การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 56
ตอนที่ 56
“ขอร้อง ได้โปรด…ช่วยผมด้วย”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเกาะแข้งเกาะขาร้องไห้วิงวอนให้กับใครบ้างคน
ฮักจุนยืนมองฉากตรงหน้าด้วยความมึนงง เพราะชายที่กำลังร้องไห้วิงวอนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขาเอง
<<ความฝันงั้นเหรอ?>>
ฮักจุนก้มหน้าลงไปมองตัวเองที่กำลังร้องไห้วิงวอนด้วยความเวทนา เมื่อลองมองดูจากภายนอกดูเหมือนอายุของเขาจะมากกว่าตัวฮักจุนในปัจจุบันพอสมควร รอบๆตัวฮักจุนมีคนรุมล้อมเต็มไปหมด..
<<พวกเขาเป็นใครกัน?>>
เขาไม่สามารถระบุได้ว่าคนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้าง เพราะใบหน้าของทุกคนถูกหมอกสีขาวปกปิดเอาไว้ ขนาดมีบางคนพูดชื่อออกมา ฮักจุนก็ยังไม่คุ้นหู
“ได้โปรดเถอะ…”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แต่ร่างกายของชายคนนั้นก็ยังนั่งอยู่กับพื้น แล้วยังคงร้องไห้อย่างเวทนาเหมือนเดิม จนเกิดภาพที่มองแล้วเศร้าใจ
แม้จะร้องห่มร้องไห้ปานขาดใจ แต่กลับไม่มีใครยืนมือช่วยเลยสักคน
หลังจากฮันจุนยืนดูความฝันของตัวเอง ใจของเขากลับเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
<<ความฝันแบบนี้ เป็นลางบอกเหตุงั้นเหรอ?” การฝันครั้งนี้ มันชัดยิ่งกว่าวีดีโอ 8K ซะอีก ฮักจุนอยากปลุกตัวเองในตื่นจากฝันที่แสนเวทนาเช่นนี้ให้เร็วที่สุด เพราะฝันครั้งนี้มันปั่นป่วนจิตใจของเขามากเกินไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮักจุนเคยฝันร้ายแบบนับครั้งได้ด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้น ฉากตรงหน้าของฮักจุนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง “เกิดเชี้ยไรขึ้นอีกเนี้ย”ฮักจุกสบถคำหยาบออกมาด้วยความตกใจ หัวใจของฮักจุนเต้นเร็วจนผิดปกติเหมือนเลือดกำลังสูบฉีด ลมหายใจของเขาก็หนักขึ้นและถี่ ภาพที่ฮันจุนเห็นในปัจจุบันคือ เขากำลังโอบกอดผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมสั้นเท่าติ่งหู เธอกำลังนอนบาดเจ็บสาหัสด้วยลมหายใจโรยรา ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเลือดออกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะ ปาก หรือ ตา “เกิดอะไรขึ้น?” ตุบ!!! ทันใดนั้น..เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านหลังของฮักจุน มันเป็นใบหน้าที่เขาไม่อยากเห็นแม้แต่ในความฝันหรือโลกแห่งความจริง ใบหน้าของคนผู้นั้นก็คือ จองดงย็อง “นี่คือผลที่นายกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของฉันยังไงหล่ะ ฮักจุน” จองดงย็องพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับเขาเป็นคนมีความการุณย์ แต่ถ้าลองเปิดใจฟังน้ำเสียงของเขาดีๆกลับพบว่ามีความถากถางประปนมาด้วย จองดงย็องก้าวเดินไปหาฮักจุนที่ละก้าวจนประชิดตัว กริชเล่มเล็กๆขนาดพกพาทิ่มทะลุเข้าสู่กลางหัวใจของฮักจุนอย่างจัง “นายรู้อะไรไหม ถ้านายยอมทำตามคำสั่งของฉันเหมือนหมาที่ซื่อสัตย์ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ตายแบบไร้ค่าอย่างงี้หรอก” “อ๊ากกกกกกกกกกกก” ฮักจุนสะดุ้งตื่นจากฝันพร้อมกับกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ร่างกายฮักจุนเปียกปอนไปด้วยหยาดเหงื่อ เมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมานอนอยู่ในห้องเก็บของที่มืดมิดแบบนี้ <<ฉันอยู่ที่ไหนกัน?>>
