การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 122
ตอนที่ 122
แสงสว่างวูบวาบของมวลสารเวทย์ที่กําลังพุ่งตรงปะทะร่างกายซูฮยอน จู่ๆก็เกิดปฏิกิริยาบิดเบี้ยว ก่อนค่อยๆเลือนหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
โคลท์แมนและบรรดานักเวทย์ทั้งหลายเชื่อเต็มอก การโจมมีครั้งนี้อีกฝ่ายไม่มีทางหลบหรือป้องกันได้แน่นอน แต่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทําให้พวกเขาสับสนมึนงง
“อะไรกัน? บอลเวทย์หายไปได้ยังไง?”
“อย่าบอกนะว่าเมื่อก็คือ การ [ยกเลิก] พลังเวทย์?”
“ต่อให้มันเป็น การ [ยกเลิก] พลังเวทย์ จริงๆก็เถอะ แต่ทําไมถึงเร็วอย่างนี้ ?”
เคล็ดวิชา [ยกเลิก] พลังเวทย์ สามารถวิเคราะห์โครงสร้างพลังเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามและลบล้างพลังเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ยากเย็น
อย่างไรก็ตาม การใช้ [ยกเลิก] พลังเวทย์ ในสถานการณ์จริงไม่ง่ายเหมือนคําอธิบายในตําราที่คุณเคยร่ำเรียน ยิ่งพลังเวทย์ที่คุณต้องการลบล้างมีอานุภาพสูงสงมากเพียงใด การ [ยกเลิก] พลังเวทย์ของคุณก็ยากขึ้นตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
การโจมตีด้วยพลังเวทย์เมื่อครู นักเวทย์ของจักรวรรดิมากกว่าหนึ่งร้อยคนร่วมใจร่ายคาถารวมไว้ในจุดเดียวกัน อานุภาพของมันไม่จําเป็นต้องกล่าวถึง
ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนเพียงคนเดียวสามารถ [ยกเลิก] พลังเวทย์ ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
<<ไม่สิ มันไม่เหมือนการ [ยกเลิก] พลังเวทย์>>
บิลเตอร์ นักเวทย์ที่ทางจักรวรรดิภาคภูมิใจและเป็นหัวหน้ากองรบเวทย์ เริ่มขยับเท้าก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
<<ตาดวงนั้น…>>
ครอบครองความสามารถมากแค่ไหนกันแน่?
หลังจากซูฮยอนทําลายการโจมตีพลังเวทย์ได้สําเร็จ เขาขมวดคิ้วเป็นปม เนตรที่สามค่อยๆหุบลง
“รู้สึกเวียนหัวหน่อยๆเหมือนกันแฮะ”
อีกหนึ่งความสามารถที่มีอยู่ในเนตรที่สามคือการลบล้าง ซึ่งมันเป็นความสามารถที่โกงสุดๆ เหนือกว่าความคิดที่ซูฮยอนคิดไว้เสียอีก การลบล้างพลังเวทย์แต่ละครั้ง ต้องแลกมากับพลังเวทย์ในร่างกายและความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขา
สกิลที่มีผลสามารถยกเลิกการโจมตีพลังเวทย์ของอีกฝ่ายให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในปัจจุบันก็พอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่มักมีข้อจํากัดผูกมัดเสมอ เช่น การยกเลิกพลังเวทย์ฝ่ายตรงข้ามอํานาจพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ต้องไม่เหนือไปกว่าตัวผู้ใช้สกิล หากฝ่ายตรงข้ามมีพลังมากกว่าการยกเลิกพลังเวทย์อาจไร้ผล หรือไม่ ก็ใช้เวลานานกว่าปกติถึงจะสามารถยกเลิกได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น [เนตรที่สาม – ลบล้าง] ไม่มีข้อจํากัดดังกล่าวข้างต้นผูกมัด
[การลบล้างพลังเวทย์มีขอบเขตจํากัดและประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับผู้ใช้] หมายความว่า หากอยากรีดความสามารถออกมาถึงขีดสุด ผู้ใช้ต้องอาศัยความพากเพียรและมีจิตใจมุ่งมัน..
