การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 132
ตอนที่ 132
ความรู้สึกคั่งแค้นอัดอันเต็มทรวงอกซูฮยอน แต่กิริยาท่าทางภายนอกของเขากลับนิ่งสงบสวนทางกับความรู้สึกจริง
เหตุผลที่ซูฮยอนยอมกล้ํากลืนความโกรธเอาไว้ แทนที่จะระเบิดความโกรธทั้งหมดออกมาเป็นเพราะความโกรธก่อให้เกิดช่องโหว่ใหญ่หลวงและยังส่งผลให้ร่างกายหรือเพลงดาบย่อหย่อนไม่แกร่งกล้าเหมือนเดิม
การระงับความโกรธเป็นนิสัยติดตัวที่ซูฮยอนเคยชินจากในอดีต ยิ่งเจอสถานการณ์เป็นตายเท่ากันการปล่อยให้ความโกรธบังตาไม่ใช่เรื่องดี
“ท่าทางของนายเหมือนกําลังโกรธอยู่เลย?”โทมัสเอียงคอถามด้วยความสงสัย “ทําไมอยู่ๆนายก็โกรธ? ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย”
โทมัสข้องใจทําไมซูฮยอนถึงแสดงอารมณ์โกรธออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามองข้ามรายละเอียดบางอย่างไป?
เมื่อสังเกตจากรูปร่างภายนอกของโทมัส เขาน่าจะมีอายุใกล้เคียงกับซูฮยอน ไม่ก็มีอายุมากกว่า 1-2 ปี แต่ลักษณะการพูดและสายตาที่จ้องมองมายังซูฮยอน ให้ความรู้สึกเหมือนกําลังมองเด็กกะโปโลอยู่ยังไงชอบกล
“นายอยากรู้เหรอ…”
ฟรี่บ!!
[กระโดด]
ซูฮยอนพุ่งตัวไปข้างหน้า เพียงชั่วพริบตาร่างกายของเขาก็ไปโผล่อยู่เหนือหัวของโทมัสและเตรียมง้างมือเหวี่ยงดาบ
“ฉันเอาชนะนายได้เมื่อไหร่ นายอาจจะคิดออกก็ได้!”
ปัง!!
แรงปะทะส่งผลให้ร่างกายโทมัสกระเด็นถอยไปด้านหลัง การป้องกันดาบซูฮยอนทํา ให้ม่านพลังเวทย์ที่ห่อหุ้มมือของเขาเกิดรอยแตกร้าว
ดาบของซูฮยอนไม่น่ารุนแรงถึงขนาดนี้ เป็นเพราะเขาไม่ทันตั้งตัวหรืออย่างไร เลยส่งผลให้ตัวเขาได้รับผลกระทบจากดาบมากกว่าปกติ โทมัสคิดอย่างแปลกใจ เขากํามือและแบมือ 2-3 รอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
ในขณะที่โทมัสกําลังวิเคราะห์สถานการณ์
ดาบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันแกร่งกล้าลอยอยู่เหนือหัวของโทมัสและพุ่งโจมตีจากทุกทิศทาง
จุดที่โทมัสยืนอยู่จึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการโจมตีไปโดยปริยาย ทว่าเขาไม่ได้ตื่นกลัวต่อเหตุการณ์ที่กําลังเผชิญตรงหน้าเลยสักนิด
โทมัสสงบสติอารมณ์แล้วกางแขน 2 ข้างออกมาให้ขว้างที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับการโจมตีเมื่อตั้งท่าเสร็จเรียบร้อย เขาเหวี่ยงหมัดที่ทรงพลังทําลายการโจมตีของซูฮยอนที่กําลังพุ่งเข้าใส่ อย่างมีชั้นเชิง
“วิเศษวิเศษมาก!!
