การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 98
ตอนที่ 98
“เอกสารอะไร?”
กิลด์กรีนวอลล์ คือหนึ่งในกิลด์ประจําประเทศจีนและยิ่งใหญ่ที่สุดของกว่างโจว กิลด์มาสเตอร์ฐ์อิน หน้ามุ่ยก้มมองเอกสารบนโต๊ะ
“เป็นเอกสารรายงานความน่ากลัวของกิลด์ดัมพ์ครับ”
“กิลด์ดัมพ์? พวกมันเป็นตัวก่อเหตุในปักกิ่งไม่ใช่หรือไง ไอ้เส็งเคร็งพวกนั้น มันกล้าลงมือฆ่าหลินจือหมิง”
“ถูกต้องครับ เป้าหมายต่อไปของพวกมันคือกว่างโจว รายงานในเอกสารระบุไว้ว่า” สมาชิกกิลด์ผู้นําเอกสารมาให้ฐอินดู เลื่อนนิ้วชี้ไปบนเอกสาร
“พวกมันกําลังเล็งจุดนี้อยู่”
“ให้ตายเถอะ…”
รู้อินยกมือปิดหน้าตัวเอง เขาไม่สนใจวงการบันเทิง แต่เพราะกิลด์กรีนวอลล์ตั้งอยู่ในกว่างโจวเขาจึงรู้ข่าวคราวหนาหูว่ากว่างโจวตอนนี้ มีการรวมตัวของฝูงชนเกิดขึ้น
“ฮวางจุนเผิงพักผ่อนอยู่ในเมืองกว่างโจว ทําให้ฝูงชนจํานวนมากพลุนพล่านตลอดช่วงเวลา”
“บางทีพวกมันอาจหมายตาที่นั่นไว้”
“พวกมันตั้งใจโจมตีพลเรือนสินะ?”
“มีสิทธิ์เป็นไปได้ครับ การโจมตีในเมืองปักกิ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า พวกมันอาจเลือกโจมตีพลเรือนแทน ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ความตายของพลเรือนคงใหญ่หลวงจนคาดไม่ถึง พวกมันคงฆ่า ไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือผู้ตื่นขึ้น” สมาชิกกิลด์พูด
รู้อินถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“ทําไมถึงมีเอกสารปริศนาส่งมาหาเรา?” จูอินคิด
รู้อินขบไม่แตก ไม่รู้จะทํายังไงต่อไปดี เขายกมือขึ้นมากุมหัวอีกครั้ง
หากกิลด์ดัมพ์ลงมือทําตามแผนการที่ระบุไว้ในเอกสารจริง เขานึกไม่ออกว่าคนไม่รู้อิโหน่อีเหน่จะโดนลูกหลงไปกี่คน ความเสียหายคงไม่อาจประเมินเป็นตัวเลขได้ กรณีเหตุการณ์ในปักกิ่งเป็นบทเรียนชั้นดี
นอกจากประเทศจีน กิลด์ดัมพ์ยังสร้างความวุ่นวาย ความโกลาหล ทั้ง สหรัฐอเมริกา เกาหลีและประเทศอื่นๆอีกหลายแห่ง
“เราควรเคลื่อนไหวหรือไม่ควร?”
รู้อินมีเวลาคิดไม่มาก เขาใคร่ครวญเนื้อความในเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผลสรุปสุดท้ายคือเขาไม่สามารถเมินเฉยเรื่องนี้ไปได้
“อืม…งั้นเราควรนํากองกําลังไปกี่คนดี?”
“การตายของหลินจือหมิง อาจทําให้พวกเราได้กําลังเสริมเพิ่ม”
“ท่านครับ พวกเราจะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอครับ?”
“ติดต่อไปยังกิลด์แห่งอื่นๆที่พวกเราคุ้ยเคย อย่างลืมเน้นย้ํากิลด์ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินจือหมิงโดยเฉพาะด้วย ถ้าเราเป็นฝ่ายชักชวนก่อน พวกเขาคงไม่ปฏิเสธคําชักชวนของเรา”
“รับทราบครับ”
“อย่ามัว อืดอาด ยึดยาด รีบดําเนินการได้แล้ว”
สิ้นเสียงคําสั่งจ๊อิน สมาชิกกิลด์รีบติดต่อไปหากิลด์พันธมิตรแห่งอื่นๆทันที
รู้อินก็ไม่งอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ เขาช่วยโทรไปหากิลด์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วยอีกแรง
“อ่า งั้นเหรอ แค่นี้ก่อนนะครับ”
สมาชิกกิลด์พูดจบก็วางสายลง สีหน้าของเขาเหยเก เมื่อมองไปยังจ๊อิน กิลด์มาสเตอร์ที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“ท่านครับ กิลด์ที่ผมติดต่อไป บอกว่ามีเอกสารเหมือนกับทางเราด้วยเช่นกัน”
“ทางฉันก็เหมือนกัน”
ทั้ง 2 คนวางสายพร้อมกัน พวกเขายังไม่ย่อท้อ โทรไปหากิลด์อื่นๆอีก 3 แห่ง แต่ผลลัพธ์ออกมาคล้ายเดิม กิลด์ในเมืองกว่างโจวได้รับเอกสารเหมือนกันหมด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ปัง!!!
