การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 133
ตอนที่ 133
โลกาแห่งความมืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง เริ่มเกิดประกายแสงเจิดจรัสเรืองรองออกมาท่ามกลางความมืด
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีน้ําเงินเข้มรุกคืบกลืนกินความมืดอย่างต่อเนื่อง โทมัสที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกาแห่งความมืดมิด ยังพยายามดิ้นรนใช้ภาพลวงตาโจมตีจิตใจของซูฮยอน แต่ภาพลวงตาเหล่านั้นไม่มีผลต่อซูฮยอนเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลหลักที่ภาพลวงตาเสื่อมประสิทธิภาพลง เพราะพลังเวทย์ในตัวของซูฮยอนล้นหลามกว่าโทมัสหลายเท่า
<<สมแล้วที่เป็นสกิลระดับสูง ไม่แปลกที่ผู้คนจํานวนมากต่างยกย่อง>>
ตูม!!
ขณะกําลังปล่อยเปลวเพลิงกลืนกินความมืดมิด พลันปรากฏลําแสงปริศนาสีดําพุ่งโจมตีมาจากด้านหลัง ภายในสกิล [พนาเวศดําทะมึน] และ โลกาแห่งความมืดมิด เต็มไปด้วยมวลสารพลังเวทย์มหาศาลลอยตลบอบอวลอยู่เต็มอากาศ เมื่อผนวกกับพลังเวทย์ของซูฮยอนไปด้วยยิ่งทําให้พลังเวทย์ในอากาศพัวพันกันยุ่งเหยิง ลําแสงสีดําที่โจมตีมาจากด้านหลังจึงทวีความรุนแรงกว่าปกติ
ไม่ใช่แค่ขนาด แม้แต่อานุภาพก็อยู่เหนือความคาดหมายของซูฮยอน
ซูฮยอนถอนหายใจและปล่อยการโจมตีตอบโต้ลําแสงสีดํา
ตูม…
<<ในเมื่อเป็นแบบนี้…>>
[เนตรที่สาม – ลบล้าง]
เนตรที่สามแย้มพรายกลางหน้าผากซูฮยอน แล้วกวาดมองสํารวจสภาพแวดล้อมในโลกาแห่งความมืดมิด
<<แบบนี้นี่เอง ร่างกายของผู้ควบคุมสกิล เริ่มแบกรับภาระไม่ไหวแล้วสินะ>>
ความมืดมิดที่โอบล้อมซูฮยอนเอาไว้ ถูกแรงกดดันบังคับให้ถอยร่นหนีห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ออกไปเรื่อยๆ แสดงว่าอํานาจสกิลของโทมัสเริ่มถดถอยลงอย่างไม่ต้องสงสัย
“อ๊ากกกก!!”
เสียงครวญครางดังออกมาจากที่ห่างไกล เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงโทมัสไม่ผิดแน่
ซูฮยอนเริ่มตรวจจับตําแหน่งที่แน่ชัดของร่างจริงโทมัส ซึ่งหมายความว่าอํานาจจากโลกแห่งความมืดใกล้เสื่อมสภาพเต็มที
ซูฮยอนเดินไปตามทิศเสียงร้องของโทมัส เขาเชื่อว่าการจัดการร่างจริงของผู้ใช้ ง่ายกว่าการทําลายสกิลโดยตรงหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นร่างกายของโทมัสได้ถนัดตาแต่ทว่า…
“ขอร้อง อย่าตีผมเลย อย่าทําร้ายผม ผมเจ็บ…”
ภาพที่สายตาซูฮยอนมองเห็น คือโทมัสนอนขดตัวเป็นลูกบอลปากพร่ําบ่นพึมพํา เนื่องจากหูของซูฮยอนค่อนข้างดี เขาจึงได้ยินถ้อยคําที่เปล่งออกมาจากปากของโทมัสทั้งหมด แต่ที่ซูฮย อนแปลกใจคือเหมือนกับว่าโทมัสไม่ได้เจาะจงพูดกับเขา
<<อย่าตีผมเลยงั้นเหรอ…?>>
รูป!!