สมองของฮักจุนตกอยู่ในความยุ่งเหยิงสักครู่ก่อนที่จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
เขาจำเหตุการณ์ได้ทุกอย่าง ก่อนที่เขาจะตกลงสู่ห้วงนิทรา
<<ฉันไม่ได้เป็นลม แต่โดยใครบางคนทำให้สลบ>>
แขน ไหล่ ขา หลัง ลำตัว ระบมไปหมด
ฮักจุกลองลูบมันเบาๆก่อนที่เขาจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด….เขาจำได้ถูกอย่าง ก่อนที่จะหมดสติ เขาโดนซ้อมไปหลายครั้ง จนทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว ในที่สุดสติของเขาก็จมสู่ห้วงนิทรา
ใบหน้าที่ฮักจุนเกรียดมากที่สุด เริ่มหวนกลับคืนมาจนเขาอยากลบเลือนมันออกไปจากสมอง
“เชี้ยเอ้ย”
น้องชาย เพื่อน ครอบครัว
เป็นคำพูดที่ฟังดูดี ถ้าอยู่กับคนดีมีคุณธรรมก็ดีไป แต่ถ้าอยู่กับพวกจิตผิดปกติมันจะเป็นคำที่ไร้ศรัทธาไปโดยปริยาย
จองดงย็องมักทำร้ายสมาชิกในกิลด์ที่ตัวเองเรียกว่า ‘ครอบครัว’ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเป็นประจำ
“ถ้านายยอมบอกความจริงกับฉันแต่แรก นายคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นายเข้าใจใช่ไหมฮักจุน?”
จองดงย็องรู้ว่าฮักจุนกับซูฮยอนแอบติดต่อกันอย่างลับๆ ทำให้ตัวเขาเกิดความไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนวางแผนทำอะไรลับหลังเขาหรือป่าว
ด้วยนิสัยทรราชแบบจองดงย็องไม่ว่าฮักจุนจะบอกว่าไม่รู้เรื่อง เจ้าตัวก็ไม่มีทางเชื่อ…
ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ฮักจุนได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามกาลเวลา…เมื่อเห็นฮักจุนนิ่งเงียบในที่สุดเขาก็โดนจองดงย็องอัดจนน่วมไปทั่วตัว
“จำได้ว่าฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าฉันเกรียดอะไรมากที่สุด การโกหกและการทรยศ 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันไม่ชอบมากที่สุด แกลืมแล้วหรือไง”
“อึก”
‘หึ..เกรียดการโกหกงั้นเหรอ..ทำอย่างกับแกไม่มีเรื่องปิดบังอยู่อย่างงั้นแหละ’ฮักจุนคิดภายในใจ
จองดงย็องเริ่มเหวี่ยงหมัดไปทางฮักจุนอีกครั้งด้วยความโกรธ ถึงแม้ในห้องจะมีสมาชิกกิลด์อยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนมือออกไปช่วยเหลือเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ถ้าพวกเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปโดนไม่รู้เรื่อง มีหวังได้มีสภาพเหมือนกับฮักจุกแน่ๆ
ถ้าหากมีการว่าจ้างเคลียร์ดันเจี้ยน ฮักจุนก็คงไม่อยู่ที่นี่และไม่ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้
