การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 131
ตอนที่ 131
“ดวงดีจัง”ซูฮยอนพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงเริงร่า
คนที่ซูฮยอนอยากเผชิญหน้ามากที่สุดและหมายตัวเอาไว้มีอยู่แล้วเขาจึงลองถามกอร์ดอน โรฮัน ว่าสามารถเลือกคู่ต่อสู้เองได้หรือไม่แต่ความหวังต้องพังทลายลงเพราะกอร์ดอนโรฮันยืนยันหนักแน่นว่าเลือกคู่ต่อสู้ไม่ได้ถือว่าโชคชะตายังเข้าข้างคนที่จับคู่กับเขาเป็นคนที่ซูฮยอนอยากสู้ด้วยอยู่พอดี
“คู่ต่อสู้ของพี่เป็นใครงั้นเหรอ ถึงกล้าพูดคําว่าดวงดีออกมา?”ฮักจุนถามด้วยความสงสัย
ฮักจุนง่วนอยู่กับการหารายชื่อของตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงซูฮยอนบ่นพึงพ์เขาเลิกมองหาชื่อตัวเองและเริ่มมองหารายชื่อของซูฮยอนแทน
เมื่อสายตามองเห็นชื่อที่กําลังตามหาฮักจุนอ้าปากข้างด้วยความตกตะลึงและเปิดปากถาม
“ดวงดีอะไรของพี่เนี่ย คู่ขับเคี่ยวของพี่เป็นโทมัสมาธิอัสไม่ใช่หรือไง”
“เพราะเป็นเขา ฉันถึงได้บอกว่าดวงดีไงล่ะ”
“อย่าบอกนะว่า เวลาพี่เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งพี่จะรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจจนลืมนึกถึงความปลอดภัยของชีวิตตัวเอง?”
“นายคิดว่าฉันเป็นมอนสเตอร์ที่รู้ว่าตัวเองสู้ไม่ไหวก็ยังดึงดันกระโจนเข้าใส่ยังงั้นเหรอ? ฉันเกลียดการต่อสู้จะตายนายก็รู้ว่าฉันอยู่ฝ่ายรักสงบ”
“แต่ทําไมถึง…พี่เป็นคนบอกผมเองไม่ใช่หรือไงว่าหมอนั่นอันตรายสุดๆ?”
ฮักจุนเหลือบมองโทมัสที่ยืนอยู่ห่างออกไปใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงมีรอยยิ้มประดับเหมือนทุกที
สีหน้ายิ้มแย้มของผู้ชายคนนั้น บ้างที่อาจเป็นเพราะเขากําลังพอใจกับคู่ต่อสู้ของตนเองอยู่ก็ได้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาก็ให้ความสนใจในตัวของซูฮยอนด้วยเช่นกัน
“นายรู้ไหมทําไมฉันถึงพูดว่าดวงดี? เพราะฉันอยากใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ําเขาให้จมดินยังไงล่ะ”
ฮักจุนทราบเป็นอย่างดีว่าอารมณ์ของซูฮยอนเจือปนไปด้วยความโกรธทุกครั้งเมื่อพูดชื่อของโทมัส ต้นเหตุอาจเป็นเพราะเห็นการกระทําอันโหดเหี้ยมของโทมัสรอบคัดเลือก
เมื่อเห็นท่าที่เอาจริงเอาจังของซูฮยอน ความกังวลของฮักจุนเอ่อล้นออกมาจากก้นบึง..
