การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 107
ตอนที่ 107
นักเวทย์แห่งความมืดจํานวนหนึ่งกระจุกอยู่ในห้องรับแขกสุดหรูหราภายในคฤหาสน์โอฬาร ซูฮยอนและโรมันนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ภายในคฤหาสน์แห่งนี้โรมันเป็นหัวเรือใหญ่ของนักเวทย์แห่งความมืดทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะลงหลักปักฐานในเมืองโมรอส โรมันเคยเป็นถึงอดีตตัวตั้งตัวตี เพราะฉะนั้นเขาจึงมีอํานาจมากที่สุดในกลุ่ม
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่านายจะเป็นผู้นําของที่นี่ เห็นที่อนาคตของเหล่านักเวทย์แห่งความมืดจะมีแต่ความมืดมน ไม่มีทางสว่างรุ่งโรจน์ได้”
ในสายตาของซูฮยอน โรมันไม่มีคุณสมบัติกลายเป็นผู้นําที่ยิ่งใหญ่ได้
“ตะ…แต่ว่าในหมู่พวกเรา ผู้นําโรมันค่อนข้างลือชื่อ พวกเราผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา สามารถเดินเตร่ได้ทั่วเมืองอย่างอกผายไหล่ฝั่ง”
“รู้ไหม ถ้าพวกนายไปบ้านเป็นของฉัน พลังและทักษะอันน้อยนิดของพวกนาย จะทําอะไรหรือไปไหนมาไหนตามใจชอบไม่ได้หรอกนะ พวกนายเป็นได้แค่หมูในอวยเท่านั้น” ซูฮยอนพูด
“น้องชาย บ้านเกิดของเจ้าอยู่แห่งหนใด?”โรมมันถามซูฮยอน
ปัง!!
ซูฮยอนเขกหัวโรมมัน
“น้องชาย? นายกําลังหยอกเย้าฉันหรือไง นายเป็นพี่ชายฉันตั้งแต่ตอนไหน?”
“เอ่อ…”
โรมันกรอกตาซ้ายทีขวาที เขารีบปรับเปรียบบริบทใหม่ ถ้ายังดึงดันเรียกอีกฝ่ายว่าน้องชายต่อไปอีกละก็ มีหวังโดนมากกว่าเขกหัวแน่
ซูฮยอนชําเลืองมองโรมมันและนักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลัง
“ระดับพลังของพวกเขาส่วนใหญ่ค่อนข้างต่ํา แปลกมากที่เมืองโมรอสถูกเรียกขานว่าเป็นเมืองแห่งนักเวทย์”
กลุ่มนักเวทย์แห่งความืดที่ซอยอนเคยปะทะในหมู่บ้านก่อนหน้า มีพลังอ่อนแอกว่านักเวทย์แห่งความมืดในคฤหาสน์
โรมันและนักเวทย์แห่งความมืดคนอื่นๆ ที่ควรแข็งแกร่งกว่ากลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดในหมู่บ้าน กลับกลายเป็นว่าระดับพลังของพวกเขาไม่ได้ต่างกันมาก เรียกได้ว่าไล่เลี่ยกัน
หากนักเวทย์แห่งความมืดของหมู่บ้านด้านล่างอยู่ระดับ D ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์จะ อยู่ระดับ C เป็นอย่างต่ํา
“คนที่พวกเขายกย่องให้เป็นผู้นําคงอยู่ระดับ B’ ซูฮยอนวิเคราะห์ขณะสายตามองโรมัน
“พวกเขาไม่ใช่นักเวทย์แห่งความมืดกลุ่มสุดท้าย ไม่แน่บางที อาจมีเสือซ่อนเล็บหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักที”
“ก่อนอื่น ฉันขอถามอะไรนายสักอย่างสิ” ซูฮยอนพูด
“ดะได้ครับ โปรดถามมาได้เลย”
โรมันตอบกลับอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อมแกมประหม่า เขารู้สึกกระวนกระวายใจเกี่ยวกับความอยู่รอดของตัวเองเป็นที่สุด
ภาพที่อยู่ตรงหน้า มองแล้วให้ความรู้สึกน่าสมเพช แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ว่าทําไมโรมันถึงแสดงกิริยาประหม่าออกมา เพราะซูฮยอนฆ่านักเวทย์แห่งความมืดที่หมู่บ้านด้านล่างโดยไม่กระพริบตา
“อีกประมาณหนึ่งเดือนนับจากนี้ ฉันจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับเจ้าอูโรโบรอสใช่ไหม?”
