การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 112
ตอนที่ 112
เนตรที่สามปรากฏขึ้นกลางหน้าผากซูฮยอน
ดวงตาที่กําลังแง้มอยู่กลางหน้าผากมีลักษณะคล้ายๆดวงตาของงู ตามร่างกายของซูฮยอนมีเกล็ดที่แตกต่างจากอิมกิโผล่ขึ้นมาเคลือบผิวหนัง ความรู้สึกที่สามารถไขว่คว้าทุกอย่างรอบตัวได้เฉียบคมมากขึ้น อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวซูฮยอนสามารถรับรู้ผ่านผิวหนังได้ทั้งหมด
ไม่ใช่แค่งที่กําลังดิ้นพล่านบนพื้นเท่านั้น แม้แต่เสียงลมหายใจแผ่วเบาจากนอกร่างกายอูโรโบรอส เขายังได้ยินชัดเจน
<<ฉันคิดว่าสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ไม่ใช่เวลามานั่งทดสอบคุณลักษณะใหม่>>
ตามจริงการทดสอบคุณลักษณะใหม่ที่ได้รับจากสกิลจําแลง ควรเป็นสิ่งที่ทําภายหลัง
สิ่งที่ควรให้ความสําคัญมากที่สุดของตอนนี้คือ ร่างกายของซูฮยอนที่มีความคล้ายคลึงกับอูโรโบรอสชั่วครู่ผ่านการใช้สกิล
ดาบที่กําลังดูดซับพลังของอูโรโบรอสสั่นสะเทือนอย่างเกรี้ยวกราด ไม่ยอมหยุดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน อย่างน้อยในที่สุดซูฮยอนก็เริ่มมั่นใจว่าร่างกายของตัวเองเริ่มตอบรับพลังงานของอูโรโบรอส ทั้งความเร็วและการดูดซับมีความเสถียรภาพมากขึ้น
เมื่อร่างกายไม่ปฏิเสธพลังงานของอูโรโบรอสไหลพรากเข้าสู่ร่างกายของซูฮยอนอย่างต่อเนื่อง
“ จากนี้ไป…”
ซูฮยอนกระชับดาบในมือแน่นขึ้น เขาวางแผนเอาไว้ในใจว่าตัวเองจะไม่ยอมปล่อยให้มันมีชีวิต
“ฉันคือมาสเตอร์ของแก”
[ปัจจัยเวทย์เพิ่มขึ้น 1 จุด]
แร้งและมัลคอล์มนั่งหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครปริปาก นั่งนิ่งเงียบกริบราวกับว่าพวกเขาต้องการเวลาตัดสินใจ
มัลคอล์มก้มมองหนังสือที่แจ้งยื่นให้ เขาไม่มีกระจิตกระใจเปิดอ่านเนื้อหาในหนังสือ
“ว่าไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการเวลากลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก?”
หลังจากนิ่งเงียบมาหลายนาที แร้งคาดคั้นคําตอบจากมัลคอล์ม แต่อีกฝ่ายทําท่าทางหูทวนลม เมินเฉยต่อคําถาม แสร้งทําเป็นไม่ได้ยินขณะยกมือสัมผัสปกหนังสือ
นักเวทย์แห่งความมืดคนหนึ่งไม่อาจเฝ้าดูสถานการณ์อึดอัดได้อีกต่อไป เขาจึงปริปากพูด “ท่านครับ พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริงๆรึ?”