“ผมจะไม่ห้ามพี่ แต่ถ้าพี่รู้สึกถึงความอันตราย พี่ต้องยอมแพ้โดยเร็วที่สุดห้ามดันทุรังเด็ดขาด” ฮักจุนกล่าวเตือน
คําพูดของฮักจุน คล้ายๆกับคําพูดที่ซูฮยอนเคยเตือนเมื่อวานก่อน
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฉันจะยอมแพ้ นายไม่ต้องห่วง”
ไม่รู้ทําไม เสียงตอบกลับของซูฮยอนถึงทําให้ฮักจุนไม่สบายใจแปลกๆ
ฮักจุนถอนหายใจและโอดครวญออกมาไม่หยุด
ขณะพวกเขา 2 คนกําลังพูดคุยกัน กอร์ดอนโรฮันที่เงียบเสียงไปได้สักพักใหญ่ๆได้พูดคุยกับผู้เข้าแข่งขันอีกครั้ง
“ทุกคนคงรู้แล้วใช่ไหม ว่าตัวเองจับคู่กับใคร พวกเรามาเริ่มขั้นตอนต่อไปกันเถอะคนที่จะได้ลงสนามเป็นคู่แรกบังเอิญเป็นคู่ของฉันใครที่ไม่เกี่ยวข้อง ขอความร่วมมือขยับร่างกายไปหลบอยู่ด้านข้างของสนามก่อน”
ผู้ตื่นขึ้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของกอร์ดอนโรฮัน มีชื่อว่า มิราจ โรอุน
เขาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไล่ความกังวลออกจากอก เมื่อสงบอารมณ์ได้พอประมาณเขายกโล่ และดาบสั้นขึ้นมาเตรียมพร้อม
มิราจ โรอุน มีชื่อเสียงด้านการป้องกันและการตั้งรับเล่าลือกันว่าการป้องกันของเขาแข็งแรงทนทายาดมากเป็นที่สุดต่อให้คนทั่วโลกกระหน่ําโจมตีตลอดทั้งวัน เขาก็สามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม
“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม มาเริ่มการต่อสู้กันเถอะ”
วุป!!
ยกเว้น กอร์ดอนโรฮัน และ มิราจ โรอุน ร่างกายของผู้เข้าแข่งขันทุกคนอาบแสงสีขาว แล้วถู กย้ายไปยังพื้นที่พิเศษ เพื่อนั่งรอรอบของตัวเอง
ฟรี่บ!!
กอร์ดอนโรฮันกระโดดลงไปกลางสนามแข่งขัน “ผู้ท้าชิงคนแรกของฉันเป็นนาย ถือว่าไม่แย่มาก”
“ผู้ท้าชิง? นายกําลังพูดถึงฉันอยู่อย่างงั้นเหรอ?”มิราจโรอุนกระชับโล่ในมือสายตาขึงขังจ้องไปที่กอร์ดอนโรฮัน
“ฉันยอมรับว่าตัวเองไม่แข็งแกร่งทัดเทียมนาย แต่การเหยียดหยามคู่ต่อสู้ทั้งที่ยังไม่เคย ประมือกันไม่คิดว่ามันเป็นการเสียมารยาทมั้งเหรอ?”
โล่ไม้จาก 1 อัน แยกตัวเพิ่มเป็น 4 อัน โล่ทั้ง 4 เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กแสงสีฟ้าส ว่างเรืองรองออกมาและเปลี่ยนโล่ไม้ให้กลายเป็นโล้เหล็กฉับพลันขนาดขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
โล่เหล็กรูปแบบวงรี หมุนรอบตัว มิราจ โรอุน คอยทําหน้าที่ป้องกันซ้าย ขวา หน้า หลัง
“อย่าหลงคิดไปเองสิ ฉันไม่ได้ดูถูกนายสักหน่อย ถ้านายมั่นใจฝีมือตัวเองช่วยพิสูจน์ ให้ฉันเห็นที่ว่านายไม่ได้อ่อนแอชื่อเสียงของนายฉันได้ยินหนาหูอย่าทําให้ฉันผิดหวังซะล่ะ”
กอร์ดอนโรฮันพอใจกับคู่ต่อสู้เป็นอย่างมากเพราะเขาเคยได้ยินความสามารถของอีกฝ่ายมาก
“ตามคําเล่าลือที่ได้ยินมา ฉันจําได้ว่าต่อให้สู้กับคนทั้งโลกนายก็สามารถยืนหยัดได้ทั้งวันเรื่องจริงหรือปาว?”
“ไม่ลอง ไม่รู้”
[การแข่งขันเริ่มได้]
เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเริ่มการต่อสู้ จอห์นนี่ แบรดลงไปที่สนามแข่งขันเพื่อสังเกตการณ์ต่อสู้อย่างใกล้ชิด
“นั่นสินะ ไม่ลองไม่รู้ งั้นฉันจะอาสาทดสอบให้เองว่าสมญานามของนายเป็นความจริง หรือเป็นแค่คําอวดอ้าง”
ฟรี่บ!!