“เอ่อคือว่า…”
“ไม่ต้องพายเรือในอ่าง ก่อนมาที่นี่ฉันรวบรวมข้อมูลทุกอย่างมาหมดแล้ว ดังนั้นอย่าพยายามปิดบังหรือโกหก”
“ถูกต้อง เจ้าเป็นเหยื่อที่พวกเราเพ่งเล็งไว้”
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมีมติเป็นเอกฉันท์ คนที่จะกลายเป็นเครื่องสังเวย ตัวเลือกอันดับแรกคือ อาคันตุกะ พลเมืองที่อาศัยอยู่มาเนิ่นนานเป็นตัวเลือกสุดท้าย
กล่าวจบโรมันหลับตาปี
“หากเขาเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาและกวัดแกว่งดาบ ข้าคงหนีความตายไม่พ้น”
อย่างไรก็ตามการตอบสนองของอีกฝ่าย กลับไม่เหมือนในจินตนาการของโรมัน
“ดี ดีมาก”ซูฮยอนพยักหน้าขึ้นลงราวกับว่าพอใจกับคําตอบ
“คําถามตอบไป อูโรโบรอสรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลาเขมือบเครื่องสังเวย?”
“ทะ..ทําไมเจ้าถึงอยากรู้?”โรมันเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆและเริ่มคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปจากการไต่สวนครั้งนี้ได้ไหม
ซูฮยอนถลึงตามองหน้าโรมันด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม “ฉันถาม นายมีหน้าที่แค่ตอบ เรื่องง่ายๆแค่นี้หวังว่านายคงเข้าใจ”
“คะ..ครับ!”
“ตอบคําถามมาได้แล้ว”
“นักเวทย์แห่งความมืดที่อาศัยอยู่กลางใจเมืองเป็นผู้ควบคุมอูโรโบรอส พออูโรโบรอสกินเครื่องสังเวยที่พวกเรากําหนดจนอิ่มหนําสําราญ มันก็จะว่ายกลับไปจําศีลใต้ก้นมหาสมุทรเหมือนเดิม”
“วิธีเรียกอูโรโบรอสให้โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทร มีแค่วิธีที่กล่าวมานี้ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ มีแค่วิธีนี้เท่านั้น”โรมันตอบด้วยน้ําเสียงกระท่อนกระแทนพลางสังเกตอารมณ์ซูฮยอน
โรมันข้องใจว่าซูฮยอนจะอยากรู้ไปทําไม คําถามส่วนใหญ่ไม่ได้ถามเกี่ยวกับนักเวทย์แห่งความมืด แต่ซูฮยอนถามเกี่ยวกับอูโรโบรอสมากกว่า
“อย่างนี้เอง”ซูฮยอนพูด
“หืม?”
“คนที่สามารถควบคุมอูโรโบรอสได้ อาศัยอยู่ใหน?”
หลังจากได้ยินคําถาม ใบหน้าของโรมันซีดเผือกลงทันควัน
ซูฮยอนกระหยิ่มยิ้มย่องให้โรมันแล้วพูดว่า “ช่วยนาทางฉันไปหาพวกเขาได้หรือป่าว”
“เอ๊ะ ชายคนนั้น โรมันไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ผิดแน่ ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?”