ตามปกติเขาไม่มีทางแสดงกิริยาไร้มารยาทต่อหน้ามัลคอล์ม แต่บุคคลเจ้าปัญหาเป็นเพื่อนเก่าของแร้ง ซึ่งนักเวทย์แห่งความมืดก็พึ่งทราบความจริงวันนี้เช่นกัน ดังนั้นทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อมัลคอล์มจึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
“เฮ้อ เหมือนจะไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความสามารถที่แท้จริงของเพื่อนข้าเลยสินะ” แร้งตอบ
“พวกเราทราบดี เขามีหน้าที่สําคัญในการอัญเชิญอูโรโบรอส แต่ว่า…”
“ไม่ใช่ว่าเขามีหน้าที่สําคัญต่ออูโรโบรอสเท่านั้น แต่เพื่อนของข้าเคยพิสูจน์ความสามารถออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ เจ้าและข้านั่งอยู่บนโต๊ะเฉยๆรอรับประทานอาหารจากงานเลี้ยงก็พอ”
หลังจากได้ยินคําพูดของแร้ง นักเวทย์แห่งความมืดทุกคนปิดปากเงียบ คําพูดของแร้งถูกต้องทุกประการ ปัจจุบันนักเวทย์แห่งความมืดทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะไปไหนก็มีแต่คนเคารพยําเกรง
คําพูดแค่ไม่มีคําของแร้งสามารถบ่งบอกได้เลยว่ามัลคอล์มมีความรู้เพียงใด
“ข้าคิดว่า ข้าคงต้องขอปฏิเสธ
“แต่มัลคอล์ม…”
“อย่าพยายามโน้มน้าวข้า ข้ากลัวว่าการตัดสินใจของข้า อาจนําภัยพิบัติมาสู่โมรอสอีกหน…”
มัลคอล์มกล่าวขณะนิ้วไร้เรี่ยวแรงขยิ้มมุมหนังสือยับ “หากข้าลงมือปฏิบัติ ข้าคงไม่มีหน้าไปพบลูกชายตัวเอง”
“น่าเสียดาย “
แร้งกล่าวตอบสั้นๆและลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาไม่ได้ดึงหนังสือออกมาจากมือมัลคอล์ม
“ข้าทิ้งหนังสือเล่มนั้นให้เจ้า โปรดพิจารณาดูให้ถี่ถ้วน หากเจ้าเกิดเปลี่ยนใจด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เจ้าสามารถไปพบข้าที่หอคอยกลางเมืองได้ตลอดเวลา”
“เจ้าอย่าเสียเวลารอข้าเลย”
“ข้าให้เวลาเจ้ากลับไปคิดทบทวน 10 วัน ถ้าภายใน 10 วันยังไร้การตอบกลับ…”
โฮกกกกกกก
ขณะที่แรงลังเลว่าจะกล่าวอะไรต่อ หูของเขาก็ได้ยินเสียงคํารามของอูโรโบรอส
โฮกกกกกก!!
ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่เสียงคําราม
แต่มันเป็น
“เสียงโหยหวน?”
เป็นไปไม่ได้! เพื่อความแน่ใจเขาต้องยืนยันให้เห็นกับตา แร้งชม้อยตามองมัลคอล์มเพื่อสังเกตอากัปกิริยา สีหน้าของมัลคอล์มก็ไม่ต่างจากเขามากนัก ขนาดคนที่มีความรู้เกี่ยวกับอูโรโบรอสมากกว่าคนอื่นก็ยังไม่เชื่อหูตัวเอง สัตว์อสูรใหญ่โตตัวนั้นกรีดร้องโหยหวนออกมาเป็นด้วย
“ท่านครับ มัน…”
“ไปเถอะ ไปตรวจสอบกัน” แร้งหันใบหน้าซีดเผือกไปทางมัลคอล์มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “เจ้าอยากไปกับพวกข้าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคําชักชวน มัลคอล์มครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตกลง
ไม่รู้ทําไมใบหน้าซูฮยอน ถึงเด้งขึ้นมาในหัวของมัลคอล์ม
ของเหลวร้อนจี้หยดกระทบใบหน้าซูฮยอน
ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดออกด้วยตัวมันเอง สิ่งแรกที่ซูฮยอนมองเห็นคือเปลือกตากำลังสั่นระริก การมองเห็นพร่ามัวและเลือนลาง
คิ้ว!