มือของฮวางจุนเผิงและดาบของซูฮยอนตีปะทะกันจนเกิดสะเก็ดไฟ
ฮวางจุนเผิงฉวยโอกาสที่เผลอคว้าจับปลายดาบที่กําลังลุกโชน มีเปลวเพลิงสีครามห่อหุ้มเอา
มือข้างที่วางของฮวางจุนเผิง ยึดไปด้านหลังแล้วเหวี่ยงสะบัดทุ่งตรงไปด้านหน้า เป้าหมายคือเจาะทะลุหน้าอกซูฮยอน
เคล้ง!! ปัง!!
ซูฮยอนรีบชักดาบกลับคืนมาและตวัดฟันมือตอบโต้ มือคู่นั้นมีความคมมากกว่าดาบบางเล่มเสียอีกซูฮยอนเคยต่อสู้กับฮวางจุนเผิงมาแล้วในอดีต ฉะนั้นจึงรู้ว่าอีกฝ่ายถนัดยุทธวิธีการต่อสู้แบบใด
ฉัวะ ฉิวะ
คมดาบซูฮยอนเชือดกรีดลงบนผิวหนังของฮวางจุนเผิง เศษชิ้นผ้าขาดรุ่งริ่ง แม้บาดแผลจะลึก ไม่มาก แต่มีรอยเลือดซึมออกมาให้เห็นเล็กน้อย
รูป!!
ผิวหนังที่มีริ้วบาดแผลสมานหายเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว ฮวางจุนเผิงละเลยดาบของซูฮยอน
เขาเหวี่ยงหมัดโจมตีไปด้านหน้าอีกครั้ง
เคร้ง!!!
ดาบและแขนเข้าปะทะกัน
พลังเวทย์บนดาบและพลังเวทย์บนแขนฟุ้งกระจายเต็มห้องนั่งเล่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนหรีอหน้าต่างพังระเนระนาด เศษกระจกกองอยู่บนพื้น
– ฮวางจุนเผิงตระหนักแก่ใจ ว่าการโค่นล้มซูฮยอนยากกว่าที่คิด พวกเขาทั้งคู่บังเอิญสบตากันประกายสายฟ้าแล่นปะทะกันกลางอากาศ..
“มอบความพ่ายแพ้ในเขาไม่หมูเลยแฮะ” ซูฮยอนคิดในใจ
จะกลายเป็นฝันหวานไม่น้อยถ้าเขาสามารถสังหารเจ้าโรคจิตลงได้ แต่การสังหารอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะตอนนี้หรือในอนาคต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฮวางจุนเผิงคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S แข็งแกร่งติดอันดับ 1 ใน 10
ซูฮยอนไม่ได้วิตกคนเดียว สีหน้าท่าทางของฮวางจุนเผิงก็ไม่ต่างจากเขา ทั้ง 2 คนแลกหมัดกันไปหลายชุด ดาบและแขนโรมรันนัวเนียเป็นว่าเล่น
ฮวางจุนเผิงพูด “สหายสงบศึกชั่วคราวดีไหม?”
“ทําไม? เกิดยําเกรงฉันขึ้นมาหรือไง”
“ยึดเวลาต่อไปพวกเราทั้งคู่มีแต่เสียเรี่ยวแรงโดยไม่จําเป็นมากกว่า ผลสรุปที่ออกมาภายหลังนายเลวร้ายกว่าฉันเยอะ”
“ไม่หรอก ทําไมนายถึงคิดอย่างงั้น?”
“เพราะฉันคือ ฮวางจุนเผิง นักแสดงชื่อดัง นายจะตกอยู่ในที่นั่งลําบากเอานะ หากคนทั้งโลกรู้ว่านายทําร้ายร่างกายฉัน”
“อืม…ที่นายพูดมาก็ถูก แต่มูลเหตุจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่รู้ตัวตนของนายในฐานะผู้ที่นขึ้นมาก่อน”
“โถ่ ฉันแค่อยากรักษาตําแหน่งนักแสดงต่อไปเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้มีเจตนาหลอกความรู้สึกของผู้คนจริงๆนะ ฉันมีเรื่องอยากพูดและอยากทําหลายอย่าง คือ.ฉันหมายถึงฉันชอบความรู้สึกโดนคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์”
ดูเหมือนฮวางจุนเผิงจะเป็นโรคจิตตัวจริงเสียงจริง
ฮวางจุนเพิ่งยักไหล่ราวกับสื่อประมาณว่าแปลกตรงไหน ฉันเป็นคนนิสัยอย่างงี้อยู่แล้ว
“ถ้าฐานะผู้ตื่นขึ้นของฉันถูกเปิดเผย ฉันจะทําการแสดงไม่ได้ สุดท้ายคงทําได้แต่นอนร้องไห้น้าตาตกในน่าเศร้าจังชีวิต แต่ก็ช่วยไม่ได้ละนะ”
ฮวางจุนเผิงยิ้มยียวน สายตาจับจ้องซูฮยอน..