<<การลบล้างพลังเวทย์ที่ผ่านมา กิน แรงกาย แรงใจ ของฉันไปเยอะกว่าที่คิดอีกแฮะ>>
ซูฮยอนยิ้มมุมปาก
<<ไม่เลว พอใช้ได้>>
คําว่า “ไม่เลว” คือคําอธิบายสั้นๆและมีความกระชับมากที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูฮยอนได้สัมผัสกับตัวเองในวันนี้ คุณลักษณะใหม่ของเขาดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ ในบรรดาคุณลักษณะที่ซูฮยอนเคยครอบครอง สําหรับเขาคุณลักษณะใหม่ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 1
หากซูฮยอนไม่มีสกิลจําแลง เขาคงสํารวจไม่หมดและไม่รู้ว่าคุณลักษณะใหม่มีอะไรพิเศษบ้าง
<<ถือว่าการตัดสินใจเปลี่ยนคุณลักษณะใหม่ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง>>
อาการวิงเวียนศีรษะคงอยู่เพียงหนึ่งหรือสองวินาทีเท่านั้น ไม่นานซูฮยอนก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง เขาเลิกสนใจสภาพร่างกายตัวเอง และหันไปสนใจการโจมตีเวทย์ระลอกใหม่ที่กําลังบินสู่มาตามลม เป้าหมายคือตัวเขา
[กายาทรหด]
[เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอน]
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังสนั่นเกิดขึ้นบริเวณจุดที่ซูฮยอนยืนอยู่ เปลวไฟสีแดงลุกโชติแผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า
เมื่อเห็นว่าการโจมตีระลอกใหม่เข้าเป้าหมายเต็มเปา โคลท์แมนและบิลเตอร์ต่างพากันแสดงสีหน้าลิงโลดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
การโจมตีเมื่อสักครู่ทรงอานุภาพเป็นที่สุด หากโดนเข้าไปมากสุดคือเสียชีวิตคาที่ น้อยที่สุดคือบาดเจ็บสาหัส กลุ่มคนของจักรวรรดิเชื่อกันแบบนั้น
แต่น่าเสียดายความเชื่อของพวกเขาเป็นอันต้องพังครืน
“พวกนายทําให้ฉันประหลาดใจอีกแล้ว”ร่างกายของซูฮยอนเดินฝาออกจากเปลวไฟที่กําลังร้อนระอุ
เขายกมือปัดเศษฝุ่นเกรอะกรังที่กระจายเต็มชุดเกราะและพูดขึ้นว่า “พวกนายนี้มันไร้มนุษยธรรมจริงๆ ไม่รู้หรือไงว่าห้ามโจมตีคนที่กําลังใช้ความคิด”
“ผะ..ผีหลอก…”
“ได้ไงกัน?”
การโจมตีของพวกเขาไม่มีวันพลาดเป้า แต่ความจริงตรงหน้ากลับกลายเป็นว่าการโจมตีของพวกเขาใช้ไม่ได้ผล ไม่ใช่แค่ชุดเกราะเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย กระทั่งผิวหนังชั้นนอกที่ไร้การป้องกัน ก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆเลย นอกจากแสงสว่างสีแดงเรืองแสงออกมาจากผิวหนัง
ซูฮยอนกําหมัดแล้วซกไปข้างหน้า 2-3 ครั้ง เขาสัมผัสได้ว่ามีคลื่นความร้อนแทรกซึมออกมาจากชั้นผิวหนัง
<<เนตรที่สามสามารถลบล้างพลังเวทย์ได้ก็จริง แต่มันต้านทานพลังเวทย์ไม่ได้>>
เพราะซูฮยอนตั้งความหวังเอาไว้สูง เมื่อไม่สมหวังความเสียใจจึงเริ่มเอ่อล้มออกมา
แม้ว่าเนตรที่สามจะไม่สามารถต้านทานพลังเวทย์ได้ แต่ซูฮยอนก็มีไอเทมหลายอย่างชดเชยข้อด้อยนั้น ยกตัวอย่างเช่น เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอน และไอเทมต้านทานพลังเวทย์อีกสารพัดที่ซูฮยอนพกติดตัวเอาไว้
เมื่อยืนยันความสามารถของคุณลักษณะครบถ้วน การออมมือจึงไม่จําเป็นอีกต่อไป..