ขณะทําลายดาบของซูฮยอนที่โจมตีมาจากรอบทิศทาง โทมัสยิ้มร่าออกมาประหนึ่งว่าเหตุการณ์ตรงหน้ากระตุ้นความตื่นเต้นของเขา
ทุกครั้งที่มือของโทมัสปะทะคมดาบ ม่านพลังเวทย์ที่ห่อหุ้มมือเอาไว้มักแตกออกเป็นเสี่ยงๆทว่าโทมัสก็สามารถสร้างม่านพลังเวทย์ขึ้นมาใหม่ได้อย่างทันท่วงที
โทมัสสามารถสร้างม่านพลังเวทย์ได้ดั่งใจปรารถนา สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโทมัสควบคุมพลังเวทย์ในร่างกายได้อย่างชํานาญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาสามารถสร้างม่านพลังเวทย์ขึ้นใหม่ได้รวดเร็ว
ทักษะการป้องกันที่โทมัสแสดงออกมาทําให้ดวงตาผู้ชมการแข่งขันนอกสนามเปล่งประกายระยิบระยับ
[เพลิงพิโรธ]
ตู้ม!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามลุกโชนออกมาอย่างไม่มีเค้าลางและห้อมล้อมตัวโทมัสเอาไว้ ช่วงก่อนหน้าเขามัวแต่ตั้งอกตั้งใจป้องกันคมดาบท่าเดียว ทําให้เขาละเลยสิ่งรอบข้างไป
โทมัสก้มหน้าหลบพยายามเลี่ยงแสงเปลวเพลิงสีครามและขมวดคิ้ว
การที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามลุกโชนขึ้นมาฉับพลัน ทําเอาทัศนวิสัยของโทมัสมืดบอกไปชั่วขณะและคมดาบของซูฮยอนอาศัยช่องโหว่ที่เกิดขึ้น จ้วงแทงไปที่บริเวณหัวไหล่ของโทมัส
ฉัวะ!!
คมดาบที่เล็งแทงโทมัสจืดไม่เป็นท่า ร่างกายของโทมัสที่ยืนอยู่ตรงหน้าเริ่มเลือนหายไปทีละนิด..
ซูฮยอนที่เห็นดังนั้นรีบเหวี่ยงดาบไปด้านหลังทันที
เคร้ง!!
[ร่างแยกเงา]
เสียงโลหะกระทบกันดังออกมาจากด้านหลัง ดาบของตัวตายตัวแทนสกัดกั้นมือของโทมัสที่กําลังแทงแผ่นหลังซูฮยอนได้อย่างเฉียดฉิว
โชคดีที่ซูฮยอนใช้ [ร่างแยกเงา] ออกมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นหลังของเขาได้เป็นรูโบแน่
ซูฮยอนสังเกตเห็นว่าร่างกายของโทมัสมีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม เพราะมือของ อีกฝ่ายเคลือบด้วยสีน้ําตาลเด่นชัด มองยังไงก็ไม่ใช่สีผิวธรรมชาติของมนุษย์
<<อย่าบอกนะว่า เป็นสกิลที่สามารถเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ให้กลายเป็นโลหะอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ?>>
โลหะสีน้ําตาลอ่อนและมีความทนทาน ซูฮยอนนึกชื่อออกแค่ชนิดเดียวเท่านั้น
<<อาดามันเทียม>>
อาดามันเทียม เป็นโลหะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการชักนําพลังเวทย์ ความแข็งแกร่งความเบาทุกอย่างล้วนไร้ที่ติ
แม้สกิลของโทมัสจะเปลี่ยนแปลงร่างกายได้แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่การที่เปลี่ยนร่างกายมนุษย์ปกติให้มีส่วนผสมเป็นโลหะ ถือได้ว่าเป็นความสามารถที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง
ยังไม่หมดแค่นั้น การเคลื่อนไหวที่โทมัสแสดงออกมาก็น่าซึ่งไม่แพ้กัน เขาครอบครองสกิลหลายอย่าง แต่เขากลับสามารถใช้สกิลเหล่านั้นออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หมายความว่าระดับความเชี่ยวชาญของสกิลพัฒนาไปไกลกว่าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S บางคนเสียอีก
ตามปกติผู้ตื่นขึ้นที่ครอบครองสกิลหลายอย่าง จะไม่สามารถรีดเค้นศักยภาพสกิลออกมาได้หมดเพราะระดับความเชี่ยวชาญต่ําไป เนื่องด้วยมีสกิลเยอะเกินความจําเป็นทําให้พวกเขาละทิ้งสกิลบางอย่างไปและหันหน้าไปฝึกสกิลที่ตัวเองชื่นชอบให้ชํานาญแทน การทําแบบนั้นจะส่งผลให้สกิลที่เหลือเค้นศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่
“สุดยอด นายแข็งแกร่งมาก!!”