“แล้วคนข้างๆเขาเป็นใคร ดูไม่เหมือนนักเวทย์แห่งความมืดเลยสักนิด”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายมาก่อน”
สายตาของนักเวทย์ที่กําลังสัญจรผ่านไปผ่านมามองพินิจโรมันขึ้นลง โรมันก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบสายตาพวกเขาตรงๆ หากข่าวลือแพร่สะพัดออกไป ว่ามีคนแปลกหน้าเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับโรมัน แถมโรมันยังแสดงอากัปกิริยาถ่อมตนต่ออีกฝ่าย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ให้ตายเถอะ ข้าทําบ้าอะไรอยู่ เดิมที่ข้าควรจัดการอีกฝ่ายสิถึงจะถูก ไหงข้าถึงกลายมาเป็นมัคคุเทศก์ได้ล่ะเนี่ย?”
อย่างไรก็ตามจุดมุ่งหมายที่พวกเขากําลังไปเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกก็ไม่ผิดนัก สําหรับซูฮยอน นักเวทย์แห่งความมืดมองอีกฝ่ายว่าเป็นผู้หลบหนี แต่เขาก็ยังยืนกรานจะไปถ้ําเสือด้วยตนเอง ซึ่งข้างในเต็มไปด้วยนักเวทย์แห่งความมืดที่ทรงพลัง
“คอยดูเถอะ ไปถึงที่นั่นเมื่อไหร่ไอ้เวรนี้ไม่รอดแน่”
โรมันเชื่อมั่นสุดหัวใจ สถานที่ที่พวกเขากําลังมุ่งหน้าไป มีนักเวทย์แห่งความมืดที่เก่งกาจหลายคนอาศัยอยู่ หนึ่งในนั้นต้องมีสักคนที่สามารถสั่งสอนซูฮยอนให้เข็ดหลาบได้
“จริงสิ ข้าจะห้ามพวกเขาไม่ให้พลั้งฆ่าซูฮยอน แต่จะทําให้เขาเป็นอมตะไม่มีวันตาย ข้าจะทารุณกรรมเขาให้เหมือนตกนรกทั้งเป็น ล้างสมองฝึกให้เขากลายเป็นทาสที่จงรักภักดี โรมันคิดกับตัวเองเงียบๆ รอยยิ้มวิปริตปรากฏขึ้นบนใบหน้า
โป๊ก!!
“โอ้ย!!”
โรมันรีบหันหลังกลับฉับพลัน บริเวณหลังหัวรู้สึกปวดตุบๆ สมองสั่นสะเทือน เนื่องจากกกําปั้นของซูฮยอนเขกเต็มเหนี่ยว
“มีอะไรผิดปกติหรือครับท่าน?”
“นายกําลังคิดแผนมิดีมิร้ายแทงข้างหลังฉันใช่ไหม?”
“อะไรนะ? อย่ากล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐาน คนอยากข้าเนี่ยนะกล้าแผนชั่วลับหลังเอาไว้ ไม่มีทาง”
“ช่างเถอะ นายมีหน้าที่นําทางก็พอ อย่าให้รู้นะว่าคิดตุกติก”
สิ้นคําพูดซูฮยอน โรมันปิดปากเงียบรีบเร่งฝีเท้าไปยังจุดหมาย ไม่นานพวกเขาก็เจอหอคอยสูงลิบตาตั้งอยู่ใจกลางเมือง
“ถึงแล้วครับ”
ซูฮยอนแหงนมองหอคอย หอคอยทรงกระบอกเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในเมืองโมรอส กะจากสายตาโครงสร้างหอคอยมีความสูงประมาณ 200-300 เมตร ที่สําคัญมันยังเป็นสิ่งปลูกสร้างเพียงหนึ่งเดียว ที่สูงกว่ากําแพงล้อมเมือง
“หอคอยแห่งนี้อาจไม่ใช่ของนักเวทย์แห่งความมืดตั้งแต่ต้น”ซูฮยอนวิเคราะห์
“ถ้าเดาไม่ผิด การที่พวกเขาควบคุมจัดสรรเมืองโมรอสได้อย่างเฉียบขาด เพราะพวกเขาชักใยอูโรโบรอส หอคอยที่เด่นสะดุดตาแห่งนี้คงเป็นผลพวงจากพลังของอูโรโบรอส”
ครื่น!!