“ถ้างั้น ต่อไปก็…”
[เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
ดวงตากลางหน้าผากของซูฮยอนที่พึ่งหุบลง เปิดขึ้นใหม่อีกครั้งและมองสํารวจรอบโคลอสเซียม
“หอมปากหอมคอมานาน ระหว่างพวกนายและฉันรีบจัดการทุกอย่างให้จบกันดีกว่า”
โฮกกกกกก!!
ทันใดนั้นมอนสเตอร์ที่แทะซากศพของผู้ฝึกมอนสเตอร์จนหมดไม่เหลือแม้แต่กระดูก ก็พากันพร้อมใจคํารามเสียงดัง สะท้อนทั่วโคลอสเซียม
หลังจากนั้นไม่นาน
“อ๊ากกกกก!!!”
ใจกลางสนามประลองของโคลอสเซียมก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังตามมาติดๆ
ตุบ!!
ข้อต่อระหว่างโซ่กับรูกุญแจถูกตัดขาดออกจากกัน โซ่ตรวนที่พันธนาการข้อเท้าของชายคนนั้นเอาไว้ จึงใช้มือกระชากโซ่ออกอย่างง่ายดาย
“ขอบคุณท่านมาก”
“หลังจากหนีออกไปจากที่นี่ อย่าได้คิดหันหลังกลับมาเด็ดขาด ถ้าเป็นไปได้ จงหนีกลับไปประเทศบ้านเกิดของนายจะดีกว่า” ซูฮยอนพูด
ชายผู้เป็นอิสระบีบนวดบริเวณข้อมือและข้อเท้าที่ปวดเมื่อยและตอบกลับว่า “ข้าก็อยากทําตามคําพูดของเจ้าอยู่หรอก แต่ข้าจะออกจากที่นี่ยังไง…”
“นายไม่ต้องพะวงเรื่องนั้น นายสามารถวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ได้สบายหายห่วง”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงกัน? เจ้าก็รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหนตอนนี้”
“เมื่อนายออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวก็รู้เอง”
เมื่อได้ยินคําพูดตอบกลับของซูฮยอน ชายคนนั้นเอียงศีรษะลงไปด้านซ้ายเล็กน้อยและแสดงสีหน้าสับสนออกมา ชายคนนั้นทําใจดีสู้เสือพลางเดินไปข้างนอกด้วยท่าทางละล้าละลัง
ชายคนนั้นยังคงเคลือบแคลงคําพูดของซูฮยอน แต่เมื่อก้าวออกมาจากห้องกุมขัง เขาก็กระจ่างแจ้งคําที่ซูฮยอนพูดไว้หมายถึงอะไร
<<อืม…คนนี้ใช่เชลยศึกคนสุดท้ายหรือป่าวนะ?>>
ซูฮยอนบ่นรําพึงออกมาแล้วล้มฟุบนั่งลงไปบนพื้น
ตามจริงการทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ยากมาก ถ้าเขาลงมือเต็มเหนี่ยวตั้งแต่ต้น ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเคลียร์ได้ แต่เพราะเขาต้องการทดสอบประสิทธิภาพของ [เนตรที่สาม] ซูฮยอนจึงยื้อเวลาออกไป และด้วยเหตุนี้ทําให้ร่างกายของเขาเหนื่อยมากกว่าจากเดิมหลายเท่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายของซูฮยอนยังปรับตัวเข้ากับพลังของอูโรโบรอสได้ไม่เต็มที่
<<ฉันไม่ปฏิเสธว่าผลลัพธ์ของเนตรที่สามดีกว่าที่คิดไว้ แต่ถ้าฉันอยากควบคุมมันให้ได้ดั่งใจนึก คงต้องใช้เวลาพอสมควร>>
พลังเวทย์ที่ดูดซับมาจากอูโรโบรอสมีความเสถียรมากกว่าตอนแรกพอควร ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้หมายความว่าซูฮยอนจะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ทุกครั้งที่ซูฮยอนเรียกใช้คุณลักษณอูโรโบรอส ร่างกายของเขาต้องแบกรับภาระหนักเอาการไม่ว่าจะเป็นพลังเวทย์หรือความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ ซึ่งอาการที่แสดงออกมาทั้งหมด หมายความว่า หากเขาต้องการควบคุมมันให้อยู่หมัด เขาต้องฝืนบังคับร่างกายให้เคยชินไปกับมัน เปรียบเสมือนว่าพลังนั้นอยู่ในร่างกายของเขามาตั้งแต่กําเนิด
