้านเก่าหมดแล้ว”