ในดันเจี้ยนก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของฮักจุน เพราะเขาสามารถระบายอารมณ์ของเขาได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
หลังจากทนไปได้สักพัก ในที่สุดฮักจุนก็ไม่อาจทนรับการโจมตีของจองดงย็องได้อีกต่อไป หนังตาของฮักจุนก็ค่อยๆปิดลง
จองดงย็องไม่สนอยู่แล้วว่าฮักจุนจะเป็นหรือตาย เขาแค่ต้องการใช่ฮักจุนเป็นตัวแทนระบายอารมณ์ก็เท่านั้น…
หมับ
ปัง
ฮักจุนปล่อยหมัดออกไปชกกำแพงห้องเก็บของด้วยความโมโห อารมณ์ของเขาตอนนี้พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธจนตัวเขาไม่อาจห้ามได้
ฮักจุนรู้สึกว่าตัวเองโดนตัดหางปล่อยวัด ขนาดคนที่สนิทในกิลด์ยังไม่สนใจ
ติ๊ก
ในขณะที่ฮักจุนกำลังระบายความโกรธ มือถือที่หน้าจอแตกครึ่งหนึ่งก็มีข้อความเด้งแจ้งเตือน
เมื่อฮักจุนเห็นรายชื่อ ยันซอน แจ้งเตือนบนหน้าจอ เขาก็ขบฟันตัวเองจนเลือดซิบ
ฮักจุนสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดปากพูด
“ฮัลโหล”
********************
หลังจากซูฮยอนออกจากโรงพยาบาล เขาก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวในดูดีเพื่อไปยังสำนักงานรับรองเหล่าสหายผู้ตื่นขึ้น
ในขณะที่ซูฮยอนกำลังเดินไปตามโถงทางเดินของสำนักงาน…ผู้ตื่นขึ้นหลายคนที่จำซูฮยอนได้ก็เริ่มกระซิบกระซากกัน
เหตุที่พวกเขาจำซูฮยอนได้ เป็นเพราะพวกเขาอยู่ในสมรภูมิเดียวกับซูฮยอนมาก่อน
<<อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย วันวานที่แสนสงบสุขของฉัน ได้เวลาจากลากันแล้ว>>
ถึงแม้ตอนนั้นจะมีตัวเลือกมากมาย แต่วิธีที่ได้ผลมากที่สุด…คงเป็นวิธีที่ซูฮยอนเลือกใช้
ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองเลยว่าจะมีคนจำซูฮยอนได้หรือไม่ คำตอบคือมีอยู่แล้ว แต่จะรู้มากรู้น้อยก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
<<การเป็นจุดสนใจมันน่ารำคาญจริงๆ>>
การเป็นจุดสนใจ คือสิ่งที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต่างปรารถนา แต่สำหรับซูฮยอนมันเป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด เพราะการขยับเขยื้อนแม้เพียงก้าวเดียว ชื่อของคุณก็กลายเป็นข่าวได้
ฉะนั้นซูฮยอนจึงไม่อยากเป็นจุดสนใจเพราะมันเป็นภาระที่เขาไม่ต้องการ แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว จะไปหยุดหรือห้าม มันคงเป็นไปไม่ได้
“ฟู่ว”
เมื่อซูฮยอนเดินมาถึงหน้าห้องของผู้อำนวยการ เขาก็หายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยออกมา
เขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางหลบหน้าของผู้อำนวยการพ้น ยังไงสักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องเจอกันอยู่ดี
ในอดีต ซูฮยอนกับผู้อำนวยการก็เปรียบเสมือน เสือ 2 ตัวที่ไม่อาจอยู่ถ้ําเดียวกันได้ ทำให้เวลาซูฮยอนเจอกับผู้อำนวยการที่ไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกที
ก๊อก ก๊อก
ซูฮยอนเคาะประตูห้องทำงานด้วยแรงมือที่เสนาะหู.
