การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 79
ตอนที่ 79
“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ดันเจี้ยนแห่งนี้ยังไม่ถึงจุดจบ”
ดุลลาฮานไม่ได้กระจอก แต่หากดันเจี้ยนจบลงเพียงเพราะสังหารดุลลาฮาน มันคงง่ายเกินไปที่จะเป็นดันเจี้ยนระดับสีเขียว
สำหรับซูฮยอน ดุลลาฮาน เหมาะกับเป็นบอสดันเจี้ยนระดับสีเหลืองมากกว่า ดันเจี้ยนระดับสีเขียวหลายเท่า
ไม่แน่บางที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์ ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อาจเป็นบอสแท้จริงของดันเจี้ยนแห่งนี้ก็ได้ ขนาดมันลอยอยู่ไกลๆ ซูฮยอนใช้สายตาเปล่าๆ ยังมองเห็นขนาดตัวของมันได้อย่างชัดเจน…
<<ปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ คือเรือลำนี้>>ซูฮยอนคิด
ครืน ครืน
เรือที่ลอยอยู่นิ่งๆกลางอากาศไม่ยอมขยับไปไหน เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ก่อนตัวเรือจะเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน..
ถ้าข้อสันนิษฐานของซูฮยอนถูกต้อง เรือลำนี้ไม่น่าจะอยู่ด้านล่างตั้งแต่แรก แต่มันน่าจะแล่นเรือท่องเที่ยวอยู่บนทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านบน และเรือลำนี้กำลังกลับไปที่ๆมันจากมา..
“ไม่ใช่เรือธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆด้วย”ซูฮยอนบ่นพึมพำ
เรือลำใหญ่เช่นนี้ มันไม่ควรเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดุลลาฮานสร้างขึ้น เพราะตัวเรือมีขนาดใหญ่โตเกินไป
ความใหญ่ของเรือเทียบเท่ากับเกาะเล็กๆ 1 เกาะ…ต้องให้อัศวินเกราะเหล็กมีจำนวนเยอะกว่านี้ เรือลำนี้ก็บรรจุไหว.. เหตุผลที่ซูฮยอนเชื่อว่าเรือลำนี้ไม่ใช้ของดุลลาฮาน เพราะในเมื่อเจ้าของเรือตายไปแล้ว ทำไมเรือถึงยังเคลื่อนที่ได้อีก? แสดงว่าเรือลำนี้อาจมีพลังงานขับเคลื่อนด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องมีเจ้าของ..
ในระหว่างที่เรือกำลังเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบนที่ละเล็กที่ละน้อย ซูฮยอนก็ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในลึกๆ
เมื่อซูฮยอนเดินเข้ามาจนถึงทางตัน เขาก็รับรู้ได้ถึงลักษณะโครงสร้างของเรือลำนี้..
“เรือลำนี้ ยังมีชีวิตอยู่…”
เขารู้อยู่แล้วว่าเรือลำนี้ไม่ใช่เรือธรรมดาทั่วไป แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรือลำใหญ่ขนาดนี้จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง หากพูดง่ายๆเรือลำนี้ก็เหมือนกับเป็นมอนสเตอร์ตัวหนึ่ง..
“อืม…งั้นก็” ซูฮยอนยืดอกให้ตรงก่อนหันไปพูดกับมิรุ
“มิรุ”
คิ้ว?
“ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย”
*****************
“แม่งเอ้ย…เยอะเป็นบ้าเลยให้ตายเถอะ”
ลีจุนโฮที่หยุดพักเหนื่อยหลังจากผ่านการต่อสู้กับอัศวินเกราะเหล็กบ่นพึมพำออกมา…ถึงแม้ปากจะบ่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่มาก
อัศวินเกราะเหล็กหลายร้อยตัว ถูกจัดการลงไปเยอะมาก ทำให้จำนวนของพวกมันเริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด…
กิลด์ 3 แห่ง ที่อยู่ที่นี่ต่างไม่ยอมน้อยหน้าใครทั้งนั้น พวกเขาแข่งขันกันสังหารอัศวินเกราะเหล็กให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่อยากโดนกิลด์อื่นๆดูถูก
“ตอนแรก กว่าจะสังหารไปได้แต่ละตัว ลำบากลำบนแทบตาย แต่พอหาจุดอ่อนของพวกมันเจอ การสังหารอัศวินเกราะเหล็กง่ายขึ้นเป็นกอง”
คิมแทคฮยอนถือคทาเดินเข้าไปหาลีจุนโฮและเป็นฝ่ายแรกที่ชวนคุย…
ดูจากท่าทางของคิมแทคฮยอน เหมือนเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นสังหารอัศวินเกราะเหล็กอย่างที่ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆเป็นกัน…
“ฉันมีคำถาม หากจำไม่ผิด เมื่อก่อนนายอยู่แรงค์ B ไม่ใช่เหรอ นายขึ้นมาอยู่แรงค์ A ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นได้ยินข่าวคราวเลย”คิมแทคฮยอนถาม
เขาเฝ้าสังเกต การต่อสู้ระหว่างลีจุนโฮและอัศวินเกราะเหล็กมาได้สักพัก แม้คิมแทคฮยอนจะหัวยุ่งอยู่กับการต่อสู้อัศวินเกราะเหล็ก แต่พลังเวทย์ระดับ 6 ของลีจุนโฮ ก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสัมผัสของเขาได้
“จะว่ายังไงดี…ฉันอยู่แรงค์ A มาได้สักพักใหญ่ๆ ได้แล้ว ฉันวางแผนจะไปประเมินแรงค์ของตัวเองใหม่อีกครั้งในเร็วๆนี้”ลีจุนโฮตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีท่าทางอิดออด ยังไงเขาไม่เคยคิดอยากปิดบังความสามารถของตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดันเจี้ยนระดับสีเขียวเป็นได้แค่เพียงทางผ่านและทดสอบสกิลใหม่ๆของเขาเท่านั้น
“อย่างงั้นเหรอ…”คิมแทคฮยอนหันไปมองหน้าลีจุนโฮอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนพูด
“นายสนใจเข้าร่วมกิลด์เรดเดวิลของฉันไหม? ฉันมั่นใจว่า ค่าตอบแทนจากกิลด์เรดเดวิล จะไม่ทำให้นายผิดหวัง”
“เข้าร่วมกิลด์ของคุณงั้นเหรอ?”ลีจุนโฮถาม
“ถูกต้อง…ว่าไงสนใจไหม หากสนใจ กิลด์ของฉันยินดีอ้างแขนรับนายเสมอ ฮ่า ฮ่า”
มันเป็นคำชักชวนที่คาดไม่ถึง สำหรับลีจุนโฮ กิลด์เรดเดวิลมีชื่อเสียงพอสมควร ขนาดภายในกิลด์ไม่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S กิลด์มาสเตอร์คิมแทคฮยอน ยังผลักดันกิลด์ให้มาอยู่เกือบชั้นแถวหน้าได้.
หากลีจุนโฮไม่รู้จักซูฮยอนมาก่อน เขาคงยอมรับข้อเสนอไปโดยไม่รอช้า..
“ขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผมยังสบายดีอยู่ หากผมต้องการเข้าร่วมกิลด์สักแห่ง ผมคงไม่อยู่อย่างไร้สังกัดอย่างทุกวันนี้หรอก”ลีจุนโฮรีบพูดปฏิเสธ
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ คิมแทคฮยอนก็กัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความอัปยศ
เขาอยากได้ลีจุนโฮมาอยู่ในสังกัดจริงๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้ตื่ขึ้นแรงค์ A ยิ่งไปกว่านั่นลีจุนโฮยังสนิทสนมกับซูฮยอนอีกต่างหาก…
ถ้าคิมแทคฮยอนได้ลีจุนโฮมาอยู่ในกำมือ เขาสามารถใช้ลีจุนโฮเป็นสะพานเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับซูฮยอนได้..