เคล้ง!! เคล้ง!! เคล้ง!!
โทมัสที่กระโดดถอยหลังไปตั้งหลักไกลจากซูฮยอนแล้วปรบมือชมเชย ฝ่ามือของโทมัสทั้ง 2ข้างลอกเรียนแบบคุณสมบัติโลหะอาดามันเทียม ทําให้เวลาปรบมือสียงที่ออกมาคล้ายเสียงโลหะกระทบกันมากกว่า
ท่าทางภายนอกของโทมัสยังคงมีรอยยิ้มประดับเหมือนเดิม
“สนุกพอแล้วหรือยัง?” ซูฮยอนถาม
โทมัสหยุดปรบมือกะทันหันและยกแขนขึ้นมาตั้งฉากด้วยความตกตะลึง
ซูฮยอยเหวี่ยงดาบฟันไปที่ช่วงท้องน้อยของโทมัส
โทมัสที่กําลังยกแขนตั้งฉากป้องกันบริเวณใบหน้า รีบเปลี่ยนตําแหน่งไปป้องกันช่วงท้องน้อยใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มตลอดเวลา ปัจจุบันกลายเป็นสีหน้าขึงขัง
หลังจากป้องกันการโจมตีได้สําเร็จและกําลังง้างมือตอบโต้ ร่างกายซูฮยอนที่อยู่ตรงหน้ากลับ หายไปซะก่อน..
“งานรื่นเริง ซึ่งเริ่มเท่านั้น เตรียมรับมือ”
“หายไปไหนกัน?”
โทมัสหมุนตัวมองหาร่างซูฮยอน เมื่อเห็นตําแหน่งคู่ต่อสู้ลอยอยู่เหนือศีรษะ เขาตั้งท่าเตรียมปล่อยการโจมตี ทว่าร่างกายของซูฮยอนที่ลอยอยู่กลางอากาศกระพริบวาบแล้วไปโผล่ด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว
ซูฮยอนขยับร่างกายเปลี่ยนตําแหน่งไปเรื่อยๆอย่างฉับไว จนเห็นแค่ภาพเงาเลือนลาง
จากด้านหน้าไปโผล่ด้านหลัง จากด้านบนไปโผล่ ซ้าย ขวา คมดาบของซูฮยอนฟาดฟันไปรอบๆอย่างยุ่งเหยิงและไม่มีแบบแผน การรับมือจึงเป็นเรื่องยาก บนร่างกายของโทมัสเริ่งปรากฎบาดแผลจํานวนมาก
“เป็นไปไม่ได้? นายรีดความเร็วออกมาได้ถึงขนาดนี้ได้ไงกัน?”