“นายจะเอาไง จะสงบศึกหรือสู้ต่อ?”
อุป!!
บูม!! บูม!! บูม!!
ฮวางจุนเผิงยกแขนขึ้นมาป้องกัน เปลวเพลิงแดงฉาดโอบล้อมเขา ปิดเส้นทางหนีเอาไว้
ซูฮยอนเดินผ่านเปลวเพลิงและตอบกลับ “คําตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว จริงไหม”
“นายไม่ห่วงพลเรือนจะโดนลูกหลงเหรอ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันมีกําลังเสริม”
“เจตนารมณ์ของนายจะมั่นคงตั้งแต่ต้นจนจบเลยหรือไง?”
“นายคิดว่า ฉันมาหาถึงประเทศจีน เพราะอยากหยอกล้อเล่นกันนายงั้นเหรอ?”
นัยน์ตาซูฮยอนเปลี่ยนเป็นสีน้ําเงินคราม พลังเวทย์เริ่มพรั่งพรูออกจากอณูรูขุมขน
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่เข้มข้นและหนาแน่น ใบหน้าของฮวางจุนเผิงซีดเผือก
“ไอ้ลูกกระหรี่”
ตุบ!!!
ซูฮยอนย่างกรายไปด้านหน้าที่ละก้าว พื้นกระเบื้องของเพนต์เฮาส์แตกละเอียดไม่เหลือเค้าเดิม
“การละเล่นของแก จะยุติลงในวันนี้”
กิลด์ทั้งหมดในกว่างโจวนัดหมายร่วมตัวกัน หนึ่งในนั้นมีกิลด์ที่ยิ่งใหญ่อย่าง กิลด์กรีนวอลล์รวมอยู่ด้วย
กิลด์ที่มาวันนี้มีทั้ง 12 แห่งด้วยกัน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของชาวจีนในเมืองกว่างโจว ที่มี โอกาสได้เห็นกิลด์ทั้งหมดออกมารวมพลกันพร้อมหน้าพร้อมตา..
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่า มันจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ”
“รอดูไปก่อน บางที่พวกมันคงกําลังเตรียมตัวอยู่”
“ถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นละครับ”
“เป็นข่าวดีเลยไม่ใช่เหรอ ฉันหวังมาตลอดว่าเรื่องที่ระบุในเอกสารจะเป็นเรื่องโกหก”
กิลด์มาสเตอร์แต่ละแห่งจับกลุ่มคุยกันออกรส
รอบตัวกิลด์มาสเตอร์มีฝูงชนจํานวนมากจับกลุ่มพูดคุยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ดูจากรูปลักษณ์มองแวบเดียวก็ได้ว่าพวกคือแฟนคลับของฮวางจุนเผิง
“นับจากฮวางจุนเพิ่งเข้าห้องพัก นี่ก็ผ่านมานานพอสมควร พวกเขายังไม่จากไปอีก ไม่มีบ้านช่องอยู่หรือไง”
“นายไม่รู้เหรอว่าฮวางจุนเผิงเป็นซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังระดับโลก ลูกฉันรักเขายิ่งกว่าพ่อของตัวเองอีก”
“อย่าบอกนะว่าแฟนคลับนิยมชมชอบชายสูงอายุ?”
“เขาอายุ 40 ปีก็จริง แต่รูปร่างของเขาไม่เหมือนคนในวัยเดียวกัน ว่าไงดี เขามีเสน่ห์ในแบบหนุ่มใหญ่ละมั้ง”
กิลด์มาสเตอร์ผู้เป็นสตรีเพศของเมตากิลดล์กล่าวออกมาด้วยแววตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับของฮวางจุนเผิงเหมือนกัน..
ระหว่างแลกเปลี่ยนความเห็น เสียงร้องดังบางอย่างแทรกกลางคั้น
ฝูงชนโดยรอบหันมองต้นต่อของเสียงที่เปล่งออกมา
“ทุกคนเห็นนั้นไหม!!”
“มะ..มอนสเตอร์?”
“มันเป็นมอนสเตอร์จริงด้วย!!!”