“เข้ามาได้”
เสียงจากอีกฟากของประตูดังออกมา มันเป็นเสียงที่ทุ่มต่ำและหนักแน่น
ขนาดซูฮยอนได้ยินแค่เสียง อารมณ์ของเขาก็เริ่มต่ำลง เขาพยายามเขียนอักษรฮันจาคำว่า “สงบสติ” เอาไว้บนฝามือเพื่อเตือนสติตัวเองก่อนเปิดประตูเข้าไป
คลิ๊ก
ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการ มีคนอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 คน นั้นก็คือ ผู้อำนวยการ และ คังซึงชอล ที่เจอกันเมื่อ 2 วันที่แล้ว
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“อืม..นั่นสินะ”
ซูฮยอนยิ้มตอบกลับไปกับคำพูดของคังซึงชอล
เมื่อคังซึงชอลเห็นซูฮยอนยิ้มรับเขาก็โบกมือทักทายกลับไปพร้อมเชื่อเชิญให้มาอยู่ใกล้ๆกัน
ซูฮยอนมองไปยังผู้อำนวยการ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและรอยตีนกา ถ้าดูจากภายนอก….อายุของผู้อำนวยการยังน้อยกว่าในอดีตที่เขาเคยเจอมากนัก
แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่แววตาของผู้อำนวยการยังคงเหมือนเดิมแบบในอดีตที่ผ่านมา
“ได้ยินมาว่าคุณอยากเจอกับผมใช่ไหมครับ”ซูฮยอนพูด
“ถูกต้อง ฉันอยากเจอเธอมานานแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ได้มีโอกาสเจอกันสักที”
ผู้อำนวยการพูดออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มของผู้อัธยาศัยดี
เมื่อคิดย้อนกลับไปในอดีตซูฮยอนก็เคยเจอสีหน้าแบบนี้ของผู้อำนวยการมาแล้ว ขณะที่เขาพยายามแสดงละครเพื่อชักชวนซูฮยอนให้เข้าร่วมกลุ่มด้วยกัน ไม่ใช่แค่ซูฮยอนเท่านั้นที่เคยเจอ แม้แต่ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆก็เคยเจอด้วยเช่นกัน จนพวกเขาสงสัยกันว่า ผู้อำนวยการมีหน้ากากกี่อันกันแน่
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ฉันได้ยินวีรกรรมของเธอมาเยอะแยะมากมาย เธอเป็นคนที่มีความสามารถสูงจริงๆ”
ผู้อำนวยการยังคงยกย่องซูฮยอนไปอีกพักใหญ่ ซูฮยอนเริ่มเบื่อหน่ายกับคำยกย่อง เขาไปนั่งบนโซฟารับรองที่มีราคาแสนแพงพร้อมเปิดขวดไวน์จิบรอไปพลางๆ เขาหลับตาลงและทำใจให้สงบถ้าเลือกได้เขาไม่อยากฟังคำพูดที่ออกมาจากปากของผู้อำนวยการเลยจริงๆ
“ผู้อำนวยการคุณเลิกสรรเสริญผมซักที่เถอะ คุณอยากพูดเรื่องอะไรบอกผมมาเลยดีกว่า”
ในที่สุดซูฮยอนก็ทนการพูดนอกเรื่องของผู้อำนวยการไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจพูดเข้าเรื่องทันที่
ซูฮยอนรู้อยู่แล้วว่าผู้อำนวยการก็เป็นพวกชอบหน้าไหว้หลังหลอก ผู้อำนวยการต้องมีเรื่องอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฮยอน ผู้อำนวยการที่กำลังยกย่องซูฮยอนก็กลืนคำที่เขาคิดไว้ลงท้องทันที
สีหน้าของผู้อำนวยการแข็งกระด้างไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าอ่อนโยนอีกครั้ง “วัยรุ่นใจร้อนสมชื่อจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน จะได้เข้าประเด็นที่ฉันเตรียมไว้สักที ฉันมีข้อเสนอมาให้ เธออยากทำงานกับพวกเราหรือป่าว”
“เมื่อกี้คุณพูดว่า ‘พวกเรา’ มันหมายถึงองค์กรใช่หรือป่าว”
“อืม…ก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เธอพูด แต่มันมีข้อแต่ต่างเล็กน้อย..”ผู้อำนวยการมองไปทางคังซึงชอลซึ่งยืนติดอยู่กับเขา
“ถ้าเธอตัดสินใจเข้าร่วมกับเรา เธอจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับคังซึงชอล ซึ่งก็คือหัวหน้าของ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ในสังกัดของฉัน”
“มันแตกต่างกับองค์กรอื่นจริงๆเหรอ?”