“มีคนได้รับบาดเจ็บเยอะไหม?”ลีจุนโฮที่ไม่อยากให้บรรยากาศการรอบๆเลวร้ายลง จึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อใหม่…
คิมแทคฮยอนคิดไว้อยู่แล้ว ว่าอีกฝ่ายอาจเห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้ของเขามานานแล้ว แต่ลีจุนโฮแค่แกล้งแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้..
“ในกิลด์ของฉันมีคนได้รับบาดเจ็บประมาณ 2 คน แต่ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรมาก”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
หากคนในกิลด์เรดเดวิลมีคนได้รับบาดเจ็บ 2 คน แสดงว่ากิลด์อื่นๆคงไม่ต่างกันมาก
อัตราส่วนผู้ตื่นขึ้น 10 คน จะมีคนได้รับบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะ…
ถ้าการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวจบลงด้วยสติเช่นนี้ มันจะกลายเป็นการโจมตีที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
“ลีจุนโฮ นายคิดว่าดันเจี้ยนแห่งนี้มันแปลกๆหรือป่าว เพราะมันง่ายเกินไป”คิมแทคฮยอนพูด
ลีจุนโฮพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของคิมแทคฮยอน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลีจุนโฮได้มีโอกาสมาสัมผัสกับความยากของดันเจี้ยนระดับสีเขียว แต่จากการรวบร่วมข้อมูล ขึ้นชื่อดันเจี้ยนระดับสีเขียว มันควรมีความยากมากกว่านี้..
“นั่นสิ อาจเป็นไปได้ว่า ดันเจี้ยนแห่งนี้ ยังไม่จบ”
“ฉันก็คิดเหมือนกับนาย”
กลุ่มของพวกเขายังเดินสำรวจไม่ทั่วทั้งเมือง ทำให้ไม่รู้ว่ายังมีกับดักหรือมอนสเตอร์แอบซ่อนอยู่อีกหรือป่าว
ถ้าหากยังมีกับดักหรือมอนสเตอร์ซ่อนอยู่ มันอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ให้กลุ่มของพวกเขามีคนบาดเจ็บน้อยมากๆ
“จุดที่พวกเรา 2 คนยืนอยู่ ไม่มีอัศวินเกราะเหล็กมากวนใจอีกแล้ว พวกเขาไปดูอาการผู้บาดเจ็บกันดีกว่า”ลีจุนโฮพูด
คิมแทคฮยอนพยักเห็นด้วย แต่ก่อนจะไป เขาอยากถามคำถามสักข้อ “เดี๋ยวก่อน คุณคิมซูฮยอนไปไหน?”
“ฉันคิดว่า เขาคงกำลังตรวจสอบเรือที่ลอยอยู่บนฟ้านั่นแหละ”
“ตรวจสอบ? ทำไมใช่เวลานานจัง?”
คิ้ว!!!!!
ในขณะที่พวกเขา 2 คนกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสียงที่คุ้ยเคยก็ดังออกมาจากท้องฟ้า…
เสียงที่ว่าไม่ใช่เสียงใครอื่น นอกจากมิรุตัวน้อย
มิรุบินวนอยู่บนฟ้า 2-3 รอบ ก่อนบินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของลีจุนโฮ
“มิรุ มาที่นี่ได้ไง ทำไมถึงมาคนเดียว ซูฮยอนไปไหน” ลีจุนโฮถามด้วยความประหลาดใจ
“นะ..นี่มันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของ คุณซูฮยอนไม่ใช่เหรอ?”คิมแทคฮยอนพูด
ทั้งลีจุนโฮและคิมแทคฮยอนอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็น มิรุบินมาหาพวกเขาเพียงตัวเดียว
ตามปกติมิรุติดซูฮยอนอย่างกับปาท่องโก๋…
ในเมื่อมิรุมาเพียงคนเดียว ทำให้พวกเขา 2 คนอดเป็นห่วงซูฮยอนไม่ได้ ไม่แน่บางที่ซูฮยอนอาจกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่ก็ได้…
หากซูฮยอนกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แสดงว่าการโจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้ คงจบลงด้วยความล้มเหลว…
คิ้ว!!! คิ้ว!!!