เสียงร้องมิรุกระตุ้นให้ซูฮยอนตื่นตัว ซูฮยอนยันร่างกายลุกขึ้นและเดินไปหาต้นตอเสียงเขา เอื้อมมือลูบหลังมังกรน้อยที่กําลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น
<<ฉันหมดสติไปงั้นเหรอ? >>
ทันทีที่ผลของสกิลอมตะหมดฤทธิ์ พลังงานทั้งหมดในร่างกายหายฮวบไปกะทันหัน ทําให้สติของซูฮยอนวูบลงโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาในตอนนี้ไม่สามารถรวบรวมพลังในร่างกายได้เลย ไม่สิพูดให้ถูกร่างกายของเขาปฏิเสธการเคลื่อนไหวมากกว่า เขาไม่มีอารมณ์ทําอะไรทั้งสิ้น นอกจากอารมณ์อยากนอนพักอยู่เฉยๆ
“เยี่ยมมากเจ้าลูกชาย”
คิ้ว!!
ซูฮยอนลูบหลังมิรุที่กําลังนอนราบอยู่บนพื้น
โจมตีด้วย [ปราณมังกร] 3 ครั้งติด
เด็กคนนี้เคยใช้ [ปราณมังกร] ติดกัน 2 ครั้ง ถัดจากนั้นสภาพร่างกายของเขาราวกับคนกําลัง ขาดใจตาย ซูฮยอนคาดเดาไม่ออก ว่าเจ้ามังกรน้อยปล่อยการโจมตี [ปราณมังกร] ครั้งที่ 3 ออกมาได้อย่างไร
แสดงว่ามิรุเริ่มเติบโตขึ้นอีกนิดแล้วสินะ หมายความว่าการโจมตีด้วย [ปราณมังกร] ครั้งที่ 3 ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ตอนนี้ซูฮยอนรู้สึกภาคภูมิใจและเบิกบานเป็นที่สุด อย่างไรก็ตามทั้งเขาและมิรุไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นานนัก
“อึก”
เขาลองขยับแขนที่สั่นเทาและสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งบางส่วนเริ่มกลับคืนสู่ร่างกายทีละน้อย
ซูฮยอนลุกขึ้นยืน สายตาของเขามองเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจนขึ้น เมื่อสติของเขาฟื้นฟูกลับมา การมองเห็นที่เคยพร่ามัวจึงหายเป็นปกติ
จุดที่ซูฮยอนเคยนอนหมดสติ มีสภาพเสียหายยับเยิน หลังจากลองสํารวจบริเวณใกล้เคียง เขาเห็นว่างูหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโคลนิ่งของอูโรโบรอสนอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น พวกมันนอนแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกมันตายหมดทุกตัว
<<ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะรอดมาได้>>
เหตุการณ์ที่ผ่านเรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด
หากเขายืดเวลาทําลายหัวใจช้ากว่านี้และไม่สามารถดูดซับพลังงานได้อย่างหมดจด ฝ่ายที่นอนแน่นิ่งราวกับซากศพควรเป็นเขามากกว่า
แต่ในอีกนัยหนึ่งเขาได้ทดสอบประสิทธิภาพของสกิลอมตะอย่างหนาใจ
<<สุดท้ายเหมือนฉันจะทําสําเร็จจริงๆสินะ?>>
เขาไม่ได้ยินเสียงประกาศรายงานผลลัพธ์หลังจากพิชิตอูโรโบรอสได้สําเร็จ เป็นที่แน่ชัดว่าอูโรโบรอสไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการทดสอบ
แน่นอนเนื้อหาที่ยังค้างคา ซูฮยอนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอะไร จุดประสงค์ของการทดสอบอย่างที่ซูฮยอนเคยคาดเดาไว้ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใด
<<สเตตัส>>
[ชื่อ : คิมซูฮยอน]
[ปัจจัยเวทย์ : 81] [ระดับเวทย์ : 8]
[ความแข็งแกร่ง : 83] [ความเร็ว : 89]
[สุขภาพ : 78] [สะท้อน : 91]
[สกิล : กระโดด *รายละเอียด]
[สกิล : จําแลง *รายละเอียด]
[สกิล : เพลิงพิโรธ]
[ความเหนื่อยล้า : 55]