“แตกต่างสิ…องค์กรของฉันไม่เหมือนกับของคนอื่น องค์กรที่ฉันตั้งขึ้น สร้างมาเพื่อส่งเสริม ‘ผู้ตื่นขึ้น’ โดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขาได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้องตามหลักสากล ถ้าเธอตกลงเข้าร่วม ฉันอยากไหว้วานเธอให้ช่วยฝึกฝนพวกเขาสักหน่อย”
คำพูดของผู้อำนวยการมันฟังดูแปลกๆ เพราะพวกเขาพึ่งเจอหน้ากันครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับเชิญเข้าร่วมองค์กรเนี่ยนะ
องค์กรของผู้อำนวยการ มีคังซึงชอลผู้อยู่แรงค์ A ค่อยทำหน้าที่ฝึกฝนลูกทีมแรงค์ B อีกหลายคนภายในสังกัดอยู่แล้ว
แต่ผู้อำนวยการกลับกล้ามอบหมายหน้าที่..ที่แสนสำคัญเกี่ยวกับความอยู่รอดและความเข้มแข็งขององค์กรให้ซูยอนดูแลเนี่ยนะ?
แต่พอมาคิดดูดีๆ ด้วยศักยภาพที่ซูฮยอนแสดงออกมา เขาก็เหมาะสมกับตำแหน่งที่ผู้อำนวยการเสนอให้เขาจริงๆ
“ตามการรายงานของคังซึงชอลอีกไม่กี่ก้าวเธอคงไปถึงแรงค์ S ที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต่างใฝ่ฝัน อีกอย่างด้วยทักษะการใช้อาวุธและสกิลที่เธอครอบครองก็ล้ำหน้าปรมาจารย์คนไปไกล ในช่วงเกิดภัยพิบัติเธอได้พิสูจน์ตัวตนแล้วว่าเธอคือคนที่มีคุณธรรมอยู่เต็มอก ที่สำคัญเธอยังไม่ได้สังกัดกิลด์ไหนอย่างเป็นทางการ ฉะนั้นตำแหน่งที่ฉันยกให้มันจึงเหมาะสมแก่เธอมากที่สุด”ผู้อำนวยการพยายามโน้มน้าวซูฮยอนต่อไป
‘คุณธรรมอยู่เต็มอกงั้นเหรอ?’
ซูฮยอนยิ้มขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการ
ช่างเป็นคำพูดที่ไร้แก่นสารโดยแท้จริง
<<เขายังกล้าพูดคำว่าคุณธรรมออกมาได้อย่างเต็มปากอีกนะ>>
ในเหตุการณ์ระบาดของดันเจี้ยนระดับสีเขียวในอันยัง ผู้อำนวยการสามารถอพยพผู้คนได้ง่ายๆโดยใช้อำนาจที่ใหญ่โตของตัวเอง แต่พอถึงเวลาจริงเขากลับไม่ทำ
ถ้าไม่ได้ซูฮยอน ประชาชนในเมืองอันยังคงเสียชีวิตไปครึ่งแสนแบบไม่ต้องสงสัย
ชายตรงหน้าซูฮยอนปล่อยให้ประชาชนในอันยังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติโดยไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นหรือตาย ขนาดซูฮยอนฝากการแจ้งเตือนผ่านลีจุนโฮไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจเหมือนประชาชนของเขาเป็นผักเป็นปลา แต่ครั้งนี้เขากลับกล้าเอ่ยคำ [คุณธรรมอยู่เต็มอก] ออกมาเพื่อดึงซูฮยอนให้ไปอยู่ใต้องค์กร
ถ้ากินเนสส์บุ๊คมีบันทึกสถิติชายที่หน้าหนาที่สุดในโลก ผู้อำนวยการคงติด 1 ใน 10 อย่างแน่นอน
“ดูเหมือนผมคงต้องขอปฏิเสธ”ซูฮยอนตอบกลับไป
“พ่อหนุ่ม…”
“อย่าเสียเวลาเชื้อเชิญผมอีกเลย ถึงคุณจะชวนผมเป็นพันครั้ง คำตอบของผมก็ยังเหมือนเดิม ผมก็ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำไมผมต้องลำบากไปดูแลองค์กรด้วย?”