มิรุที่บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลีจุนโฮ มันพยายามแกว่งห่างไปมาเหมือนกำลังจะสื่ออะไรบางอย่าง เมื่อลีจุนโฮลองสังเกตห่างของมิรุ เขาก็พบมาปลายห่างของมิรุ มีกระดาษมัดเอาไว้
“กระดาษงั้นเหรอ?”
คิ้ว!!!
มิรุยืนห่างเล็กๆของมันไปทางลีจุนโฮ
ลีจุนโฮรีบยกมือขึ้นแกะกระดาษที่มัดอยู่บนปลายห่างของมิรุ เมื่อเขาคลี่กระดาษออกมาก็พบข้อความที่เขียนเอาไว้..
[ฉันวางแผนจะทำลายเรือยักษ์ที่ลอยอยู่ด้านบน ฉันมีเวลาให้นาย 10 นาที รีบอพยพผู้ตื่นขึ้นให้ไปในที่ปล่อยภัยซะ]
“อะไรนะ?”
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก?”
ชายหนุ่มสอง 2 คน อ่านข้อความบนกระดาษเสร็จก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเรือที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้านบน
“เขาวางแผนจะทำลายเรือลำนั้นงั้นเหรอ?”
“ถ้างั้นก็…”
“ทุกคนได้ยินเสียงของฉันใช่ไหม หากได้ยิน ทุกคนได้โปรดวิ่งหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”คิมแทคฮยอนตะโกนเสียงดังสุดชีวิต
ลีคังฮุยที่จัดการอัศวินเกราะเหล็กตัวสุดท้าย รีบตะโกนถาม “วิ่งหนี? นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่?”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำเสียงดูตื่นตระหนกขนาดนั้น?”
“เรือด้านบนกำลังถูกทำลาย รีบหนีเร็วเข้า อย่าชักช้า”
“อะไรนะ เรื่องจริง?”
แม้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้ยินว่าเรือด้านบนกำลังจะอับปาง นอกจากเรื่องวิ่ง พวกเขาก็โยนความคิดอย่างอื่นทิ้งไป
**********
“โชคดี ที่กำลังขาของทุกคนยังมีแรงเหลืออยู่”
ซูฮยอนยืนอยู่บนหัวเรือ แล้วชะโงกหน้าลงไปมองพื้นด้านล่าง
ภาพจากมุมสูงทำให้เขาเห็นผู้ตื่นขึ้นกำลังจับกลุ่มกันวิ่งหนีไปยังจุดปล่อยภัยสุดชีวิต
แม้ซูฮยอนจะเห็นแค่จุดเล็กๆเหมือนก้อนกรวด เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของผู้ตื่นขึ้นส่วนใหญ่ เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความกลัว..
ซูฮยอนอยากลงไปบอกเล่าเหตุการณ์ในกับทุกคนฟังด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยเรือลำนี้ไปได้ หากมันหายไปขึ้นมาได้เป็นปัญหาแน่..
<<หากฉันไม่ทำลายเรือลำนี้ ชะตากรรมสุดท้ายของเรือลำนี้ ก็หนีไม่พ้นการอับปางอยู่ดี แต่เพราะฉันอยู่ในดันเจี้ยน ทำให้ไม่อาจมองข้ามจุดสำคัญเล็กๆน้อยๆไปได้>>
ซูฮยอนดีดตัวลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ของดุลลาฮาน…
คิ้ว!!!!