ทันใดนั้นเองภาพลวงตาปรากฏขึ้นต่อหน้าโทมัสอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซูฮยอนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพลอยโดนผลกระทบไปด้วย
ตอนแรกเขานึกว่าจะโดนภาพลวงตาเล่นงานจิตใจอีกรอบ แต่เหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น
ภาพลวงตาที่ปรากฏให้ซูฮยอนเห็นเป็นเรื่องราวของคน 2 คน ซึ่งทั้ง 2 คน เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ขอร้อง อย่าตีผม อย่าทําร้ายผม…”
ในจํานวน 2 คน มีเด็กชายตัวเล็กๆ 1 คน เขามีผมสีแดงเหมือนกับโทมัสไม่มีผิด แต่อายุของเขาแค่ 10 ขวบเท่านั้น และเด็กชายคนนั้นกําลังโดนชายแก่มีรอยสักชกต่อยตามเนื้อตัวอย่างไร้ความปรานี
“ผมขอโทษ มันเป็นความผิดของผม อย่าทําอะไรผมเลย ผมเจ็บ”
เพราะอะไรกัน? ทําไมเด็กตัวเล็กนิดเดียวถึงโดนทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหดขนาดนี้?
ไม่ช้าภาพลวงตาตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นภาพโทมัสที่มีอายุน้อยลงกว่ารอบแรกเขากําลังเดินจูงมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“โทมัส ต่อไปนี้ลูกต้องไปอยู่กับคุณพ่อนะ ไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่กับคุณพ่อจะทําให้ชีวิตของลูก พบแต่ความสุข”
“คนมีอายุคนนั้นเป็นพ่อของผมจริงเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ ต่อไปนี้เขาคือพ่อของลูก เข้าใจความหมายที่แม่พูดใช่ไหมโทมัส แม่มีเหตุต้องไปสถานที่ห่างไกลสักพัก อยู่กับพ่อ ลูกต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟังคําพูดที่พ่อพูดด้วยโอเคไหมจ๊ะ”
“ไม่เอา อย่าทิ้งผมไป ผมอยากอยู่กับแม่โทมัสพยายามรั้งแขนผู้เป็นแม่ของเขาเอาไว้ แล้วคะยั้นคะยออ้อนวอนเธอ
ทว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กๆไม่มีพละกําลังมากพอหยุดยั้งแรงกายของผู้หญิงที่โตกว่าได้ สุดท้ายโทมัสก็ต้องแยกจากผู้เป็นแม่แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตกับ [พ่อใหม่] ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาเลยแม้แต่หยดเดียว
การที่โทมัสเริ่มต้นชีวิตกับพ่อใหม่ไม่ใช่ปัญหาสําคัญ สิ่งที่สําคัญจริงๆคือเรื่องหลังจากนี้ต่างหาก
โทมัสที่อยู่ร่วมชายคากับพ่อใหม่เริ่มถูกทุบตีทําร้ายร่างกายบ่อยครั้ง สาเหตุเพราะผู้เป็นแม่ทิ้งลูกชายเอาไว้แล้วหนีตามผู้ชายไป..
ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยอมทิ้งสายเลือดแท้ของตัวเอง เพื่อก่อร่างสร้างตัวกับคู่ชีวิตคนใหม่
“พ่อ ผมขอโทษ…”
“ใครเป็นพ่อของแก? แกไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฉันด้วยซ้ํา ไอ้ลูกหญิงสาส่อน”
เพียะ!!
ภายในหนึ่งวัน เด็กชายถูกทุบตีนับครั้งไม่ถ้วน เขาพยายามวิงวอนให้อีกฝ่ายหยุดตี แต่ก็ไม่เป็นผล
เมื่อใดก็ตามที่สายตาของโทมัสและพ่อใหม่สบตากัน เขาจะเอื้อมือตบตีโทมัสเสมอต้นเสมอปลาย
ทั้งอย่างนั้นโทมัสก็ฝืนใจทนอยู่ร่วมกับพ่อคนใหม่ต่อไป เพราะเขาไม่มีร่มโพธิ์ร่มไทรต้นอื่นให้พักพิง
เวลาล่วงผ่านเลยไป เขาอายุเยอะขึ้น ร่างกายมีการเจริญเติบโตมากขึ้น แต่เหตุการณ์ที่เหมือนสมัยเด็กๆยังคงวนเวียนอยู่เช่นเดิม ไม่หายไปไหน
ความเจ็บปวดที่ร่ายกายเคยได้รับ เริ่มรับรู้ได้ลดน้อยลง อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อของเขาเติบโตขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่เด็กผอมกะหร่องอย่างในอดีตอีกแล้ว
แม้ร่างกายจะปรับตัวให้เคยชินกับแรงตบตี แต่สภาพจิตใจที่แสนบอบช้ําของเขา ไม่เคยปรับตัวให้ชินกับความรุนแรงได้เลยสักครั้ง มีแต่ทุกข์ระทมมากขึ้นจากร้อยเท่าเพื่อเป็นพันเท่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
แต่แล้ววันหนึ่ง ดั่งเจตนาฟ้าเห็นใจจึงประทานพรให้แก่โทมัส เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเขาพบว่าตัวเองสามารถ เข้า-ออก สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งได้ตามใจปรารถนา
[ยินดีต้อนรับสู่หอคอยแห่งการทดสอบ]
ชีวิตของเขาพลิกหน้ามือเป็นหลังมือนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
โทมัสไม่ย่างก้าวออกจากหอคอยแห่งการทดสอบหลายเดือน เพราะเขาไม่อยากกลับไปเจอประสบการณ์เลวร้ายอีก
เขา กิน นอน และอาศัยอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบเสมือนบ้านหลังที่สอง โทมัสถูกทุบตีอย่างทารุณมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ส่งผลให้จิตใจของเขาได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แม้ตัวเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่จิตใจของเขาไม่ต่างอะไรกับเด็ก
วูบ!!