สุ่มเสียงของโทมัสสั่นเคลือเล็กน้อย
ยิ่งเขาพยายามป้องกันการโจมตีมากเท่าไหร่ ซูฮยอนก็ยิ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้นและกระหน่ําฟาด ดาบไม่ยั้ง การโจมตีมายังจุดเดิมซ้ําๆและหลายครั้ง ส่งผลให้บางจังหวะเขาป้องกันไม่ได้จนโดนค มดาบเฉือนเนื้อไปเต็มๆ
[กรุณาคุณแห่งวิญญาณ]
[เกราะหนาม]
[สะท้อน]
สกิลหลายอย่างคุ้มกายของโทมัสและเสริมความแข็งแกร่ง ดาบของซูฮยอนที่โจมตีใส่ผิวหนังได้ยินเหมือนเสียงโลหะกระทบกัน
แม้แต่บาดแผลชะเวิกชะวากตามตัว ก็เริ่มสมานตัวกลายเป็นรอยขีดขวนเล็กๆแทน
โทมัสยิ้มร่าออกมาอีกครั้ง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เท่านี้แกก็สร้างบาดแผลให้ฉันอีกไม่ได้แล้ว”
“อย่าพึ่งได้ใจไป”
ฉัวะ!!
เลือดสีแดงพุ่งกระฉุดออกมาจากแผ่นหลังของโทมัส
เขามั่นใจเต็มประดา หลังจากเปิดใช้สกิลเสริมแกร่งให้ร่างกาย การโจมตีของซูฮยอนจะไร้ผลกับตัวเขา
แต่แล้วความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดร่างกายของเขาถึงยังได้รับความเสียหายอยู่?
คําถามและความสับสนมากมายหมุนวนอยู่ในใจของโทมัส จนลืมความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ
ผ่านไปได้สักพัก โทมัสยกมือกุมหัวและล้มตัวนอนงอขี้กล้องไปบนพื้น
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
บาดแผลจํานวนมากที่เพิ่งจะสมานกัน เปิดชะเวิกชะวากอีกครั้งบนร่างกายโทมัส
ในเวลาเดียวกันร่างกายของซูฮยอนก็เร่งความเร็วขึ้นไปอีก จนมองไม่เห็นเงาเลือนลาง
ระหว่างโทมัสกําลังนอนขดตัวเป็นลูกบอล จู่ๆคําที่ซูฮยอนเคยกล่าวก่อนการต่อสู้ก็ผุดขึ้นมาในหัว..
“ฉันอยากพูดกับนายว่า การ หักแขน หักขา คนไม่มีทางสู้ ไม่ควรเรียกว่าการต่อสู้ แต่ควรเรียกว่าเป็นการแสดงอุปนิสัยดิบเถื่อนที่แท้จริงของตัวนายฝ่ายเดียวมากกว่า”
“ฉันจะทําให้นาย ได้ลิ้มลองความเจ็บปวดเหมือนพวกเขา”
[ไม่ควรเรียกว่าการต่อสู้ แต่ควรเรียกว่าเป็นการแสดงอุปนิสัยดิบเถื่อนที่แท้จริงของตัวนายฝ่ายเดียวมากกว่า] สถานการณ์ในปัจจุบันที่เขากําลังประสบเป็นดั่งคําพูดไม่มีผิด
ใบหน้าโทมัสที่เคยยิ้มแย้มสดใส ประเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นใบหน้าบิดเบี้ยวสุดอัปลักษณ์
“อีก ฉันเกลียดแก!! เกลียดแกเข้ากระดูกดํา!! ฉันจะฆ่าแก!!!”
วูบ!!!!