หลังจากยืนยันสเตตัสของตัวเอง ซูฮยอนแทบอยากปล่อยโฮออกมาด้วยความเกษมศานต์โดยที่ตัวเองไม่อาจหักห้ามใจ
ปากของซูฮยอนเปิดอ้าได้ครึ่งทาง หุบกลับไปเหมือนเดิม คํายินดีที่กําลังพรั่งพรูออกมากลืนกลับลงคอ เพราะเขาไม่ต้องการปลุกมิรุจากห้วงนิทรา
[ปัจจัยเวทย์ : 81]
[ระดับเวทย์ : 8]
ตัวเลขของปัจจัยเวทย์ในที่สุดก็ขึ้นเลข 8 แม้แต่ระดับเวทย์ก็ขึ้นเลข 8 ด้วยเช่นกัน
ความจริงตัวเลขดังกล่าวขัดหลักเหตุและผลมากที่สุด ถ้าเขาปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ เขายังมั่นใจว่าตัวเองสามารถยกระดับพลังเวทย์ได้ แต่ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี
เป็นเพราะซูฮยอนดูดซับพลังงานของอูโรโบรอส ทําให้เขายกระดับขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลารอนานถึงครึ่งปี บอกให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อ
ซูฮยอนยื่นมือออกไปด้านหน้า ในเวลาเดียวกันพลังเวทย์ที่เขาดูดซับมาจากอูโรโบรอสก็เริ่มหมุนวนบนฝ่ามือ
ฝ่ามือของเขารู้สึกแสบร้อนราวกับถูกไฟคลอก เขาย่นคิ้วเป็นปมและหยุดการโคจรพลังเวทย์
พลังเวทย์ที่ซูฮยอนดูดซับอูโรโบรอสกําลังแสดงความประสงค์ร้ายออกมา เขาดูดซับพวกมันได้สําเร็จก็จริง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ได้หลอมรวมพวกมันให้เข้ากันอย่างสมบูรณ์
<<พลังเวทย์สองประเภทที่แตกต่างกัน ปฏิเสธการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวและพยายามแยกตัวเป็นเอกราช ฉันไม่เคยได้ยินปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนเลยแฮะ>>
เมื่อใดก็ตามที่ซูฮยอนพยายามโคจรพลังเวทย์ที่ดูดซับมาจากอูโรโบรอสปริมาณหนึ่ง พลังเวทย์ของอูโรโบรอสพยายามดิ้นพล่านปฏิเสธการควบคุมของซูฮยอน ท่าทางพลังใหม่จะไม่ยอมรับเขาเป็นนายของมัน
<<ในเร็วๆนี้ฉันคงต้องหาวิธีอะไรบางอย่างจัดการกับมัน>>
ปัญหานี้ ไม่ใช่ว่าซูฮยอนคิดแก้ปัญหาไม่ออก ซูฮยอนเดินห่างออกมาจากจุดเดิมเล็กน้อยและเปิดใช้งานคุณลักษณะใหม่ที่พึ่งได้รับมาสดๆร้อนๆ
[เนตรที่สาม]
ดวงตาคล้ายงูเปิดขึ้นกลางหน้าผากซูฮยอน
ระหว่างเนตรที่สามเปิดค้างไว้ ซูฮยอนรู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสเฉียบคมขึ้น เสียงทุกอย่างและการคงอยู่รอบตัวเขาสามารถรับรู้ได้ทั้งหมด ราวกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาของตัวเอง แม้พื้นที่มืดมิดมองไม่เห็นเส้นทาง ในกรอบสายตาของซูฮยอนกลับมองเห็นสว่างจ้า
<< นี่คือดวงตาของงงั้นเหรอ? >>
แม้ลักษณะจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง แต่ซูฮยอนสามารถเปิดปิดใหม่ได้อีกครั้งตามต้องการ
ไม่หมดเพียงแค่นั้น ยังมีความสามารถที่ซูฮยอนตื่นเต้นไป หลังจากเนตรที่สามเปิดขึ้น นอกจา กเนตรที่สามจะช่วยให้ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบคมขึ้นแล้ว
เนื่องจากคุณลักษณะดูดซับมาจากอูโรโบรอสโดยตรง การเปิดเนตรที่สามทําให้ซูฮยอนดูดซึม พลังของงูยักษ์ด้วยตัวเองอย่างราบรื่น
เพราะอะไรกัน? หรือว่า
พลังเวทย์ที่เคยแสดงปฏิกิริยาเกรี้ยวกราดเริ่มกลับมาสงบลง ตอนนี้พวกมันทําตัวราวกับว่าไม่แน่ใจว่าตกลงซูฮยอนเป็นมิตรหรือศัตรู