ภาพลวงตาเปลี่ยนไปเป็นโทมัสที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ร่างกายเหมาะสมกับชายชาตรี เพราะตอนนี้เขาครอบครองพลังผู้ตื่นขึ้นเป็นที่เรียบร้อย
เขามาปรากฏตัวต่อหน้า[พ่อใหม่] อีกครั้ง ทั้ง 2 คน ยืนประจันหน้ากัน
[พ่อใหม่] ง้างมือทําท่าทางราวกับจะตบตีโทมัสให้หลาบจําซ้ําใหม่ “ไอ้เด็กเลี้ยงไม่เชื่องแกกล้าหนีไปจากฉัน เหมือนแม่ของแกงั้นเหรอ?”
แต่มารอบนี้ เขาไม่สามารถเอาชนะแรงช้างของโทมัสได้ ฝ่ายพลาดพลั้งและถูกเหวี่ยงติดกําแพงเป็นเขาเสียเอง
“ฉันสํานึกผิดแล้ว อย่าทําอะไรฉันเลย” พ่อใหม่แผดเสียงครวญคราง
เขาทราบดีหากยังดื้อดันต่อไป แค่การสะบัดมือเพียงครั้งเดียวของโทมัส อาจส่งเขากลับบ้านเก่าได้ไม่ยากเย็น
สิ่งที่เขาคิดไว้ในหัวไม่ผิดไปจากความจริงนัก เพราะโทมัสมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือสามารถหักคอเขาได้สบายๆ
แม้โทมัสจะเอาชนะ [พ่อใหม่] ได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ในความคิดของโทมัส [พ่อ ใหม่]ยังคงความน่ากลัวและเป็นเงาที่ยิ่งใหญ่ต่อเขาไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้
“ที่ผ่านมา ลูกคงไม่เกลียดพ่อใช่ไหม…”
[พ่อใหม่] เปลี่ยนกิริยาท่าทางของตัวเองเสียใหม่ ราวกับว่าคนเมื่อครู่เป็นคนละคนกัน เขาจ้องมองโทมัสด้วยแววตาสํานึกผิด วันนี้เป็นครั้งแรกที่โทมัสได้ยินเสียงพูดของ [พ่อใหม่] เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเสนาะหู
“ฉันขอโทษสําหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ลูกบาดเจ็บตรงไหนหรือปาว?”
“ฉันรักเธอนะ เจ้าลูกชาย”
วันรุ่งขึ้น โทมัสตัดสินใจประเมินความสามารถผู้ตื่นขึ้นพร้อมพา [พ่อใหม่] ไปด้วย
แน่นอนว่าผลการประเมินที่ออกมาเขากลายเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เต็มตัว โทมัสต้องมีความสุขกับความสําเร็จของตนเองเป็นแน่ เพราะเป็นครั้งแรกที่โทมัสยิ้มออกมาอย่างแช่มชื่น
ไม่มีใครทราบว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมาจากความสุขแท้จริงไหม? แต่จากความรู้สึกของซูฮยอนรอยยิ้มของโทมัสเหมือนมีอารมณ์บางอย่างขาดหายไป
“ตอนนี้ลูกกลายเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ไปแล้ว พ่อมีเรื่องอยากจะบอก ตั้งใจฟังให้ดี หากลูกเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับและผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกได้สําเร็จ กอร์ดอนโรฮันจะมอบเงินรางวัลส่วนหนึ่งให้เป็นการตอบแทน ลูกคงรู้ใช่ไหมว่า [เงิน] คืออะไร?”