ร่างกายของกอร์ดอนโรฮันหายไปจากตําแหน่งที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด มิราจ โรอุน ยกโล่ขึ้นมาเตรียมพร้อมตั้งรับการโจมตี
ปัง!!
แรงกระแทกอย่างหนักหน่วงส่งผ่านโล่มาถึงฝ่ามือ แรงปะทะทําให้มิราจโรอุน กระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อยเขาลดโล่ลงและมองไปข้างหน้า
<<แรงหมัดงั้นเหรอ? >>
แรงกระแทกที่มิราจสัมผัสได้ มาจากแรงหมดล้วนๆ
การโจมตีที่ผ่านมา หมัดของกอร์ดอนโรฮันห่อหุ้มด้วยพลังเวทย์เพียงอย่างเดียวเขากล้าเอาหัวเป็นประกันว่ากอร์ดอนโรฮันไม่ได้เปิดใช้งานสกิลหรือทักษะพิเศษใดๆเลย
<<ทําไมเขาถึงออมมืออยู่อีก? หรือว่ามีเหตุผลอื่นแอบแฝง? >>
แรงปะทะจากการชกเพียงครั้งเดียวของกอร์ดอนโรฮันเป็นแรงหมัดที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่มิราจโรอุนเคยสัมผัสมาตลอดทั้งชีวิต
ชื่อเสียงของกอร์ดอนโรฮันเขาได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับเลยสักครั้งทว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเขาเริ่มเปิดใจยอมรับโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
“นายแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก”
กอร์ดอนโรฮันกําหมัดแน่น ช่วงที่หมัดชกเข้าโล่เต็มเปาตั้งแต่มือจรดแขนรู้สึกด้านชาไปชั่วขณะ
“ฉันขอยอมรับสมญานามของนายจากใจจริง”
“ก็คิดเผื่อไว้อยู่แล้วล่ะนะ ว่าการเอาชนะนายด้วยหมัดเดียวคงเป็นไปไม่ได้”
“นั่นมันอะไรกัน”
ทันใดนั้น ปีก 2 คู่พลันงอกออกมาจากแผ่นหลังของกอร์ดอนโรฮัน
“นายเคยเห็นอะไรแบบนี้ไหม?”
หลังจากคลี่ปักออกมาจนสุด พลังเวทย์สีขาวบริสุทธิ์แผ่ซ่านออกมาจากปีกทั้ง 2 คู่ และกําลัง กระจายไปทั่วสนามแข่งขัน..
เมื่อ มิราจ โรอุน เห็นภาพตรงหน้า สัญชาตญาณการเอาตัวรอดกําลังสั่นระรัวแจ้งเตือนอะไรบางอย่างจากภายใน
<<ความกดดันระดับนี้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะปีกนั้น? >>
ระหว่างที่ปีก 2 คู่งอกออกมาจากแผ่นหลังกอร์ดอนโรฮันบรรยากาศรอบตัวของกอร์ดอนโรฮันเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ไม่ใช่แค่ความหนาแน่นจากพลังเวทย์เท่านั้นที่เพิ่มขึ้นแม้แต่ปริมาณพลังเวทย์ที่กระจายไปรอบๆก็ยกระดับขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนหน้านี้ มิราจ โรอุน เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจตัวเขายังสามารถรับมือการโจมตีและอดทนป้องกันแรงกระแทกระลอกใหม่ได้แต่ตอนนี้ความมั่นใจนั่นเลือนรางหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
มิราจ โรอุน ถ่ายพลังเวทย์เข้าไปในโล่เพิ่มเติมเทคนิคหรือสกิลที่เกี่ยวข้องกับการเสริมแนว ป้องกันทุกอย่างถูกงัดออกมาใช้จนหมดในสถานการณ์หมิ่นเหม่เช่นนี้ ตั้งรับให้ได้ 1 หรือ 2 ชั่วโมงก็ถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว
“นายรู้ไหม ทุกคนบนโลกอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กของตนเอง”
กอร์ดอนโรฮันก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมทั้งยื่นมือออกไปกลางอากาศ“ทารกแรกเกิดเชื่อว่าห้องที่กรอบสายตาสามารถมองเห็นคือโลกทั้งใบ”
หอกสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของกอร์ดอนโรฮันรูปร่างคล้ายๆตรีศูล รอยสึกหรอและเศษฝุ่นเกรอะกรังมีให้เห็นบางตา
“นักเรียนมักคิดกันว่าสถานศึกษาคือโลกทั้งใบขณะที่พวกผู้ใหญ่คิดกันว่าสถานที่ทํางานต่า งหากคือโลกทั้งใบเมื่อใดก็ตามที่นายได้ขึ้นเครื่องบินและรู้จักลืมหูลืมตา ออกไปผจญโลกภายนอกเปิดใจรับวัฒนธรรมใหม่ๆ สัมผัสวิถีชีวิตใหม่ๆ นายจะได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโลกมากขึ้นทั้งหมดที่กล่าวมาคือกระบวนการขยายอาณาเขตโลกใบเล็กของตนเอง”
“นายตั้งใจจะบอกอะไรกับฉันกันแน่?”