หลังจากมิรุเสร็จสินภารกิจที่ซูฮยอนมอบหมายให้ มันก็บินกลับมาหาเขาด้วยความเร่งรีบ
<<หากมิรุเติบโตขึ้นอีก เขาจะเป็นเด็กดีเหมือนอย่างตอนนี้ไหมนะ?>>
ซูฮยอนยกมือขึ้นมาลูบหัวมิรุด้วยความเอ็นดู “ขอบคุณมาก เจ้าตัวน้อย”
คิ้ว คิ้ว
ด้วยความที่มิรุแสดงกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูออกมา ทำให้ซูฮยอนอยากหยอกล้อกับมิรุต่ออีกสักพัก แต่เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอยู่…
ผู้ตื่นขึ้นที่วิ่งหนีอยู่ด้านล่าง ล้วนอพยพไปยังที่ปล่อยภัยเป็นที่เรียบร้อย ต่อให้เรือลำนี้อับปางลงจริงๆ
ซูฮยอนเชื่อว่าผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ด้านล่างไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ เพราะพวกเขาทุกคนมีทักษะการต่อสู้มากกว่าผู้ตื่นขึ้นทั่วไปเและพวกเขายังถูกคัดเลือกมาโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวโดยเฉพาะ
การเตรียมการสำหรับแผนขั้นต่อไป ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เรือใหญ่ลำนี้แม้จะมีสภาพเสื่อมโทรม…หากอยากทำลายเรือใหญ่ลำนี้ให้อับปางลง เขาต้องเผาผลาญพลังกายของตัวเองเป็นจำนวนมากเพื่อทำลายเรือลำนี้… แต่ซูฮยอนไม่จำเป็นต้องเสียแรงโดยใช้เหตุ เพราะเขามีวิธีที่ดีกว่านั้น
“ฉันไม่คิดมาก่อนเลย ว่าจะมีโอกาสได้ใช้ของสิ่งนี้อีก”
ซูฮยอนล่วงมือเข้าไปในกระเป๋า แล้วหยิบก้อนหินสีแดง ก้อนเล็กๆขึ้นมา
หินสีแดงที่ซูฮยอนถือเอาไว้ในมือเหลือเพียง 1 ก่อนเท่านั้น ทำให้ซูฮยอนคอยปัดกวาดเช็ดฝุ่น ดูแลมันดั่งทองคำ สาเหตุที่เขาดูแลมันเป็นอย่างดี เพราะก้อนหินสีแดง เป็นผลงานของ คิมคิมแดโฮ รังสรรค์ขึ้นมา
******************
“หินก้อนสีแดงที่เธอเห็น ฉันสร้างมาจากหินอีเธอร์ของเธอ กว่าจะสร้างมันได้แต่ละก้อน ยาวนานมาก ดังนั้นก่อนใช้ คิดให้ถี่ถ้วนก่อน”
“แล้วมันใช้ยังไง?”
“ก้อนหินพวกนี้มีไว้สำหรับขยาดพลังเวทย์”
“ขยาดพลังเวทย์?”
“หากเธอปล่อยพลังเวทย์ลงไปในหินก้อนนี้ ก้อนหินจะทำการเชื่อมต่อพลังเวทย์ของเธอโดยอัตโนมัติ วิธีใช้งานก็ง่ายมากๆ มันคล้ายๆการทำงานของวงเวทย์ที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนชอบใช้กัน จำคำของฉันเอาไว้ให้ดีๆ มันแค่คล้ายๆเท่านั้น ถ้านายเชื่อมต่อพลังเวทย์เข้ากับก้อนหิน นายจะสามารถบังคับมันให้มันระเบิดได้”
แม้คิมแดโฮจะอธิบายไม่ค่อยเข้าใจ แต่ซูฮยอนก็พอจำใจความสำคัญและเข้าใจการทำงานคร่าวๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ก้อนหินสีแดงเป็นสื่อกลางในการสร้างวงเวทย์ โดยเฉพาะรูปแบบทรงกลมที่ทำค่อนข้างง่ายและประหยัดทรัพยากรมากที่สุด…
“ฉันพูดว่ามันทำงานคล้ายๆกับวงเวทย์ แต่นายไม่จำเป็นต้องยึดหลักวงเวทย์เสมอไป ไม่นายจะวางเป็นแนวนอนหรือครึ่งวงกลม ก้อนหินที่ฉันสร้างขึ้น ก็ทำงานได้อยู่ดี ตราบใดที่นายยังมีการเชื่อมต่อกับมันอยู่ มันจะกลายเป็นเครื่องมือขยายพลังเวทย์ได้ดีที่สุด จนหาอะไรอยากอื่นมาเปรียบเทียบไม่ได้”
“งั้นเหรอครับ…ก้อนหินพวกนี้เหมาะกับวางไว้ตามพื้นเพื่อเป็นกับดักสินะ”
“มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกับดับเพียงอย่างเดียว…”คิมแดโฮยิ้มร่าออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“นอกจากจะทำเป็นกับดักได้แล้ว มันยังเหมาะเอาไว้ใช้สำหรับทำลายวัตถุชิ้นใหญ่ๆอีกด้วย”
******************
ต่อให้ก้อนหินสีแดงเหล่านี้จะสร้างมาอย่างลำบาก จากน้ำพักน้ำแรงของคิมแดโฮ แต่เอาเข้าจริงๆ การใช้งานพวกมันแต่ละรอบ ค่อนข้างยุ่งยาก..