<<ฉันคิดว่า สามารถอดทนต่อความเกรี้ยวกราดของมันได้หากเปิดใช้เนตรที่สาม>>
เขาได้ครอบครองพลังอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งถูกต้องหากซูฮยอนต้องรับมือต่อพลังใหม่อย่างยากลําบาก ทว่าสุดท้ายต่อให้เขาไม่พึ่งคุณลักษณะของอูโรโบรอส ซูฮยอนมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของตัวเองถูกยกระดับขึ้น
ระดับพลังเวทย์ 8
ซูฮยอนตระหนักเป็นอย่างดีว่าระดับพลังเวทย์ 8 มีระดับการทําลายล้างรุนแรงแค่ไหน เพราะในอดีตเขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
<<สําหรับตอนนี้ >>
ซูฮยอนบิดเนตรที่สามกลางหน้าผาก เขาก้มตัวลงไปอุ้มมิรุที่นอนราบอยู่บนพื้นและวางไว้บน
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
“เรื่องจริงงั้นรี”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
เมื่อนักเวทย์แห่งความมืดมาถึงบริเวณริมทะเล พวกเขามองสํารวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก่อนแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
ภาพตรงหน้าที่ปรากฏต่อสายตา ริมทะเลที่เคยสวยงาม หาดทรายสีขาว บัดนี้ถูกทําลายพังพินาศ จนจําไม่ได้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีหาดทรายอยู่จริงเหรอ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจ ซากศพอูโรโบรอสนอนนิ่งอยู่บนพื้น สายตาของพวกเขาเบิกโพลง ไม่เชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า
“มะ มันตายแล้ว?”
“มันหยุดหายใจ…”
“ใช่เหรอ มันจําศีลอยู่หรือป่าว?”
พวกเขาไม่เต็มใจยอมรับและไม่อยากคิดว่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นตายไปแล้ว
แม้บนตัวของอุโรโบรอสจะปรากฏรอยบาดแผลหลายจุดมองเห็นด้วยตาเปล่าก็ตาม เมื่อลองเทียบกับสัดส่วนขนาดตัวอูโรโบรอส มองยังไงก็ไม่น่าอันตรายถึงชีวิต
ดังนั้นจึงไม่แปลกทําไมพวกเขาถึงคิดว่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นกําลังนอนจําศีลอยู่ มากกว่านอนตาย
น่าเสียดายความฝันของพวกเขาต้องพังครืนลง เพราะสิ่งมีชีวิตตรงหน้าไม่มีลมหายใจเข้าออก เหมือนอย่างปกติ แถมดวงตาขนาดใหญ่ยังขุ่นมัว สภาพภายนอกของมันใกล้เคียงกับคําว่าซากศพ
“แปลกมาก ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”มัลคอล์มแสดงสีหน้าตะลึงงันไม่ต่างกับคนหมู่มาก
แน่นอนการแสดงออกทางสีหน้าของมัลคอล์มแตกต่างจากคนอื่นๆเล็กน้อย การดับสูญของอูโรโบรอส จากมุมมองมัลคอล์มควรมีการจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่
หากถามว่าทําไมมัลคอล์มต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาด้วย เพราะภาพที่ปรากฏตรงหน้ามันยากต่อการยอมรับ
“ไอ้ระยํานั้น ไม่มีทาง…”
ใบหน้าของแร้งที่มีรอยเหี่ยวย่นอยู่แล้ว เหี่ยวย่นหนักกว่าเดิมเหมือนกระดาษถูกขยําทิ้ง
ซึ่งต่างกับสีหน้ามัลคอล์ม เขาเริ่มทําความเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพซูฮยอนที่กระตือรือร้นอยากจัดการอูโรโบรอสให้ได้ ฉายขึ้นมาในหัวของเขาเต็มไปหมด
“มัลคอล์ม ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่เจ้าปรารถนามาตลอดทั้งชีวิตใช่หรือไม่?”แร้งถาม
“เจ้าหมายความว่าไง?”