<<ไม่รู้ว่าฉันจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับมัน ก่อนสงครามแก่งแย่งอันดับหรือป่าว?>>
เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จวนจะถึงกําหนดงานอีเว้นท์ สงครามแก่งแย่งอันดับ
กอร์ดอนโรฮันผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S สัญชาติอเมริกาได้ทําการจัดงานอีเว้นท์ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ สงครามแก่งแย่งอันดับ
ถ้าเป็นไปได้ซูฮยอนอยากควบคุม เนตรที่สาม และ พลังเวทย์ของอูโรโบรอสที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายให้ชํานิชํานาญตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนงานอีเว้นท์จะถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
<<ไม่มีอุปสรรคใด สามารถรั้งฉันได้>>
ซูฮยอนพูดปลุกใจตัวเองพลางกําหมัดแน่น
งานอีเว้นท์ที่กําลังจัดขึ้น คนปกติอาจมองว่าเป็นเรื่องบันเทิงและเกมเชื่อมสายสัมพันธ์ทั่วไป แต่หารู้ไม่ สงครามแก่งแย่งอันดับที่กอร์ดอนโรฮันคะยั้นคะยอจัดขึ้นให้ได้ มีเป้าหมายซ่อนเร้นเอาไว้ และเมื่อสงครามแก่งแย่งอันดับยุติลง จะก่อเกิดพายุลูกใหญ่ซัดโหมกระหน่ำไปทั่วโลก
ประเทศมหาอํานาจที่ครอบครองผู้ตื่นขึ้นเก่งที่สุดในโลกรายใหม่จะถืออุบัติขึ้นจากงานสงครามแก่งแย่งอันดับครั้งนี้ ขณะเดียวกันประเทศที่เคยเป็นมหาอํานาจจะกลายเป็นตะวันลับฟ้าแทนและเป้าหมายของซูฮยอนคือปรารถนาอยากเป็นพายุลูกนั้น
<<เพื่ออนาคตจะมัวแต่อึดอาดไม่ได้>>
ซูฮยอนกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนจากพื้น ทุกครั้งที่เขารู้สึกตัวหลังจากปล่อยให้จิตใต้สํานึกดําดิ่งลึกลงไปในห้วงความคิด เขามักนึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองปล่อยให้เวลาอันมีค่าสูญเปล่าไป
[คุณได้รับคะแนนความสําเร็จ 200,000 คะแนน]
[คุณบรรลุความสําเร็จระดับสูงสุด]
[คุณเคลียร์การทดสอบชั้นที่ 31 ได้อย่างสมบูรณ์]
[กําลังประเมินอันดับความสําเร็จ]
[คุณได้อันดับ 1]
[…]
“ลุยชั้นถัดไปต่อเลยก็แล้วกัน”
ร่างกายของซูฮยอนเริ่มพร่ามัว ก่อนอันตรธานหายไปจากโลกชั้นที่ 31
****************
ปี 2021
โลกมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
-คุณคิดจริงๆหรือว่าอัตราการเกิดดันเจี้ยนในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ? และจํานวนผู้ตื่นขึ้นล่ะ? เพิ่มขึ้นตามดันเจี้ยนหรือป่าว? หากนําไปเทียบกับปีก่อนๆ โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
-ทุกคนลองดูกราฟนี้สิ ปี 2017 และ ปี 2018 อัตราการเกิดดันเจี้ยนยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว แต่หลังจาก ปี 2019 เป็นต้นไป กราฟการเกิดดันเจี้ยนเริ่มพุ่งทะยานขึ้นอย่างมีนัยแอบแฝง โดยเฉพาะ ปี 2020 กราฟสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กราฟที่เอามาให้ดูเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น รู้อะไรไหม ยิ่งอัตราการเกิดดันเจี้ยนสูงขึ้น ดันเจี้ยนที่มีความยากสูงกว่าระดับสีเหลือง ก็พอกพูนตามไปด้วยเช่นกัน
-หากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างงี้ต่อไป โลกทั้งใบจะล่มสลายในอีกไม่นาน
ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของโลกมีออกมาให้อ่านเรื่อยๆ
แต่ทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายแหล่ เริ่มมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะปี 2021 อัตราการเกิดดันเจี้ยนก้าวกระโดดมากกว่าปี 2020 หลายเท่าตัว
สื่อมวลชนหลายสํานักประโคมข่าวเกี่ยวกับการระบาดดันเจี้ยนให้ประชาชนทั่วไปทราบอย่างสม่ำเสมอ
ทําให้การระบาดของดันเจี้ยนมีความคิดเห็นแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแรก คิดว่าดันเจี้ยนเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่จะนําพาโลกมนุษย์สู่การล่มสลาย
ฝ่ายสอง คิดว่าดันเจี้ยนคือทรัพยากรแห่งใหม่ของมนุษย์ ที่จะนําพาโลกมนุษย์สู่ความเจริญก้าวหน้า
ไม่ว่าผู้คนจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจริงๆ…
*******
“น่าพึ่งใช่ไหมล่ะ? รู้ไหม ตึกนี้เป็นตึกแห่งแรกของโลกที่มีความสูงมากถึง 200 ชั้น แค่ความสูงเพียงอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 3,000 ฟุตแล้ว”
ชายหนุ่มมาดสํารวย มีผมสีบลอนด์ทอง สวมใส่แว่นกันแดดกรอบทอง สังเกตจากสรีระภายนอกเขาเหมือนชายอายุ 30 กลางๆ การแต่งกายของเขาใส่ของแบรนด์เนมหรูหราระดับไฮเอนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ตลอดชีวิตของคนรากหญ้าคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรือสวมใส่ของแบรนด์เนมทั้งตัวเหมือนชายหนุ่มตรงหน้าแน่แท้
ชายหนุ่มคนดังกล่าวกําลังขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ช่วงที่ลิฟต์กําลังออกตัวเขาหันหน้าไปพูดกับเธอต่อ
“นับวันโลกเราพัฒนาไปเร็วจริงๆ เธอเห็นลิฟต์ที่พวกเรากําลังโดยสารอยู่ไหม มันเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะขึ้นบนหรือลงล่าง แต่ตัวลิฟต์กลับไม่มีแรงสั่นสะเทือนเลย แม้แต่เสียงก็ไม่มีเธอคิดว่าเทคโนโลยีแบบนี้ ในโลกของเราเคยมีมาก่อนหรือปาว”
“ไม่รู้สิ แต่ทั้งหมดคงเป็นเพราะหินอีเธอร์นั้นแหละ ใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกต้อง ฉันลงทุนลงแรงไปเยอะพอสมควรกว่าจะได้มันมา”
“เธอลองเดาสิว่าฉันใช้หินอีเธอร์ไปทั้งหมดกี่ก้อน ถึงสามารถสร้างตึกแห่งนี้ให้เสร็จสมบูรณ์?”
“ตามความคิดเห็นของฉัน ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของหินอีเธอร์ทั้งหมดที่มีการค้นพบในสหรัฐอเมริกาใช่ไหม?”ผู้หญิงคนนั้นตอบคําถามของชายหนุ่มผมบลอนด์อย่างมีชัย
อเมริกาขึ้นชื่อลือชาเรื่องดันเจี้ยนมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะในแผ่นดินอเมริกามีดันเจี้ยนเกิดขึ้นถี่มาก แต่การกล่าวว่าหินอีเธอร์ในอเมริกามากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ถูกนํามาใช้สร้างตึกแห่งนี้ ปาวกรอกหูให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ พูดแบบไม่อ้อมค้อมสําหรับคนทั่วไปมันยากต่อจินตนาการ หินอีเธอร์มีมูลค่าสูงสามารถนําไปอะไรได้หลายอย่าง แต่กลับมีคนกล้านําหินอีเธอร์มาสร้างเป็นสิ่งปลูกสร้างเนี่ยนะ?