“เงินเหรอ?”
“ถูกต้อง ลูกคงรู้สินะว่าเงินทําอะไรได้บ้าง สิ่งที่พ่ออยากให้ลูกทํา คือเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับแล้วนําเงินรางวัลมาให้พ่อ ลูกทําได้ไหม?”
“ไอ้พ่อเส็งเคร็ง น่าตบกระบาลจริงๆ” ซูฮยอนสบถ
ภาพลวงตาที่ปรากฏตรงหน้าโทมัสเป็น [ความชอกช้ําระกําใจ] ที่เกิดจากอํานาจสกิลโลกาแฟงความมืดมิด
สกิลโลกาแห่งความมืดมิดยังไม่คลายไปอย่างสมบูรณ์ มันยังต่อต้านพลังของซูฮยอนอยู่แม้พลังอํานาจจะลดทอนอ่อนกําลังลงไปเยอะก็ตาม ปฏิกิริยาภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเรียกว่าการสะท้อนกลับ
โลกาแห่งความมืดมิดไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของซูฮยอนมาได้ อํานาจของสกิลจึงย้อนกลับโจมตีจิตใจผู้ใช้แทน
ซึ่งหมายความว่าโทมัสยังควบคุมสกิลโลกแห่งความมืดมิดไม่ชํานาญพอ
“เฮ้อ เล่นเอาฉันหมดกะจิตกะใจต่อสู้เลยแฮะ ต้องขอบคุณคนที่อ้างตัวเองเป็นพ่อคนนั้นที่ทําให้ฉันหูตาสว่าง เข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น”
ซูฮยอนเคยสงสัยว่าทําไมโทมัสถึงมีจิตใจบิดเบี้ยวนัก ทั้งที่ภาพลักษณ์ภายนอกที่เขาแสดงออกมาไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลย ที่แท้ปัจจัยหลักๆมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัวและประสบการณ์เลวร้ายนานัปการที่เขาพบเจอตั้งแต่เด็กๆ จึงหล่อหลอมให้โทมัสเป็นอย่างปัจจุบัน
ซูฮยอนขยับเข้าใกล้โทมัสมากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวยังนอนขดตัวเช่นเดิม ปากพิมพ์ อ้อนวอนพ่อใหม่อย่าทุบตีเขาไม่หยุดหย่อน
“บอกตามตรง นายไม่ควรกลับออกมาจากหอคอยแห่งการทดสอบเลยจริงๆ”
หอคอยแห่งการทดสอบเหมาะแก่การอยู่อาศัยพอสมควร มีแค่ไม่กี่ชั้นเท่านั้นที่สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมโหดร้ายไม่เหมาะแก่การลงหลักปักฐาน โลกในหอคอยบางชั้นเรียกได้ว่ามีความใกล้เคียงกับโลกแห่งความจริง โทมัสเป็นผู้ตื่นขึ้นมากฝีมือและหาตัวจับได้ยาก ต่อให้สภาพอากาศในหอคอยจะหฤโหดแค่ไหน เขาก็สามารถอาศัยอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่ทรมาน
<<จะดีสําหรับตัวโทมัสมาก หากเขาตั้งรกรากในหอคอยแห่งการทดสอบและไม่กลับมาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดบนโลกภายนอกอีกครั้ง>>
การทําเช่นนั้นจะทําให้โทมัสหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับ [พ่อใหม่] ได้เป็นอย่างดี รอยแผลในอดีตจะได้ลบเลือนหายไปและสร้างความทรงจําใหม่ๆขึ้นมาแทนที่ และเขาจะได้ไม่หลงผิดเดินไปบนเส้นทางอํามหิตผู้ทําร้ายผู้บริสุทธิ์เหมือนในอดีต
“ถ้านายยังคิดว่าการตบตีทําร้ายร่างกายเป็นเรื่องน่ากลัว โปรดจําเอาไว้ว่าภายภาคหน้าอย่าได้ทําร้ายใครโดยที่ไม่มีสาเหตุอีก เข้าใจไหม”
ซูฮยอนย่อตัวลงข้างโทมัสและมองนัยน์ตาของอีกฝ่าย
[เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
“อีก…”
หลังจากสายตาของซูฮยอนเพ่งมองโทมัสจากระยะประชิด ร่างกายของโทมัสที่กระดิกกระเดี๋ยได้บ้างเริ่มแน่นิ่งไปอย่างช้าๆ เขาสูญเสียพลังเวทย์ในร่างกายไปเป็นจํานวนมาก เพื่อคงสภาพ โลกาแห่งความมืดมิดเอาไว้และสภาพจิตใจของเขาก็เริ่มแบกรับภาระไม่ไหวเมื่อตกอยู่ในอํานาจ[เนตรที่สาม – ผู้ล่า เหมือนความหนักอกหนักใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอกถูกปลดเปลื้องเขาหลับตาลงแล้วสลบเหมือดไปอย่างรวดเร็ว
“นอนเยอะๆจะได้พักฟื้นร่างกาย” ซูฮยอนพูดขณะยืนขึ้น สายตายังคงตรึงไว้ที่ร่างกายของโทมัสที่กําลังนอนหมดสติบนพื้น“ไว้เจอกันใหม่”
เพล้ง!!