“อาคันตุกะของเจ้าลงมือสังหารอูโรโบรอส ข้าเลยถามเจ้าว่าสมใจอยากแล้วสิท่า”
คําพูดที่แฝงไปด้วยความฉุนเฉียวของแร้ง เป็นเหตุให้การแสดงออกของมัลคอล์มตกอยู่ในอาการสับสนวุ่นวาย เขาไม่เข้าใจว่าคนที่แจ้งหมายถึงเป็นใคร
<<อาคันตุกะของข้า เขาพูดถึงใคร?…>>
ไม่นานใบหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งผุดขึ้นมาในความคิดของมัลคอล์ม
“คิมซูฮยอน?”
แขกผู้มาเยือนเมืองโมรอสรอบล่าสุด มีชื่อแปลกๆฟังแล้วไม่เข้าเค้ากับชนพื้นเมือง
มัลคอล์มนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ซึ่งหายไปไหนก็ไม่ทราบ เขาพยายามหาร่องรอยของอีกฝ่ายเป็นเวลานาน แต่ก็ไร้วี่แวว
“มันชื่อคิมซูฮยอนงั้นรึ?”
ใบหน้าถมื่นทิ้งของแร้งจับจ้องไปที่มัลคอล์ม หลังจากนั้นไม่นานออร่าพลังแสนน่าเกรงขามอัดแน่นไปด้วยเจตนาการฆ่าฟันก็ปล่อยออกมาจากตัวของแร้ง
มัลคอล์มโดนแรงกดดันบีบบังคับถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าแสดงอาการหวาดหวั่นออกมา
แม้พวกเขาทั้งคู่จะเริ่มร่ําเรียนศาสตร์มืดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่มัลคอล์มหยุดฝึกฝนไปกลางคัน จึงไม่มีทางที่เขาจะต้านทานออร่าของแร้งได้
“ในเมื่อเด็กนรกที่เรียกว่าคิมซูฮยอนหายหัวไป งั้นก็…”
แร้งขบฟันและยื่นมือไปทางมัลคอล์ม “คนที่ต้องรับผิดชอบและชดใช้ความผิด คงหนีไม่พ้นเจ้า”
“ฮะฮ่า ฮ่า ฮ่า”
มัลคอล์มเลิกขยับถอยหลังและหัวเราะเยาะให้ตัวเอง
เขามองเห็นร่างมหึมาของอูโรโบรอส นอนแน่นิ่งเป็นซากศพอยู่เบื้องหลังของแร้ง ที่แรกเขายังไม่เชื่อ สิ่งมีชีวิตใหญ่ยักษ์ตัวนี้จะมีคนสังหารมันได้ แต่พอเห็นแร้งระเบิดอารมณ์เกรี้ยวโกรธออกมา ทําให้ปรากฏข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าอูโรโบรอสถึงคราวปาณนาศแล้วจริงๆ
“ขอบคุณ”
ช่วงเวลาแห่งความตายรออยู่ตรงหน้า แต่มัลคอล์มยังมีท่าที่ผ่อนคลาย
ทุกเมื่อเชื่อวันเขาคิดมาตลอดว่าจะสิ้นชีวาเมื่อใด เขาขาดเหตุผลในการดําเนินชีวิต แต่ตัวตนของอูโรโบรอสเหนี่ยวรั้งเขาไว้ หากอูโรโบรอสเกิดอาระวาดขึ้นมาคนที่ยับยั้งมันได้คงมีแต่เขาคนเดียว
และตอนนี้บ่วงที่มัลคอล์มคอยพะวงได้คลายออก
<<ในสุดข้าก็สามารถจากไปได้อย่างหมดห่วงเสียที>>
ขณะที่มัลคอล์มหลับตาและรอให้แร้งจบชีวิต…
“แกคิดจะทําอะไร?”
ทันใดนั้นเอง เสียงของมนุษย์พลันดังออกมาจากปากขนาดใหญ่ของอูโรโบรอสที่นอนเกยอยู่บนพื้น
“แนะนําให้หดมือกลับไปดีกว่า ไม่งั้น… “