โรมันยกมือสัมผัสประตูเบาๆ ไม่นานประตูก็ค่อยๆอ้าออก ดูเหมือนว่าประตูเข้าสู่หอคอยจะมีกลไกบางอย่างแอบซ่อนไว้และการเปิดมันต้องใช้พลังเวทย์เป็นตัวขับเคลื่อน
“เข้าไปข้างในเถอะ”โรมันพูด
พวกเขาก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกัน ชั้นแรกเป็นห้องโถงโล่งๆว่างเปล่า ซูฮยอนมองซ้ายมองขวา สังเกตสภาพสิ่งปลูกสร้าง นอกจากความเงียบ ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
โรมันพูด “นักเวทย์แห่งความืดมากกว่าร้อยคนอาศัยอยู่ที่นี่ มีเพียงข้าและอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกหอคอยแห่งนี้ได้”
“มีคนเป็นร้อยอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้”
“พวกเขาทั้งหมดเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง นักเวทย์มากความสามารถหลายคน มีนิสัยชอบพักอาศัยอยู่บนที่สูงๆ ดังนั้นชั้นที่หนึ่งจึงว่างเปล่า ชั้นที่สูงขึ้นไปคือชั้นที่พวกเขาจับจอง”
“งั้นเหรอ…ถ้าพวกเขาไม่ต่างจากนายมาก ฉันคงผิดหวังเป็นแน่”
คําพูดของซูฮยอนทําให้สีหน้าของโรมันหมองคล้ํา แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มออกมาแล้วกล่าวต่อ
“เมื่อเทียบกับนักเวทย์ที่อาศัยอยู่ในหอคอยแห่งนี้ ตัวตนของข้าเป็นได้แค่นักเวทย์ระดับปลายแถว”
“จริงเหรอ?”
“เจ้าจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่าง เมื่อเจ้าพบพวกเขาด้วยตาตัวเอง”
คําพูดของโรมันดูมีเลศนัยแอบแฝง แต่ซูฮยอนไม่เก็บมาใส่ใจ หน้าที่ของโรมันคือมัคคุเทศก์นําทางซูฮยอนให้ไปถึงจุดหมาย และโรมันก็ทําหน้าที่สําเร็จเรียบร้อย
ดังนั้นการเผชิญหน้ากับนักเวทย์แห่งความมืดระดับสูง คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
เอี๊ยดอ๊าด!!
พวกเขายืนอยู่ตรงกลางชั้นที่หนึ่ง ซึ่งตรงหน้ามีปล่องว่างๆตั้งอยู่ ยืนรอไม่นานแท่นหินปริศนาเลื่อนจากด้านบนสู่ด้านล่าง พอก้าวเข้าไปด้านในโรมันผลักปุ่มที่ทําจากหิน แท่นหินสว่างเจิดจ้าขึ้นก่อนรูดขึ้นไปด้านบน ดูเหมือนเจ้าแท่นหินจะทํางานคล้ายๆกับลิฟต์ขนส่งในปัจจุบัน
การขึ้นชั้นบนโดยที่ไม่ต้องไต่บันไดให้เปลืองแรง นับว่าสะดวกสบายกว่าสิ่งปลุกสร้างที่อยู่ในเมืองโมรอสทุกแห่ง ซูฮยอนเชื่อว่าคนที่สร้างหอคอยขึ้น ต้องผ่านความบากบั่นมาไม่ใช่น้อย
เอี้ยด!!
แท่นหินขยับขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็วและไม่นานก็หยุดชะงัก โรมันและซูฮยอนมาถึงชั้นบนสุดของหอคอย สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาคือประตูบานใหญ่ตั้งอยู่ตรงข้ามพวกเขา
เอี้ยด!!
ระหว่างที่พวกเขากําลังเดินเข้าใกล้ประตูความสูงราว 5 เมตร จู่ๆมันก็เปิดต้อนรับซูฮยอนอัตโนมัติ กลิ่นอายของประตูเหมือนกําลังเชื้อเชิญให้เข้าไป ซูฮยอนเดินเข้าไปด้านในโดยปราศจากความลังเล
ห้องชั้นบนสุดแตกต่างจากห้องชั้นอื่นๆ เพราะมันเป็นห้องโล่งๆ อากาศถ่ายเทสะดวก ตรงกลางมีโต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่
“เขากล้ามาจริงด้วย”
“เขาไม่กลัวเลยเหรอ? อาจหาญใช่ได้”
“เขาเป็นคนลงมือฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้านล่างสินะ?”