เพราะการใช้งานไอเทมชิ้นนี้ ซูฮยอนต้องติดตั้งก้อนหินสีแดงหลายสิบก้อน เพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด….หากเจอมอนสเตอร์ที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่มีทางที่เขาจะมีเวลาแอบไปติดตั้งไอเทมชิ้นนี้แน่ๆ ฉะนั้นมันจึงกลายเป็นสิ่งของไร้ประโยชน์
หากไม่ถึงคราววางกับดักซูฮยอนแทบไม่เตะต้องมันเลย…
<<คิมแดโฮเคยพูดเอาไว้ ว่าหินพวกนี้เหมาะสมกับการทำลายของชิ้นใหญ่มากที่สุด มาลองดูกัน>>
ตามพื้นทางเดินเรือเต็มไปด้วยเศษหินชิ้นเล็กๆสีแดงที่ถูกซูฮยอนบดขยี้…
หลังจากปล่อยเศษหินทิ้งไว้สักพัก อยู่ๆก้อนหินสีแดงก็ส่องสว่างขึ้นมา จนทำให้ใต้เรือที่เคยมืดมิดสว่างจ้าไปหมด..
ซูฮยอนโยนเศษหินไปเรื่อยๆตลอดทาง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหัวเรือ..เหตุผลที่เขาเลือกจุดสุดท้ายเป็นหัวเรือ เพราะมันง่ายต่อการหนีมากที่สุด แค่ซูฮยอนเดินหน้าไปอีกก้าวเดียว เขาก็หนีออกจากเรือลำนี้ได้แล้ว..
“มิรุ หนีกันเถอะ”
คิ้ว!!!
เมื่อร่างกายของซูฮยอนกระโดดหนีหายไปจากหัวเรือ…
ตูม ตูม
เสียงระเบิดหลายสิบลูกก็ดังออกมาจากส่วนล่างของเรือ ก่อนที่เสียงจะค่อยๆวิ่งไล่ขึ้นไปด้านบน
***********************
เสียงการระเบิด ดังก้องไปถึงบริเวณด้านล่าง…
ผู้ตื่นขึ้นทุกคนรีบเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า จนเห็นซากเรือลำใหญ่ยักษ์ กำลังตกลงมาจากฝากฟ้า
เมื่อภาพอันน่าอัศจรรย์ใจ ลีจุนโฮจึงเปิดปากพูด…
“อะไรวะนั้น เขากำลังทำอะไรอยู่ที่นั้นกันแน่?”ลีจุนโฮพูด
“ฉันจำได้ว่าบอกนายไปแล้วไม่ใช่รึไง?”
ตุบ
เมื่อได้ยินเสียงตอบจากด้านหลัง ลีจุนโฮจึงรีบหน้าไปมอง จนเห็นร่างกายของซูฮยอนกำลังจะร่อนลงบนพื้นอย่างช้าๆ
“หากปล่อยเรือให้หนีไป ฉันรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ”ซูฮยอนพูด
“ทำไมล่ะ เรือลำนั้นมันมีอะไรเหรอ?”
“เพราะเรือมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง หากฉันไม่ทำลายทิ้ง มันจะส่งอัศวินเกราะเหล็กลงมาอีก”
“อะไรนะ!! เรือลำนั้นมีชีวิต?”ลีจุนโฮถาม
“ถูกต้อง เก็บรายละเอียดเอาไว้คุยกันที่หลัง กลับมาเข้าเรื่องหลักก่อน ดันเจี้ยนแห่งนี้ยังไม่จบ”
พูดจบซูฮยอนก็ชี้นิ้วไปบนฟ้า แม้ด้านบนจะมีหมองควันหนาทึบเนื่องจากการระเบิด แต่ลีจุนโฮก็ยังเห็นจุดอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ใกล้เขามาเรื่อยๆ
“ตัวอะไรอีกเนี่ย?”ลีจุนโฮตระโกนถามเสียงดัง
“นายมองเห็นใช่ไหม?”
“มันอยู่ไกลขนาดนั่น ฉันยังมองเห็นจุดเล็กๆ แสดงว่าตัวของมันต้องใหญ่มากแน่ๆ”
ด้วยเสียงตระโกนตื่นกลัวของลีจุนโฮ ทำให้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า…
“คุณซูฮยอน มันคือตัวอะไรเหรอครับ”
“นั้นสิ มันคือตัวบ้าอะไรกันแน่?”
ตอนที่ซูฮยอนเห็นมันครั้งแรก เขาก็ระบุไม่ได้เหมือนกัน ว่ามันเป็นตัวอะไร
หลังจากมันขยับใกล้เขามาเรื่อยๆ ทำให้ซูฮยอนระบุรูปของจุดเล็กๆที่กำลังเคลื่อนได้ทันที จุดเล็กที่พวกเขาเห็นกัน ที่แท้เป็นหมึกยักษ์
“ทุกคนเคยดูภาพยนตร์เรื่อง [ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน] ไหม?”
ในเวลานี้ซูฮยอนเริ่มเข้าใจธีมและประวัติของดันเจี้ยนแห่งนี้ไปอีกก้าว ไม่ว่าจะเป็นการระบุตัวตนที่แท้จริงเรือลำใหญ่ยักษ์ การพบเจอกันระหว่างเขาและดุลลาฮาน ไหนจะหมึกยักษ์ที่กำลังคืบคลานมาเยืยนเมืองใต้ทะเลอีก…ทำให้ข้อสงสัยที่เต็มไปด้วยปริศนาถูกไขไปที่ละข้อ..
“ตัวที่ทุกคนเห็นเป็นคราเคน”ซูฮยอนพูด
“อสูรกายคราเคน…”
“ช่างหัวชื่ออสูรกายคราเคนบ้าบออะไรนั่นไปก่อน พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าขนาดตัวของมันโคตรใหญ่”ลีคังฮุยตระโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา…
ขนาดตัวของคราเคน ใหญ่เทียบเท่าสนามฟุตบอลเวิลด์คัพ คราเคนใหญ่โตยิ่งกว่าอิโกลัสที่ซูฮยอนเคยต่อสู้ด้วยซ้ำ..
นอกความใหญ่โต แรงกดดันที่คราเคนปล่อยออกมา ผู้ตื่นขึ้นกล้าเอาหัวเป็นประกัน ว่าในดันเจี้ยนระดับสีเขียวแห่งนี้ ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนเทียบเท่าได้
“ไม่เห็นมีอะไรแปลก ตามตำนานเล่าขานต่อๆกันมา คราเคนก็ตัวใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ซูฮยอนตอบกลับไป เหมือนไม่กังวลเรื่องเกี่ยวกับคราเคนเลยสักนิด
“ทำเป็นพูดจาอวดดี คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอ ที่จะจัดการกับคราเคนตัวใหญ่ยักษ์ด้วยตัวคนเดียวหรือไง?”