ผลสกิลของ [พนาเวศดําทะมึน] แตกสลายกลายเป็นละอองแสงสว่างเจิดจ้าส่องกระทบไปยังร่างกายของโทมัส
การคัดเลือกรอบที่ 2 ดําเนินไปอย่างราบรื่น
จากผู้ผ่านเข้ารอบที่ 1 ทั้งหมด 66 คน เหลือรอดเข้าสู่รอบต่อไปแค่ 33 คน การคัดเลือกผู้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ใช้รูปแบบการต่อสู้ตัวต่อตัว จึงหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บไม่ได้ การต่อสู้ของทุกคู่จะยุติลงก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมจํานนหรือหมดสภาพต่อสู้เท่านั้น ผู้ที่ยืนหยัดได้คนสุดท้ายถึงจะกลายเป็นผู้ชนะ
เมื่อกล่าวปิดงานรอบที่ 2 เสร็จสิ้น ผู้จัดงานประกาศให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนทราบ ว่าพวกเขามีเวลาสามารถพักผ่อนตามอัธยาศัย 2 วัน ก่อนจะเริ่มการแข่งขันรอบต่อไป
ฮักจุนแทบไม่ได้ออกแรงในการต่อสู้เลยสักกระติด เขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้อย่างไม่ยากลําบากผิดกลับซงฮย็องกิที่พลาดท่าให้กับคู่ต่อสู้และตกรอบไปอย่างน่าใจหาย
การจับคู่ของซงฮย็องกิเรียกได้ว่าโชคร้าย ไม่เหมือนกับฮักจุนที่คู่ต่อสู้ของเขาอ่อนแอกว่ามากทําให้ผลแพ้-ชนะสรุปผลออกมาได้อย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ที่ซงฮย็องกิต้องขับเคี่ยวด้วยมีชื่อว่า แอ ชลิน ซึ่งเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอเมริกามากๆ น่าเสียดายฝ่ายที่คว้าชัยชนะไปได้คือแอ ชลิน ไม่ใช้ ซงฮย็องกิ
“พี่ซูฮยอน พี่กําลังจะออกไปไหนเหรอครับ?”
ฮักจุนไต่ถามซูฮยอนด้วยความสงสัย หลังจากกลับมาถึงห้องพัก ซูฮยอนกุลีกุจอเตรียมตัวออกไปข้างนอกด้วยท่าทางเร่งรีบ
ลีจุนโฮที่พึ่งจะสั่งอาหารเสร็จเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น “ซูฮยอน นายจะออกไปทําธุระที่ไหนสักแห่ง ข้างนอกใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว ฉันจะออกไปทําธุระข้างนอกประมาณ 1 วัน หรืออาจนานกว่านั้น”
“พึ่งจบการแข่งขันมาหมาดๆ นายไม่เหนื่อยหรือไง พักผ่อนเอาเรียวเอาแรงสักหน่อย ค่อยออกไปก็ได้”
“ฉันสบายดี ไม่เหนื่อยอย่างที่พวกนายคิดหรอก ที่สําคัญการต่อสู้รอบที่ผ่านมาฉันไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักแผลนายเบาใจเถอะ”
เขาไม่ได้พูดโกหก มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ผ่านการต่อสู้โดยที่ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนซูฮยอน…
“งั้นพี่พอบอกได้ไหมว่า สถานที่ ที่พี่กําลังจะไป คือที่ไหน?”