สวบ!!
คมหอกของกอร์ดอนโรฮัน ทะลวงลงบนโล่ของมิราจ โรอุนเต็มแรง
แม้ มิราจ โรอุน จะใช้สกิลทุกอย่างที่ตัวเองครอบครองเสริมความแข็งแกร่งให้กับโล่ แต่สุดท้ายเขาก็ถอยร่นไปด้านหลังอยู่ดี หากเขายังดึงดันตั้งรับการโจมตีของกอร์ดอนโรฮันต่อไปเรื่อยๆผลกระทบที่ตามมาอาจทําให้เขาแขนหัก…
“นายบอกว่าต่อให้คนทั่วโลกกระหน่ําโจมตี นายก็สามารถยืนหยัดตั้งรับได้ทั้งวัน แสดงว่าโลกของนายคงใบใหญ่พอตัว ฉะนั้นฉันเลยอยากถามนายว่า โลกใบเล็กของฉันพอสั่นคลอนโลกของนายและทําให้นายเกิดความหวาดกลัวได้ไหม?”
คําถามของกอร์ดอนโรฮันเป็นเหตุให้ม่านตาของ มิราจ โรอุน สั่นงันงกไม่เสถียรภาพ
ความภาคภูมิใจที่กอร์ดอนโรฮันเปล่งรัศมีออกมาทําให้เขานึกคําพูดตอบกลับไม่ออก
“โลกกว้างใหญ่ไพศาลและยิ่งใหญ่มากกว่าที่นายคิด ความยิ่งใหญ่ ความเป็นที่สุด คือสิ่งที่ฉันถวิลหามาโดยตลอด เพราะงั้นฉันจึงลงมือสร้างหอคอยที่สูงที่สุดในโลกและปลงใจจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นมา”
คํากล่าวที่กอร์ดอนโรฮันกลั่นกรองออกมา ไม่ได้กล่าวให้ มิราจ โรอุน ฟังเพียงผู้เดียว
แต่เขามีเจตนาบอกความในใจของตนเองให้กับผู้คนทั่วโลก ที่กําลังนั่งชมการแข่งขันผ่านกล้องถ่ายทอดสด ให้รับทราบจุดมุ่งหมายของเขาโดยทั่วกัน
“เพื่อทําให้โลกของนาย กลายเป็นโลกที่ฉันรู้จัก ฉันจําเป็นต้องเอาชนะนาย”
กอร์ดอนโรฮันมีความปรารถนาอยากเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และการไปให้ถึงฝั่งฝันเขาต้องเอาชนะโลกใบเล็กของคนอื่น เพื่อในโลกใบเล็กของตนเองยิ่งใหญ่ที่สุด
ตูม!
กอร์ดอนโรฮันโรมรันฟาดหอกใส่โล่ของ มิราจ โรอุน อย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่หอกกระทบโดนโล่
แขนของ มิราจ โรอุน ที่ยกโล่ขึ้นมาป้องกันการโจมตี เริ่มเกิดอาการเหน็บชาไปทั่วแขน..