พลังเวทย์สีดําน่าขนลุกกระเพื่อมรอบตัวโทมัสอย่างเกรี้ยวกราด ร่างกายโทมัสที่นอนงอขี้กล้องกลางพื้นกระพริบเลือนลางแล้วหายไปพร้อมแรงลม ภายในสนามแข่งขันเหลือซูฮยอนยืนอยู่เพียงผู้เดียว
พลังเวทย์สีดําที่พรั่งพรูออกมาจากตัวของโทมัสเข้าปกคลุมสนามแข่งขันหมดทุกซอกทุกมุมซูฮยอนหยุดการเคลื่อนไหวและสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว
<<อย่าบอกนะว่าเป็นสกิลนั้น…>>
ดวงตาของซูฮยอนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงว่าตัวเองต้องมาเผชิญหน้ากับสกิลนั้นในงานแข่งขัน
ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสกิลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาสกิลทั้งหมดที่มีผลเกี่ยวพันกับอากาศ
นอกจากนี้สกิล [พนาเวศดําทะมึน] ยังติด 1 ใน 10 สกิลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกอีกด้วยแม้ว่าในอนาคตจะมีสกิลยอดเยี่ยมกว่า [พนาเวศดําทะมึน] ปรากฏขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่สกิล[พนาเวศดําทะมึน]ก็ยังถูกจัดอยู่ในสกิลระดับสูงอยู่ดี
“ไอ้หมอนี่ ลูกล่อลูกชนเยอะนักนะ”
โทมัสมาธิอัส
เป็นชื่อที่ซูฮยอนเคยได้ยินแค่ไม่กี่ครั้ง ข่าวการเคลื่อนไหวของโทมัสแทบไม่ปรากฎบนอินเตอร์เน็ตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโทมัสจึงมีน้อยมากๆ การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกและครั้ งสุดท้ายของเขาคือในช่วงสงครามแก่งแย่งอันดับเท่านั้น
หลังจากสิ้นสุดสงครามแก่งแย่งอันดับเบาะแสเกี่ยวกับโทมัสหายสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน การควานหาตัวเขาเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แม้จะไม่มีข่าวการตายของโทมัสออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การที่เขาหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาให้ผู้อื่นพบเห็น หลายฝ่ายต่างคาดการณ์กันว่า โทมัสอาจถูกผู้ตื่นขึ้นบางคนลอบสังหารไปแล้วก็ได้
แต่ชายที่ซูฮยอนกําลังเผชิญหน้าได้เปิดใช้งานสกิล [พนาเวศดําทะมึน] ออกมา
ไม่นะ ผมขอร้อง อย่าตีผม ผมเจ็บเหลือเกิน
เสียงของโทมัสดังออกมาจากที่ไหนสักแห่งในอากาศ น้ําเสียงของโทมัสเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างชัดเจน ทว่าจากการจับใจความเหมือนน้ําเสียงของโทมัสไม่ได้มีเจตนาพูดกับซูฮยอนแต่อย่างใด
<<ชายคนนั้นเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?>>
การที่โทมัสเปิดใช้สกิล [พนาเวศดําทะมึน] ชื่อโทมัสจึงถูกบันทึกลงในบัญชีดําของซูฮยอนโดยกะทันหัน เพราะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สกิล [พนาเวศดําทะมึน) จะอุบัติขึ้นอีกครั้งใจกลางเมืองและนําความสูญเสียมาสู่ผู้คน เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตเป็นเบื้อ
<<ถือว่าฉันโชคดีที่ทราบตัวผู้ก่อเหตุตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ว่า…>>
ซูฮยอนยกดาบขึ้นเหนือหัวแล้วแทงลงพื้นเต็มแรง
เคล้ง!!