“สําหรับฉันที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนปราสาททองคํา” ผู้หญิงคนนั้นพูดโพล่งความประทับใจที่มีต่อตึกแห่งนี้ออกมาอย่างสัตย์จริง
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มฉายเฉิดออกมา คงเป็นเพราะการเปรียบเทียบของเธอเหมือนกับสิ่งที่เขาคิดไว้กระมัง “ปราสาททองคํางั้นเหรอ ฟังดูเข้าท่าดี”
ลิฟต์พุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชะรอความเร็วและหยุดกึก
ลิฟต์พาพวกเขาสองคนไปยังชั้นสูงสุดของตึก เมื่อก้าวออกมาจากลิฟต์สิ่งที่ต้อนรับการมาของพวกเขาเป็นอย่างแรกคือรูปปั้นทองคําที่มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับชายผมบลอนด์
ด้านล่างฐานรูปปั้นมีชื่อผลงานสลักเอาไว้อย่างประณีต
[ราชันและเทพเจ้า กอร์ดอนโรฮัน]
ถ้อยคําที่ระบุไว้ตรงฐานรูปปั้นบ่งบอกถึงความอหังการและความหยิ่งผยองอย่างแท้จริง และถ้อยคําดังกล่าวถูกสํานักข่าวตีความหมายไปในทิศทางเดียวกันนั่นก็คือ กอร์ดอนโรฮันดิ้นรนขวนขวายความแข็งแกร่ง เพื่อให้ตัวเองมีความสามารถใกล้เคียงกับคําว่า “ราชัน” และ “เทพเจ้า” มากที่สุด
หากเขายังมีชีวิตอยู่ คนที่เป็นเบอร์ 1 ของโลก ต้องเป็นเขาเท่านั้น
ผู้หญิงที่เดินมากับชายผมบลอนด์มีชื่อว่า แอชลิน เธอคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ชาวอเมริกาและยังทํางานให้กับสํานักงานผู้ตื่นขึ้นของทางอเมริกาอีกด้วย เธอจ้องมองไปยังกอร์ดอนโรฮันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยประทับใจนัก
“ดูเหมือน คุณจะชอบคําเยินยอของประชาชนเหลือเกิน”
“เธอพูดถูก ก็มันเป็นความจริงไม่ใช่เหรอ?” กอร์ดอนโรฮันตอบกลับอย่างฉับพลัน โดยไม่มีทีท่ากระดากอาย
“เพราะฉันคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดยังไงล่ะ”
แววตาแก่นแก้วของกอร์ดอนโรฮันค่อยๆจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยแววตาแน่วแน่
คนที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ทุกครั้งที่เขาพูดคํานั้นออกมา ปฏิกิริยาของกอร์ดอนโรฮันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ ราวกับว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ผิดที่เขาจะมีความมั่นใจสูงปานนั้น เพราะเขามีความสามารถมากพอที่จะพูดคํานั้นออกมา บนโลกนี้แทบไม่มีผู้ตื่นขึ้นคนไหนสั่นคลอนความมั่นใจของเขาได้
“เลยกลายเป็นเหตุผล ทําไมนายถึงจัดงานอีเว้นท์นี้ขึ้นสินะ?”แอชลินถาม
“งานอีเว้นท์? อ่อ เธอหมายถึงสงครามแก่งแย่งอันดับเหรอ?”
“ถ้าเธอหมายถึงงานอีเว้นท์นั้น เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว”
โอกาสเหมาะสมที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดมีแค่งานอีเว้นท์นี้เท่านั้น
“ไม่ใช่แค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียว แต่อีกไม่นานคนทั่วโลกจะคิดเหมือนกับฉัน” กอร์ดอนโรฮันกล่าวและเดินไปบริเวณจุดชมวิวชั้นบนสุด
เขาก้มหน้ามองวิวด้านนอก ตึกที่เขาอยู่สูงที่สุดในละแวกนี้ ทําให้เวลามองต่ำลงไปด้านล่างจะมองเห็นทิวทัศน์สิ่งปลูกสร้างมากมายสร้างเรียงรายติดกัน
“คนทั่วโลกจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กอร์ดอนโรฮัน คือคนที่เก่งที่สุดในโลกและอยู่เหนือผู้อื่นทั้งหมด”
แอชลินตัวแข็งที่อ สาเหตุมาจากพลังเวทย์ที่กอร์ดอนโรฮันปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอกําลังแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้ แรงกดดันที่กอร์ดอนโรฮันปล่อยออกมาน่ากลัวอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้แต่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S อย่างเธอก็ต้านทานแรงกดดันของกอร์ดอนโรฮันไม่ได้
<<การแข่งขันยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ แต่เหมือนว่าผู้ชนะจะถูกกําหนดเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือไง?>>
แม้ว่าแรงค์ S จะใช้มาตรฐานเดียวกันในการประเมินความสามารถ แต่ก็มีแรงค์ S บางคนมีความสามารถล้ำหน้ากว่าแรงค์ S ในระดับเดียวกัน ตัวตนของพวกเขาราวกับว่าหลุดออกมาจากอีกมิติหนึ่ง
ร่างกายของแอชลินยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง เธอพยายามควบคุมให้ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงตัดใจและฝืนก้าวเท้าไปยืนอยู่ข้างกอร์ดอนโรฮัน
“ห้า สี่ สาม…” กอร์ดอนโรฮันก้มหน้ามองลงไปเบื้องล่าง จู่ๆเขาก็โพล่งนับเลขถอยหลัง
วันนี้อากาศภายนอกค่อนข้างปลอดโปร่ง จึงไร้หมู่เมฆบดบังทัศนวิสัย
“สอง หนึ่ง”
บัง!! ตูม!