<<ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ 1 ชั่วโมงเลย แค่ 30 นาที ก็ไม่รู้ว่าจะทนถึงหรือป่าว…>>
หลังจากตั้งรับการโจมตีมาได้สักพัก โล่ของ มิราจ โรอุน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทาน เกิดรอยร้าวจุดเล็กๆ ก่อนจะลามไปเรื่อยๆ ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น
เมื่อเห็นโล่ของตัวเองได้รับความเสียหายอย่างหนัก มิราจ โรอุน เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและเกิดอาการลังเลว่าควรทําอะไรต่อไป..
ทันใดนั้นเอง
“อีก!!”
คมหอกทะลวงผ่านโล่ป้องกันได้สําเร็จ ร่างกายของ มิราจ โรอุน ถูกบีบบังคับให้ไถลไปด้านห
สายตาของ มิราจ โรอุน จ้องมองปลายหอกที่อยู่ในระดับสายตา แทนที่จะยอมสละโล่ เพื่อเอาตัวรอด เขากลับไม่ยอมปล่อยโล่ในมือทิ้งไป เขาเลือกตั้งรับคมหอกอย่างไม่เกรงกลัวด้วยเหตุที่ มุ่งมั่นไปกับการตั้งรับเพียงอย่างเดียว ทําให้ดาบสั้นที่ถืออยู่ในมืออีกข้างไม่มีโอกาสฟาดฟันกอร์ดอนโรฮันเลยสักครั้ง
แรงปะทะที่ส่งตรงมาจากกอร์ดอนโรฮันร้ายกาจเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ มิราจ โรอุน ต้านทานต่อไปอีกไม่ไหว เขาล้มนั่งลงไปกับพื้น ปลายหอกสัมผัสบริเวณลําคอเบาๆ ริ้วเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากลําคองสด
หาก กอร์ดอนโรฮัน ต้องการกุดหัวของ มิราจ โรอุน เขาสามารถทําได้ง่ายๆ
กอร์ดอนโรฮันถอนหอกออกมาจากลําคอของ มิราจ โรอุน แล้วเอามาพาดไว้บนไหล่ตัวเอง
ใบหน้าของเขายิ้มแย้มอารมณ์ดี เนื่องจากเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สําเร็จ
ก่อนออกจากสนาม กอร์ดอนโรฮันไม่ลืมยื่นมือไปหา มิราจ โรอุน เพื่อพยุงให้เจ้าตัวลุกขึ้นจากพื้น
“ฉันขอแสดงความยินดีกับนายด้วย โลกใบเล็กของนายขยายอาณาเขตได้สําเร็จ”
การแข่งขันรอบแรก
ผู้ที่สามารถคว้าชัยชนะมาไว้ในอ้อมกอดได้ คือ กอร์ดอนโรฮัน
สําหรับผล แพ้ – ชนะ ไม่มีความสําคัญกับผู้ชมถ่ายทอดสดอีกต่อไป
เพราะผู้ชมถ่ายทอดสดทุกคน ทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จิงของกอร์ดอนโรฮัน เหตุใดเขาจึงตัดสินใจจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นมา
“พี่รู้ไหม ผมคิดมาตลอดว่ากอร์ดอนโรฮันมุทะลุเกินไป แต่พอเปิดใจยอมรับ เขาก็เท่เหมือนกันนะเนี่ย”
ฮักจนรู้สึกมึนงงกับคําพูดของกอร์ดอนโรฮัน ทําให้เขาพึมพําคําพูดเหล่านั้นซ้ําไปซ้ํามา
คําพูดของกอร์ดอนโรฮันมีความหมายแอบแฝงไว้ ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน
ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของกอร์ดอนโรฮันที่แสดงออกมา ไม่แปลกใจเลยทําไมชาวอเมริกาถึงตั้งตนเป็นประเทศมหาอํานาจได้
<<โลกที่ฉันรู้จักอย่างงั้นเหรอ….>>
กอร์ดอนโรฮันตั้งใจจัดสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้น เพราะต้องการขยายโลกใบเล็กของตนเองให้กว้างใหญ่ขึ้น เพื่อให้โลกของเขากลายเป็นที่รู้จัก