ทันทีที่ดาบสัมผัสพื้น ใบดาบเกิดแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่ปลายจรดด้ามจับ
ความรู้สึกแรกที่ดาบแทงลงพื้นเหมือนดาบ 2 เล่ม ปะทะกัน ประหนึ่งว่าซูฮยอนกําลังปะมีอกับคู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธเป็นดาบอยู่
<<แรงสะท้อนกลับอย่างงั้นเหรอ แม้แต่พื้นก็แทงไม่เข้า เหลือเชื่อจริงๆ>>
ซูฮยอนไม่แน่ใจเกี่ยวกับความสามารถของสกิล [พนาเวศดําทะมึน] เขารู้เพียงว่าในอนาคตจะมีผู้เคราะห์ร้ายหลายพันคนเสียชีวิตด้วยสกิลนี้ และด้วยเหตุนี้การหลุดพ้นจากอํานาจ [พนาเวศดำทะมึนจึงไม่มีความรู้หรือข้อมูลอยู่เลยสักนิด
-ซองอินลูกรัก
ทันใดนั้นซุ้มเสียงปริศนาพลันดังขึ้นในหัวของซูฮยอนน้ําเสียงที่ฟังเหมือนคนอ่อนโยนที่เขา เคยลืมเลือนดังขึ้นเตือนความทรงจําชื่อที่ขานออกมาเป็นตัวตนในอดีตของเขา
ในปัจจุบันเขาไม่ใช่ซองอิน แต่เป็นซูฮยอนต่างหาก
-ซองอินขอร้อง ช่วยแม่ด้วย แม่เป็นคนให้กําเนิดลูกมานะ
ทั้งๆที่แกอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูง ทําไมถึงยังดิ้นรนอยู่อีก
ไม่จริงใช่ไหม ทําไมถึงลงเอยแบบนี้? ถ้าคุณมาเร็วกว่านี้พ่อของฉันคงไม่ตาย
ฮีโร่? อย่าทําให้ฉันหัวเราะหน่อยเลย แกมันก็แค่ฮีโร่จอมปลอม
โทนเสียงที่ไม่ซ้ํากันเปลี่ยนไปทุกวินาที
ซูฮยอนจําน้ําเสียงของพวกเขาได้ทั้งหมด (เสียง]ที่หยั่งรากอยู่ในความทรงจํากําลังหลั่งไหลออกมาภายนอก
มันเป็นน้ําเสียงที่เปรียบเสมือนฝันร้ายคอยหลอกหลอนจิตใจเขาเรื่อยมา
ทันใดนั้นภาพเมืองที่กําลังถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ําปรากฏขึ้นในกรอบสายตาของซูฮยอนก่อนพร่ามัวเปลี่ยนเป็นท้องฟ้ายามราตรีและทิวทัศน์เมืองที่ถูกทําลายกลายเป็นเศษซากปรักหักฟัง
เสียงผู้คนในอดีตที่พยายามก่นด่าเขาภายในหัวเงียบหายไปอาจเป็นเพราะเขายอมรับตัวตนของซูฮยอนและตัดสินใจใช้ชีวิตในนามซูฮยอน ไม่ใช่ซองอิน เสียงติเตียนที่ประดังเข้ามาจึงคงสภาพได้ไม่นานนัก
<<นี้สินะที่เรียกกันว่า โจมตีจากรอยแผลเก่า?>>
ไม่ว่าบุคลิกของภายนอกของคุณจะร่าเริงสดใสมากแค่ไหนแต่ส่วนลึกในจิตใจต้องมีความทรงจําแย่ๆในอดีตที่ไม่อยากนึกถึงและอยากให้หายไปตลอดกาลซุกงําไว้อยู่
ความทรงจําแย่ๆไม่ว่าใครก็ไม่อยากพบเจอ ยิ่งหวนนึกก็รังแต่ทําให้ตนเองเผชิญหน้ากับ ความ เจ็บปวด ความเสียใจและความหวาดกลัว
[พนาเวศดําทะมึน] มีความสามารถโจมตีความทรงจําเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมากล่าวอีกนัยหนึ่งคือดึงความทรงจําในอดีตที่ผู้คนไม่อยากจดจําออกมากัดกร่อนจิตใจ ให้พวกที่หลงอยู่ในอํานาจสกิลรู้สึกทุกข์ทรมาน
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าซูฮยอน เป็นภาพที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตภาพของโลกที่กําลัง ล่มสลาย บ้านเมืองพังพินาศย่อยยับและเสียงดุด่าด้วยถ้อยคํากักขฬะที่ถาโถมเข้าใส่เขาต้นเหตุเพราะทําหน้าที่ของตนเองบกพร่องได้ยินจมหู