ผู้อำนวยการตกอยู่ในความสงบหลังจากได้ยินคำตอบของซูฮยอน
ผู้อำนวยการคือคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลาย 10 ปี ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากกว่าวัยหนุ่มสาว การอ่านความคิดขอผู้คนคือสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด
หลังจาก ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่ผู้คนต่างเชิดชูเปิดเผยตัว ผู้อำนวยการก็ส่งสายสืบออกไปหาข่าวเกี่ยวกับซูฮยอนโดยไม่ลังเล ใช้เวลาไม่นานสายสืบของเขาก็นำข้อมูลมากางให้ดู จนเจอจุดอ่อนของซูฮยอน นั่นก็คือ เขาเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจนแสนเข็ญ
เงินและอำนาจ คือ 2 สิ่งที่ผู้คนทั่วโลกต่างต้องการและอยากมีไว้ในกำมือ
ในฐานะที่ผู้อำนวยการมีประสบการณ์มานักต่อนัก ทำให้การรับมือกับเด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึง 25 ปีไม่น่าใช่ปัญหาที่ยากเย็นอะไร โดยวิธีการที่ผู้อำนวยการเลือกใช้คือการพูดจาหว่านล้อมยกย่องไปเรื่อยๆจนเจ้าตัวเกิดความใจอ่อน สุดท้ายเขาก็อยากเข้าองค์กรด้วยความเต็มใจ
แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นดั้งสิ่งที่จินตนาการไว้….
<<ตามข้อมูลที่เผยแพร่จากสาธารณะชน เขาหลบอยู่ภายในมุมมืดมา 2 ปีโดยไม่โผล่ออกมา เขาเป็นคนยังไงกันแน่?>>
มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก….คนที่แข็งแกร่งอย่างซูฮยอนกลับเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด โดยไม่ยอมเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมา เพื่อประกาศในโลกรู้ว่าเขาเองก็เป็น 1 ในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ถึงเขาจะโผล่ออกมาจากซอกหลืบที่มืดมิดเพื่อยลโฉมประกายแสงที่เจิดจรัสของดวงตะวัน
ในที่สุดประเทศเกาหลีก็รู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของซูฮยอน แต่เขาก็ยังเมินเฉยต่ออำนาจแล้วเงินตราอยู่ดี ไม่ว่าจะมีสิ่งของอะไรมาล่อลวงเขาก็ปล่อยมันผ่านไปราวไม่มีตัวตนในสายตา
เหตุผลที่ซูฮยอนยอมเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมาก นอกซะจากการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย….
<<ความชอบธรรม?>>
เมื่อมันมาอยู่ตรงหน้าของผู้อำนวยการมันก็เป็นเพียงคำโกหกหลอกลวง
ผู้อำนวยการ เป็นชายที่มักเมินเฉยต่อความชอบธรรมจนเป็นเรื่องปกติ ผู้อำนวยการเชื่อว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นคนดี 100 เปอร์เซ็น อยู่แค่คุณจะเปิดเผยออกมาตอนไหนก็เท่านั้น
ถ้าความชอบธรรมมากองอยู่ด้านหน้าแต่ต้องแลกมาด้วยชีวิต เพื่อความอยู่รอด…เขายอมเพิกเฉยต่อความชอบธรรมแล้ววิ่งหนีไปดีกว่า
[ความชอบธรรม] สำหรับผู้อำนวยการ…มันก็เป็นได้แค่คำพูดที่ดูสวยหรู
****************
<<ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้…หรือเป็นเพราะเขายังเด็กอยู่?>>
ผู้อำนวยการเชื่อว่าข้อเสนอของเขามันยากที่เด็กน้อยอย่างซูฮยอนจะปฏิเสธ
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าซูฮยอนจะกล้าปฏิเสธข้อเสนอที่แสนหอมหวานขนาดนี้ได้
ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ตื่นขึ้นคนอื่นพวกเขาคงรับข้อเสนอด้วยความเต็มใจ
<<หากข้อเสนอล่อลวงเขาไม่ได้..>>
หรือควรใช้กำลังแทนคำพูดดี?