หากเขาไม่ด่วนจากไปซะก่อน ในอนาคตเขาอาจกลายเป็น [ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก]จริงๆก็ได้
ทุกคนกระจ่างแก่ใจ ต่อให้รวยล้นฟ้าหรือมีพละกําลังแข็งแกร่งล้นหลาม ก็ไม่สามารถสนองความต้องการของกอร์ดอนโรฮันได้
สิ่งที่กอร์ดอนโรฮันต้องการมากที่สุดคือ อยากเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดและไม่มีใครทัดเทียมเพื่อให้ความปรารถนาบรรลุผลและเติมเต็มความฝันเขาต้องทุ่มความสามารถทุกอย่างที่มีและทํา ให้สําเร็จ
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของกอร์ดอนโรฮันยังเหลือหนทางอีกยาวไกล
เพราะเขายังเหลือโลกใบเล็กอีกหลายใบรอให้ทําความรู้จักอยู่
หากพิชิตโลกใบเล็กของคนอื่นได้สําเร็จ โลกของกอร์ดอนโรฮันจะกว้างใหญ่มากขึ้นและความปรารถนาจะกลายเป็นความจริงข้อครหาสารพัดที่โดนผู้คนตั้งแง่จะถูกลบเลือนหายไป
“ความฝันและความสามารถของเขา ไม่แปลกใจเลย ทําไมกอร์ดอนโรฮันถึงโด่งดังกว่าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนอื่น” ฮักจุนพึมพําออกมา ราวกับว่าประทับใจในตัวของกอร์ดอนโรฮันมากกว่าเมื่อก่อน
ขณะฮักจุนกําลังชื่นชมกอร์ดอนโรฮันออกหน้าออกตา แต่หัวสมองของซูฮยอนกลับคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่เขาจะกลับมาเกิดใหม่ทุกคําพูดทุกประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของกอร์ดอนโรฮัน มักมีความหมายแอบแฝงและเป็นประเด็นพูดคุยปากต่อปากอยู่เสมอ
ฉะนั้นคําพูดเมื่อสักครู่ของกอร์ดอนโรฮันที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างซูฮยอนน่าจะเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง
แต่แปลกที่เขานึกไม่ออกว่าตัวเองเคยได้ยินคําพูดเมื่อครู่ของกอร์ดอนโรฮันมาก่อนหรือไม่ พยายามนึกแทบตายก็นึกไม่ออก แม้ว่าในอดีตซูฮยอนจะไม่สนใจตัวตนของกอร์ดอนโรฮันมากนักแต่อีกฝ่ายเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงลือลั่น คําพูดที่เป็นเหมือนวลีเฉพาะตัวกอร์ดอนโรฮันเขาต้องได้ยินผ่านหูมาบ้างสิ.
<<เกิดอะไรขึ้นกันแน่? >>
เป็นไปได้ไหมว่าเขาหลงลืมคําพูดของกอร์ดอนโรฮันไปแล้ว?จู่ๆความคิดอีกอย่างก็ผุดเข้ามาในหัวของซูฮยอนกะทันหัน
<<อย่าบอกนะว่าอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะฉัน?>>
ข้อสมมติฐานที่คิดขึ้นในหัวมีโอกาสเป็นไปได้สูง หากเป็นอย่างที่คิดไว้ แสดงว่าอนาคตที่ควรจะเป็น เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ซูฮยอนขมวดคิ้ว หน้าตาขึงขัง สาเหตุที่อนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นเพราะการกลับชาติมาเกิดของเขาและอาจรวมไปถึงการแทรกแซงเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆอีกนับไม่ถ้วนก็เป็นได้หรือไม่อาจมีปัจจัยอื่นแฝงอยู่อีก
“ต่อไปเป็นรอบของพี่แล้วนะ”ฮักจุนพูดเตือนความจําซูฮยอน
“ฉันรู้แล้ว”
หลังจากการแข่งขันรอบ กอร์ดอนโรฮัน และ มิราจ โรอุน จบลง