ฉันขอโทษ
ชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าสํานึกผิดอยู่ตรงหน้าซูฮยอน
ชายตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวตนของเขาในอดีตซองอิน
ฉันขอโทษ ฉันมันไร้ค่า
ซูฮยอนจําสภาพของตัวเองในตอนนั้นได้ขึ้นใจเขาไม่สามารถลบช่วงเวลานั้นออกจากหัวได้ แม้ว่าตัวเขาต้องการก็ตาม
เหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในอดีตเกิดจากการระบาดดันเจี้ยนอุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 แห่ง ระหว่างโตเกียวและลอนดอนไม่ว่าเขาจะเลือกช่วยประเทศไหนก็สายเกินไปที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาเป็นดังเดิม
สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเลือกช่วยชีวิตผู้คนที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดนั่นก็คือประเทศญี่ปุ่นเมื่องหลวงโตเกียว
และนั่นเป็นต้นเหตุที่ทําให้ผู้คนในลอนดอนจํานวนมากเสียชีวิตเป็นผักเป็นปลา
<<เหตุการณ์ในอดีตคราวนั้น มีผู้คนจําวนวนมากโกรธแค้นฉันสุดคณนา>>
[การตายของพวกเขา เป็นเพราะฉันแท้ๆ] คือคําที่เขากล่าวโทษตัวเองเสมอ..
[เป็นเพราะแก ครอบครัวของฉันถึงได้ตายกันหมด] คําพูดที่ผู้คนตวาดให้ซูฮยอนฟังเป็นประ จําเมื่อเจอหน้า
เขาโดนสาปแช่งและโดนด่าสาดเสียเทเสียสารพัดความโกรธแค้นของผู้คนจําวนวนมากส่งผ ลกระทบมาถึงเขาร่างกายทุกส่วนรู้สึกหนักอึ้งเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ อาการหนักถึงขั้นที่ว่าลืมแม้กระทั่งวิธียิ้ม
ช่างเป็นความทรงจําที่แสนเจ็บปวดสุดพรรณนาเท่าที่ซูฮยอนเคยมี
แต่น่าเสียดาย….
“ฉันก็อยากขอโทษทุกคนอยู่หรอก แต่ว่า…”ซูฮยอนไม่หลงกลภาพลวงตาตรงหน้าที่เกิดขึ้นจากความเสียใจในอดีต
“ฉันขบคิดเรื่องนี้มาได้สักพัก จนได้ข้อสรุปว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่ใส่ใจเรื่องในอดีตที่ผ่านมาอีก”
นับตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซูฮยอนเร่งยกระดับความแข็งแกร่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตที่เขาล่วงรู้และการทําให้สําเร็จเขาต้องหวนนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆในอดีตอีกครั้ง
หากเขาไม่ยอมปล่อยวางเรื่องเก่าๆแล้วกลัวเหตุการณ์จะซ้ํารอยเดิมเขาคงไม่ลงแรงอาบเหงื่อต่างน้ําพยายามเปลี่ยนแปลงอนาคตตั้งแต่แรกหรอก
เขาเลือกเผชิญหน้ากับอนาคต เพราะเขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วที่สําคัญเขารู้ว่าเรื่องที่จะเกิดในอนาคตไม่มีทางเลี่ยงได้
และวิธีที่จะเอาชนะอนาคต คือการมองข้ามอดีตที่แสนเจ็บปวดไม่ว่ายังไงอดีตก็เป็นได้เพียง อดีต