<<แต่ต้องแลกมากับการเป็นศัตรูกับผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เนี่ยนะ>>
เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ สีหน้าของผู้อำนวยการเต็มไปด้วยความตึงเครียด ตั้งแต่เขาดำรงตำแหน่งนี้มา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้
แผนการที่ผู้อำนวยการวางไว้คือการพูดยกยอซูฮยอนไปเรื่อยๆเพื่อหวังผนึกความคิดของเด็กคนนี้ให้คล้อยตาม แต่ถ้าแผนการที่ 1 ใช้ไม่ได้ผล แผนการที่ 2 ที่วางไว้ก็คือใช้กำลังประทุษร้าย
อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S แม้เจ้าตัวจะยังไม่ได้ประเมินระดับใหม่ก็ตาม แต่ศักยภาพที่เขาพิสูจน์ออกมามันก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขาอยู่บนตำแหน่งแรงค์ S ถ้าเขาลงมือใช้กำลังกับซูฮยอนจริงๆ มันก็เปรียบเสมือนว่าเขากำลังเข็นครกขึ้นภูเขามากกว่า
ยังไม่หมด..ถ้าซูฮยอนเกิดไปพอใจขึ้นมาแล้วใช้กำลังตอบโต้กลับ มีหวังผลที่ตามมามีแต่เสียกับเสีย
ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้อำนวยการควรประนีประนอมต่อซูฮยอนมากกว่าการใช้กำลัง
“ผู้อำนวยการ คุณคิดว่าการตัดสินใจของผมมันดูโง่เขลาหรือป่าว แต่ผมมีเรื่องที่น่าสนใจอยากจะพูดเกี่ยวกับคุณซักหน่อย”ซูฮยอนพูด
ซูฮยอนวางมือถือไว้หน้าตัก ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองผู้อำนวยการ
“คุณสนใจอยากฟังเรื่องที่ผมจะพูดไหม ผู้อำนวยการ?”
“เรื่องน่าสนใจงั้นเหรอ..”
ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ น้ำเสียงของซูฮยอนทำให้ผู้อำนวยการไม่สบายใจแปลกๆ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาอดกิเลสตัวเองไม่ได้
“ไหนเธอลองพูดให้ฉันฟังสิ”ผู้อำนวยการพูด
“เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมาก”
ซูฮยอนคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยก่อนดันมือถือของเขาไปด้านหน้า ด้วยหน้าจอที่สว่างอยู่ทำให้ผู้อำนวยการสามารถเห็นชื่อไฟล์ในมือถือได้อย่างชัดเจน
เมื่อผู้อำนวยการได้เห็นเนื้อหาภายใน ดวงตาที่แก่ชราก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ หน้ากากของผู้ดีที่ผู้อำนวยการสวมใส่ไว้เริ่มเกิดรอยปริแตก
“เธอต้องการอะไรกับฉันกันแน่?”ผู้อำนวยการถาม
ใบหน้าของผู้อำนวยการตอนนี้ยับยู่ยี่ยิ่งกว่าผ้าปูเตียงเสียอีก ซึ่งมันแตกต่างกับก่อนหน้านี้ที่ซูฮยอนเข้ามาในห้องทำงานโดยสิ้นเชิง
“ต้องการอะไรงั้นเหรอ…ก็หลายอย่างอยู่นะ”
<<ในที่สุด ฉันก็ได้กุมบังเหียนของผู้อำนวยการได้สำเร็จ>>
ตอนนี้ถึงเวลาที่ซูฮยอนต้องพูดคุยกับผู้อำนวยการสักหน่อย เพื่อในเส้นทางในอนาคตง่ายขึ้น