การแข่งขันรอบต่อไปถึงคราว ซูฮยอน และ โทมัส มาธิอัส
ซูฮยอนยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ สายตาของเขาเหลือบมองไปหาโทมัส และพบว่าสายตาอีกฝ่ายก็มองมายังเขาด้วยเช่นกัน
ชั่วอึดใจร่างกายของพวกเขา 2 คนหายไปพร้อมกัน
จุดที่พวกเขาไปปรากฏตัวอีกครั้ง คือสนามแข่งขันที่เห็นผ่านหน้าจอจนชินตา พวกเขายืนเว้นระยะห่างประมาณ 20 เมตร ทั้งคู่สบสายตากันและกัน
“โอ้ว! สนามแข่งขันเจ๋งเป็นบ้าเลยวะ!”โทมัสอุทานออกมาเสียงดัง หลังจากไปโผล่กลางสนามแข่งขัน สายตากวาดมองสภาพแวดล้อมรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาใช้มือเสยผมสีแดงที่ขยุกขยุยไปไว้ด้านหลัง ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยิ้มเช่นเคย
“ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ฉันอยากพูดอะไรกับนายสักหน่อย” ซูฮยอนเอ่ยพร้อมชักดาบออกมาจากฝึก
จอห์นนี่ แบรด ยังไม่ประกาศเริ่มการแข่งขัน เหมือนกับว่าอยากให้ผู้เข้าแข่งขันเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยเสียก่อน การลอบโจมตีผู้เข้าแข่งขันที่เผลอหลังจากถูกเรียกตัวมา ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะเขาคิดเผื่อเหตุการณ์นั้นไว้แล้ว
“นายอยากพูดกับฉัน? พูดจริงพูดเล่น?.”
“พูดจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องโกหกนาย จริงไหม?”
“อยู่ๆก็อยากคุยกับฉัน เป็นบ้าหรือไง? สงสัยเป็นเพราะเขาอายุยังน้อย เลยทําให้สมองของเขาไม่สมประกอบ?” โทมัสได้แต่คิดในใจ
ใบหน้าของโทมัสประดับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา แลดูไม่มีพิษมีภัยต่อผู้อื่น แต่เนื้อแท้ข้างในกลับซื้อเหมือนแมวนอนหวด ซูฮยอนที่เห็นรอยยิ้มโทมัสรู้สึกเดือดพล่านในอกอย่างบอกไม่ถูก
โทมัสนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดหรือกระดุกกระดิกร่างกาย บ่งบอกว่าเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าซูฮยอนต้องการจะพูดอะไรกับเขากันแน่
“ฉันอยากพูดกับนายว่า การ หักแขน หักขา คนไม่มีทางสู้ ไม่ควรเรียกว่าการต่อสู้ แต่ควรเรียกว่าเป็นการแสดงอุปนิสัยดิบเถื่อนที่แท้จริงของตัวนายฝ่ายเดียวมากกว่า”
“อ่า..จําได้แล้ว นายหมายถึงพวกย่อแย่ พวกนั้นใช่ไหม?”โทมัสทุบฝามือของตัวเองดังป้าบราวกับว่าพึ่งนึกเรื่องที่ตัวเองเคยกระทําไว้รอบคัดเลือกออก
“ช่วยไม่ได้ เจ้าพวกนั้นอ่อนแอเอง ก็สมควรแล้วไม่ใช่เรอะ?”
“สมควร?”
“ใช่ นายรู้จักคําว่าสมควรไหม?”
ไอ้ลูกหมานี่! ซูฮยอนสบถคําด่าออกมา พร้อมทําลมหายใจฟืดฟาด
ที่แรกซูฮยอนนึกว่าโทมัสจะหยิบยกเหตุผลขึ้นมาอธิบาย ไขข้อข้องใจการกระทํารอบคัดเลือกให้แจ่มกระจ่าง แต่ที่ไหนได้ชายตรงหน้าตอบกลับแบบกําปั้นทุบดินเหมือนคนสติวิปลาสแถวยังกวนประสาทอีก ฟังแล้วอยากวิ่งเข้าไปซัดหน้าในหงายหลังจริงๆ
“เฮ้อ คุยกับหมายังสบายใจซะกว่า ในเมื่อเป็นแบบนี้”
[การแข่งขันเริ่มได้]
“ฉันจะทําให้นาย ได้ลิ้มลองความเจ็บปวดเหมือนพวกเขา”