ภาพลวงตาหายไปจากครรลองสายตาซูฮยอน บ้างที่อาจเป็นเพราะซูฮยอนไม่หวั่นไหวกับภาพตรงหน้าภาพลวงตาทั้งหมดจึงจางหายไปเขาไม่รู้ว่าโทมัสเป็นคนเรียกภาพลวงตากลับคือไปเองหรือไม่แต่การที่ภาพลวงตาหายไปหมายความว่าอีกฝ่ายรู้แจ้งแล้วว่าอํานาจของสกิลใช้ไม่ได้ผล
ทว่าเหตุการณ์เหมือนจะยังไม่จบเพียงแค่นั้นพื้นสนามแข่งขันที่กลายเป็นสีดําสนิทเริ่มสั่นสะเทือนและกระเพื่อมขึ้นลงเหมือนคลื่นน้ําทะเล
ซูฮยอนไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่เขาไม่ยอมงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆและรอให้โทมัสทําตามอําเภอใจแน่
<<น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้วิธียกเลิกสกิล หรือ ทําลายสกิลนี้ >>
ซูฮยอนไม่ “ลืม” ว่า พนาเวศดําทะมึน] เป็นสกิลระดับสูงการที่จะหักล้างสกิลระดับสูงได้จําเป็นต้องมีสกิลระดับสูงด้วยแต่ปัจจุบันซูฮยอนยังไม่มีสกิลระดับสูงที่ว่า
<<วิธีที่ได้ผลมากที่สุด คือการตัดพื้นที่ส่วนเกินออกไป กระบวนการต้องไม่ซับซ้อนหรือยุ่งยากจนเกินไป ฉันขอตั้งชื่อกลยุทธ์นี้ว่า ไฟลามทุ่ง>>
เปลวเพลิงลุกโชนรอบตัวซูฮยอน เปลวเพลิงสีครามบริสุทธิ์ทําให้สภาพแวดล้อมมืดมนสว่างไสว
การจุดประกายเปลวเปลวเพลิงส่งผลให้ [พนาเวศดําทะมึน] สั่นสะท้านราวกับกําลังปฏิเสธการมีตัวตนของเปลวเพลิงสีคราม
แต่มันยังไม่มากพอ…
ฟรีบ!!
สีของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนจากสีครามอ่อนเป็นสีครามเข้มโดยพลัน
ใช้เวลาไม่นานร่างกายของซูฮยอนก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
แสงสว่างเจิดจ้าข่มขวัญความมืด
<<สุดท้ายพลังเวทย์ในร่างกายก็มีอยู่อย่างจํากัด ไม่รู้ว่าจะทําลายสกิลระดับสูงได้ใหม>>
วิธีที่ซูฮยอนเลือกใช้ ไม่ค่อยเหมาะสมกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก แต่ซูฮยอนต้อง การ [ทดสอบ] ขีดจํากัดของ [พนาเวศดําทะมึน] ที่กําลังกักขังเขาอยู่ว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหนหากไม่มีสกิลระดับสูงจะทําลายได้หรือไม่..
“เอาล่ะ มาลองดูกัน”
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ห้อมล้อมตัวซูฮยอนเอาไว้ ค่อยๆแผ่ขยายวงกว้างมากขึ้น เปลวเพลิงสีครามเข้มเริ่มรุกคืบกลืนกินความมืด
โลกาแห่งความมืดมิด
เป็นอีกหนึ่งสกิลที่มีความสามารถเกี่ยวพันกับอากาศ โลกาแห่งความมืดมิด ติดอันดับ 1 ใน 10 สกิลยอดเยี่ยมของโลก แม้ในอนาคตจะมีสกิลใหม่ๆผุดออกมาเป็นดอกเห็ดก็ตาม
ผลของสกิลมีความสามารถคล้ายๆกับ [พนาเวศดําทะมึน] แต่ทั้ง 2 สกิลมีเอกลักษณ์แตกต่าง
[พนาเวศดําทะมึน] เหมาะสําหรับโจมตี แต่ โลกาแห่งความมืดมิด] เหมาะสําหรับพรางตัว
ซูฮยอนไม่รู้วิธีรับมือสกิลทั้ง 2 เนื่องจากเขาไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต แต่ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง
เพราะความแตกต่างด้านพลัง จะเพิกเฉยต่อตรรกะและกฎเกณฑ์ทุกอย่าง