“เขาเด็กกว่าที่ฉันคิดไว้อีก”
บนโต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่ มีนักเวทย์แห่งความมืดหลายคนนั่งประจําที่ แต่ละคนมีความแข็งแกร่งสูสีกัน ออร่าที่ปล่อยออกมาเข้มข้นจนโรมันเทียบไม่ติด
จากที่ซูฮยอนสัมผัสมีบางคนแข็งแกร่งถึงระดับ A อย่างที่โรมันเคยบอกไว้ นักเวทย์แห่งความมืดที่ทรงพลังรวมตัวอยู่ในหอคอยหมดทุกคน
“จะพูดอะไรก็พูด ฉันไม่สนใจคําพูดของขยะสังคมหรอก”ดวงตาของซูฮยอนกวาดมองนักเวทย์แห่งความมืดชายชราที่เท้าคางอยู่บนโต๊ะ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ซูฮยอนดึงเก้าอี้ที่วางอยู่ออกมาแล้วหย่อนก้นนั่ง
นักเวทย์แห่งความมืดหลายคนเขม่นมองซูฮยอนด้วยสายตาแข็งกร้าว หลังจากถูกอีกฝ่ายด่าทอว่าเป็นขยะสังคม
อย่างไรก็ตามเมื่อนักเวทย์แห่งความมืดชายชรายกมือขึ้น ทุกคนที่จ้องมองซูฮยอนด้วยสายตาสาปแช่งก็ละสายตากลับมา
“ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสได้พบกัน”
“คุณมีระดับแตกต่างจากคนอื่นๆพอทําเนา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าได้ยินเรื่องเล่าหลายเรื่องเกี่ยวกับเจ้า จนเกิดความสงสัย แต่พอเจอตัวจริง เจ้าดีกว่าเกณฑ์ที่ข้ากําหนดไว้”
ล่วงเลยมาประมาณ 1 วัน หลังจากซูฮยอนก่อเหตุสังหารหมู่นักเวทย์แห่งความมืดที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้านล่าง และดูเหมือนข่าววีรกรรมของซูฮยอนจะแพร่งพรายมาถึงหูนักเวทย์แห่งความมืดในหอคอยเป็นที่เรียบร้อย
ตามปกติน้อยมากที่กลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดจะนัดรวมพลกัน แต่ครั้งนี้เป็นกรณีฉุกเฉินและเร่งด่วน หลายคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องเพราะการมาเยือนของซูฮยอน
“เจ้าหนุ่มต้องการอะไร ลมอะไรพัดเข้ามาที่นี่?” นักเวทย์แห่งความมืดชายชราถาม
“ไม่รู้เป็นเพราะอายุเยอะหรือป่าว คุณดูแตกต่างจากคนอื่นๆ คุณพยามเสวนามากกว่าการลงมือ”
“งั้นเหรอ การเสวนาเป็นพื้นฐานส่งมอบความรู้และความรู้สึกให้กันและกัน ผู้ชายก็เปรียบเหมือนสัตว์ประเภทหนึ่ง ถ้าขาดการเสวนาคงไม่สามารถเจริญวัยได้”
“คุณช่างเป็นสัตว์ที่น่าสรรเสริญจริงๆ”
ซูฮยอนพูดกระแหนะกระแหน นักเวทย์แห่งความมืดคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกัน ทนฟังทัศนคติของอีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไป บางคนทุกโต๊ะดังปังและลุกขึ้นตวาดเสียงแข็งกระด้าง
“ท่าน!! ปล่อยให้มันดูหมิ่นจาบจ้วงซึ่งๆหน้าได้เยี่ยงไร”
“ใช่ พวกเราควรหักแขน หักขา แล้วโยนมันออกไปจากที่นี่”
“นั่งลง” นักเวทย์แห่งความมืดชายชราถมื่นทิ้งพินิจมองนักเวทย์คนอื่นๆที่กระเด้งตัวลุกขึ้นออกจากเก้าอี้