ดอกไม้ไฟตระการตาระเบิดขึ้นเต็มท้องฟ้า
แสงสว่างวาบของดอกไม้ไฟส่องกระทบเข้าไปในตัวตึกที่พวกกอร์ดอนโรฮันยืนอยู่
ดอกไม้ไฟหลายลูกจุดชนวนมาจากชั้นล่างสุด และดอกไม้ไฟแต่ละลูกมีมูลค่าสูงหลายสิบล้านดอลลาร์ ความสวยงามของพวกมันเมื่อแตกตัวออกจากกันไม่จําเป็นต้องพูดถึง สวยงามถึงขั้นที่ว่าดึงดูดให้ผู้มองเคลิบเคลิ้มไปกับมันได้อย่างลืมตัว การแตกตัวของบรรดาดอกไม้ไฟส่งเสริมให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวประเดี๋ยวประดําว
เมื่อมองลงไปยังดอกไม้ไฟที่ระเบิดแตกตัวอยู่บริเวณใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา ก็แสดงให้เห็นว่าจุดที่พวกเขา 2 คนยืนชมดอกไม้ไฟอยู่สูงเพียงใด
แอชลินพึมพําออกมาเบาๆขณะสายตามองดูดอกไม้ไฟที่ค่อยๆมอดดับลง “เดือนธันวาคมแล้วเหรอเนี่ย”
ดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นวันนี้ ไม่ได้จุดเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ แต่จุดเพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการมาเยือนของเดือนธันวาคม ซึ่งภายในเดือนธันวาคมจะมีงานอีเว้นท์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น
“นั่นสิ เวลาเดินเร็วจริงๆ” กอร์ดอนโรฮันตอบคําพูดของแอชลินด้วยรอยยิ้มกริมและมองออกไปด้านนอกเหมือนเดิม
“และม่านของสงครามแก่งแย่งอันดับ กําลังจะแง่มขึ้นในอีกไม่นาน”
วันคืนที่เขาตั้งตาคอยในที่สุดก็มาถึงเสียที
วันที่แรงค์ S มากหน้าหลายตาจากทั่วมุมโลกมารวมตัวในสถานที่เดียวกัน
เพื่อให้เป้าหมายสําเร็จและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เขาถึงกับลงแรงจัดการเคลียร์ดันเจี้ยนที่อยู่บริเวณรอบๆออกไปจนหมด เพราะต้องการป้องกันไม่ให้มีดันเจี้ยนระดับสูงกว่าสีเขียวเกิดขึ้น จนพาบรรยากาศงานกร่อย
เขาเชื่อว่าสิ่งที่ลงมือทําไปทั้งหมดจะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาชมงานอีเว้นท์สงครามแก่งแย่งอันดับได้ไม่มากก็น้อย เผลอๆจํานวนคนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับงานอาจมากที่สุดในประวัติการณ์ของงานอีเว้นท์ทั้งหมดก็ได้
ธันวาคม…
ดอกไม้ไฟที่เป็นเครื่องหมายเริ่มต้นสงครามแก่งแย่งอันดับชุดใหม่จุดชนวนออกมาอีกครั้ง
โชว์ดอกไม้ไฟเสริมสร้างบรรยากาศยามค่ำคืนดังติดต่อกันอีกหลายชั่วโมง ก่อนจะค่อยๆซาลง