“สถานที่ที่ฉันกําลังไป ไม่เหมาะกับนายหรอก”ซูฮยอนตอบคําถามฮักจุนขณะกําลังใส่รองเท้า
“เดี๋ยวฉันกลับมา”
เพล้ง!!
ขวดเหล้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตกกระแทกพื้น เสียงที่ดังอึงอลปลุกชายที่ชื่อ มิตซ์ ฮีเวอร์ ให้ตื่นขึ้นจากการงีบหลับบนโซฟา
“อีก บัดซบเอ้ย”
มิตช์ ฮีเวอร์ ยกมือนวดขมับตัวเองราวกับกําลังบรรเทาไมเกรนที่กําลังเล่นงานเขา
เขายันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างแช่มช้า เมื่อสังเกตเห็นขวดเหล้าแตกเป็นชิ้นเล็กๆ พร้อมน้ําเมาที่ละเลงเต็มพื้นความโกรธเอ่อล้นออกมาจากทรวงอก
“ซวยเป็นบ้า!! เหล้าดีๆเสียเปล่าหมด”
เขายืนขึ้นจากโซฟาและเดินตรงไปยังห้องครัว เอื้อมมือเปิดตู้เย็น สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นเหม็นเน่าลอยตีจมูก
ตุบ!!
เนื้อชิ้นใหญ่ล่วงออกมาจากช่องตู้เย็น เขายืนมองเนื้อด้วยสายตาราบเรียบสักพัก ก่อนหยิบเนื้อขึ้นมายัดใส่กลับไปที่เดิม
“เห็นที่ฉันต้องลงมือทําอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นกลิ่นเหม็นฉุน อาจเลวร้ายลงไปอีก”
เขาลงมือจัดการทําความสะอาดคราบสกปรกบนพื้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด จากนั้นก็คุ้ยเขี่ยหาของบางอย่างในตู้เย็นสักพักหนึ่งเขาก็สังเกตเห็น บนโต๊ะอาหารมีเบียร์กระป๋องตั้งอยู่
เขาเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมาเปิดแล้วกระดกเบียร์อุ่นๆเข้าปาก ท้องของเขาส่งเสียงร้องโครกครากบ่งบอกถึงความหิว แต่เพราะมีแอลกอฮอล์ไหลลงในกระเพาะความหิวจึงทุเลาลง
“ไม่เข้มข้น แต่ก็แก้ขัดได้”
เขาดื่มเบียร์ลงท้องต่ออย่างเนื่องพลางทอดสายตามองสภาพห้องที่เละตุ้มเป๊ะ
เพียงไม่กี่วันบ้านที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแปรเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนคอกหมู นอกจากกลิ่นเหม็นฉุนที่ลอยอบอวลเต็มอากาศ ตามพื้นทางเดิมยังเต็มไปด้วยเศษขยะหลายชนิดวางเกลื่อนกลาดแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ยืน
“เมื่อไหร่จะกลับมาสักที่นะ ฉันจะได้ใช้ไอ้โง่นั่นทําความสะอาดห้อง”
มิตช์ ฮีเวอร์ จึมงํากับตัวเองและมุ่งหน้ากลับไปห้องนั่งเล่น เขาแก่ดีกรีมากเกินไป จนพลิ้งเผลอลืมเรื่องสําคัญ
“รอบคัดเลือกรอบที่ 1 เขาผ่านไปได้ แต่ไม่รู้ว่ารอบที่ 2 เขาจะผ่านไปได้ไหม?”
ความสําเร็จที่ประจักษ์ออกมาอยู่เหนือความคาดหมายของเขามาก
มิตช์ ฮีเวอร์ หัวร่อออกมาอย่างรื่นเริงใจ แม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือดแต่ถ้าอีกฝ่ายฝ่าฟันไปถึงรอบชิงชนะเลิศของสงครามแก่งแย่งอันดับได้ล่ะก็ เงินรางวัลจํานวนมหาศาลจะตกมาอยู่ในมือของเขา..
ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงที่ได้จากสงครามแก่งแย่งอันดับ จะผลักดันให้เด็กคนนั้นได้เงินจากหลายช่องทางส่วนแบ่งจากการโจมตีดันเจี้ยนก็พลอยได้มากขึ้นตามไปอีก
เมื่อมีเงินเป็นกอบเป็นกํา ถึงเวลานั้นเขาจะสามารถหนีออกจากสลัมที่ทั้งเหม็นและสกปรกแล้วออกมาไปใช้ชีวิตเปิดหูเปิดตาโลกภายนอกได้เสียที
ดึงด่อง!!