“จะกลับลงไปนั่งดีๆ หรือจะให้ข้าหักขาพวกเจ้า”
“ขะ..ขออภัยท่าน”
นักเวทย์แห่งความมืดยอมถ่อยแต่โดยดี พวกเขานั่งที่ตัวเองเหมือนเดิม ขณะภายในใจพยายามดับอารมณ์ที่กําลังพลุ่งพล่าน
นักเวทย์แห่งความมืดชายชราสํารวจอิริยาบถของคนอื่นๆสักพัก ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับซูฮยอนและยิ้มย่อง
“ขอโทษเรื่องเมื่อครู่ด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา ฮ่าฮ่าฮ่า”
“สําเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล คุณควรสั่งสอนมารยาทให้พวกเขามั่งนะ”
“ไม่ต้องห่วงข้าจะฝึกอบรมพวกเขาภายหลัง” นักเวทย์แห่งความมืดชายชรากล่าวและพยักหน้า
“เข้าเรื่องของพวกเราดีกว่า เจ้าต้องการอะไร? ลองกล่าวออกมา หากมันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าจะช่วย”
“มีเรื่องอยากขอร้อง ซึ่งมันคงไม่ยากสําหรับคุณ ช่วยเรียกอูโรโบรอสออกมาจากก้นมหาสมุทรได้หรือป่าว”เมื่อได้ยินคําขอของซูฮยอน ดวงตาของนักเวทย์แห่งความมืดหรี่ลง
“เจ้าจดจ่ออยู่กับอูโรโบรอสเหนือเกิน”
“แน่นอน ไม่งั้นฉันจะมาหาพวกคุณทําไม”
“เจ้าตั้งใจจะทําอะไร? ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่ได้ถามเพราะอยากเห็นตัวจริงของอูโรโบรอส แต่ที่เจ้าไหว้วานข้าให้เรียกอูโรโบรอสขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเจ้าจะจับอูโรโบรอส?”
“โอ้ รู้ความตั้งใจผมด้วยงั้นเหรอ จะบอกว่าจับก็ไม่เชิงเรียกว่าพิชิตเหมาะสมกว่า” ซูฮยอนพูด
นักเวทย์แห่งความมืดชายชราจ้องลึกลงไปในดวงตาของซูฮยอน แม้คําตอบของซูอยอนจะฟังดูน่าขบขัน แต่แววตาของซูอยอนเหมือนจะไม่ใช้คําพูดล้อเล่น
“พิชิตอูโรโบรอสงั้นเหรอ” นักเวทย์แห่งความมืดชายชราบ่นพึมพํา
ในเมืองโมรอส อูโรโบรองเปรียบเสมือนนักบุญอุปถัมภ์ ทําหน้าที่ค่อยคําจุนปกป้องเหล่านักเวทย์แห่งความมืด ภายในเมืองแห่งนี้ นักเวทย์แห่งความมืดถือว่ามีจํานวนน้อยมาก
การที่พวกเขาสามารถแย่งชิงเมืองโมรอสมาอยู่ในอาณัติของพวกเขาได้ ความสําเร็จส่วนใหญ่มาจากความน่าเกรงขามของอูโรโบรอส
แต่ตอนนี้ จุดประสงค์ของซูอยอนคือการพิชิตสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาประคบประหงมดูแลอย่างดิบดี หากซูฮยอนพิชิตได้สําเร็จ อํานาจภายในมือของนักเวทย์แห่งความมืดจะถดถอยลง
“จะเกิดอะไรขึ้น หากข้าบอกปัดคําขอของเจ้า?”นักเวทย์แห่งความมืดชายชราพูดพลางหลับตา
ซูฮยอนลุกพรวดจากเก้าอี้และพูดด้วยน้ําเสียงอํามหิต “ถ้าปฏิเสธ ชะตากรรมของทุกคนจะหนีไม่พ้นความม้วยมรณา”
วุป!!!
พลังเวทย์ของซูฮยอนแพร่กระจายปกคลุมทั่วห้องอย่างรวดเร็ว