ในขณะที่เขาเปิดทีวีเพื่อรับชมข่าวสาร เสียงกดกริ่งหน้าบ้านพลันดังขึ้น มิตช์ ฮีเวอร์ ลุกขึ้นจากโซฟาแต่สายตายังคงตรึงไว้ที่ทีวี หน้าจอกําลังรายงานผลการแข่งขันสงครามแก่งแย่งอันดับที่พึ่งจบไปสดๆร้อนๆ
ผู้ตื่นขึ้นที่สามารถเอาชนะ โทมัส มาธิอัส มาได้และก้าวเข้าสู่รอบถัดไป คือ คิมซูฮยอนจากประเทศเกาหลีใต้
“ใคร?” เขาตะโกนถามคนหน้าประตู
“พ่อ ผมเอง”
เมื่อได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวรายงานผลการแข่งขันผ่านทางทีวี มิตช์ ฮีเวอร์ หน้านิ่วคิ้วขมวด
คนที่กดกริ่งหน้าบ้านไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโทมัสที่พ่ายแพ้ให้แก่ซูฮยอนแมตช์ล่าสุด
เด็กคนนั้นผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 1 ได้อย่างหญ้าปากคอก แต่รอบที่ 2 กลับชวดและต้องเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเสียอย่างงั้น
“แพ้จนทําให้สมองกระทบกระเทือนหรือไง ทําไมน้ําเสียงถึงมีความสุขแปลกๆ?”
ตอนแรก มิตซ์ ฮีเวอร์ หวังแค่ให้โทมัสผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 1 ให้ได้ก็พอ แต่เมื่อเห็นโทมัสผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้อย่างสบายๆ ความโลภในใจของเขายิ่งพองโตเพิ่มพูนมากขึ้น
ความคาดหวังของเขาเริ่มหันเหจากเป้าหมายเดิม เขาอยากให้โทมัสเข้ารอบลึกที่สุดเท่าที่ทําได้เพื่อนําเงินรางวัลกลับบ้าน แต่จากข่าวที่ทีวีรายงาน แจ้งว่าโทมัสพ่ายแพ้ ทําให้ความหวังที่วาดฝันไว้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี เสียงพูดของโทมัสกระตุ้นความฉุนเฉียวของเขาขึ้นมาอย่างฉุดไม่อ
แก๊ก
“แกทําบ้าอะไร ไอ้ลูกโง่? ทําไมแกถึงแพ้ง่ายขนาดนั้น…”
“ พ่อ ผมพาเพื่อนมาด้วย”
ประตูผุพังถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง จนทําให้บานประตูส้นง่อนแง่นและโทมัสเป็นผู้เปิดประตูด้วยตัวเอง ด้านหลังของเขามีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยยืนอยู่ด้วย..
เด็กที่มีจิตใจบอบช้ํา ไม่หนักแน่น แถมความคิดอ่านยังไม่ต่างอะไรกับเด็ก กลับบอกว่าตัวเองพา [เพื่อน] มาด้วย?
<<เพื่อน? ของเจ้าโง่เนี่ยน่ะเหรอ?>>
ลางสังหรณ์บ้างอย่างกําลังแจ้งเตือนเขา ทําเอาหัวใจเต้น ตุ้มๆ ต่อมๆ
มิตซ์ ฮีเวอร์ ตั้งใจพิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของโทมัสอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ไม่รู้ทําไมใบหน้าของอีกฝ่ายถึงคุ้นตานัก เหมือนเขาเคยเห็นมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้
<<คงไม่ใช่หรอกมั้ง..>>
“สวัสดีครับ”
คํากล่าวทักทายของซูฮยอนเป็นเหตุให้ลูกตา มิตซ์ ฮีเวอร์ เกือบถลนออกจากเบ้า เขาเหลียวหลังมองสลับไปมาระหว่างทีวีที่กําลังฉายใบหน้าคิมซูฮยอนและชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ผมคิมซูฮยอน เป็นเพื่อนของโทมัสครับ”
นัยน์ตาของซูฮยอนท่วมท้นไปด้วยความเหี้ยมเกรียมและจิตสังหารอันแรงกล้า