มังกรขนาดตัวเท่าสุนัขโผบินบนท้องฟ้าพลางส่งเสียงคํารามก้อง ทางเท้าด้านล่างตกอยู่ในความวุ่นวายฝูงชนที่จํากลุ่มก้อนกันอยู่วิ่งหนีป่าราบ..
“มอนสเตอร์เหรอ?..”
“ทําไมตัวมันเล็กกะทัดรัดจัง?”
ผู้ตื่นขึ้นรวมทั้งกิลด์มาสเตอร์ตรึงสายตามองมังกรตัวเล็กน้อยและแสดงสีหน้ายุ่งเหมือนยุงตีกัน
ลักษณะของภายนอกของมันเป็นมอนสเตอร์ แต่ขนาดตัวเล็กเกินไป
“อย่าไปสนใจรูปร่างภายนอกนัก ฉันลงความเห็นว่าพวกเราควรลงมือจัดการมัน”
“ฉันเห็นด้วย ปล่อยมันไว้อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน”
อุป! เปรี้ยง!!
เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ชู้อินเลิกยึกยักลังเล เขาเอื้อมมือออกไปข้างหน้า ประกายสายฟ้าแลบแปลบออกมาบนฝ่ามือ หลังจากรวบรวมพลังเวทย์ได้ที่ รู้อินปล่อยการโจมตีใส่ร่างมังกรตัวจ้อยเต็มที่
ท้องฟ้าด้านบนสว่างวาบแสบตา ฐอินเงยหน้ามองท้องฟ้า ตั้งหน้ารอดูผลงาน
“แค่นี้น่าจะจัดการได้แล้วมั้ง” จูอินคิด
“พวกเรา…ลองเพ่งมองดีๆสิ!”
คิ้ว คิ้ว!!
มังกรยังไม่ตาย รู้อินมองมันด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเกือบถลน เจ้ามังกรโดนการโจมตีไปเต็มๆ แต่เหมือนจะไม่มีอาการบาดเจ็บ ปีก 2 ข้างโผบินบนท้องฟ้าอย่างคล่องตัว
ใช่เวลาสักพักมังกรก็เริ่มบินแฉลบเข้าใกล้กลุ่มพวกเราเรื่อยๆ
“สภาพร่างกายของมันยังสุขสําราญอยู่เลย”
ยิ่งมังกรบินใกล้เข้ามา เขาสังเกตเห็นว่าบนร่างกายของมัน ไร้รอยขีดข่วน ไร้มลทิน เรียกได้ว่าเนื้อตัวสะอาดหมดจด
สาเหตุที่มังกรไม่ได้รับความเสียหาย อาจเป็นเพราะพลังเวทย์บางๆที่ห่อหุ้มปกป้องผิวหนังมัน
ฟรี่บ!! ฟรี่บ!!
มังกรที่พวกเขาเห็นคือมิรุ มิรุบินตรงมุ่งหน้าหาฉ้อิน ผู้เป็นคนออกทวงท่าปล่อยสายฟ้าโจมตี
จ๊อินง้างมือออกมาอีกครั้งเพื่อโจมตี กิลด์มาสเตอร์สังเกตเห็นพิรุธอะไรบ้างอย่างจึงตะโกนห้ามรู้อิน
“หยุดมือก่อน ลองดูบริเวณอุ้มเท้าของมัน มีอะไรพันอยู่”
“หืม?”
คิ้ว!!
มิรุยืนอุ้มเท้ากลางกลุ่มกิลด์มาสเตอร์ ฐ์อินอาสาแกะกระดาษที่พันอยู่บริเวณอุ้มเท้าออกมา
เนื้อความภายในถูกเขียวด้วยตัวหนังสือไก่เขี่ย ท่าทางผู้เขียนคงรีบร้อน เลยเขียงส่งเดช
“ขอความกรุณาดูแลพลเรือนที่อยู่บริเวณด้านล่างด้วย รีบนํากําลังพล อพยพผู้คนไม่ว่าจะเป็นในหรือนอก อาคาร C&D โดยด่วนที่สุด” จูอินอ่านเนื้อความในกระดาษทุกตัวอักษรชัดถ้อยชัดคํา
“เกิดอะไรขึ้นอีก?”
อาคาร CAD ตามที่ระบุในกระดาษคือตึกระฟ้าตั้งทนอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ เนื้อหาสําคัญเน้นย้ําให้รีบอพยพผู้คนทั้งหมด
“อืม.เป็นไปไหม เนื้อหาที่ระบุในกระดาษเชื่อมโยงถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายของกิลด์ดัมพ์?”เขาคิดในใจ
ขณะกําลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้
ตูม!!
หูของเขาพลันได้ยินเสียงระเบิดขนาดย่อมๆดังออกมาจากด้านบนอาคาร แรงระเบิดส่งผลให้สายลมโอบอุ้มออร่าพลังเวทย์อ่อนๆมา จู่อินสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังเวทย์กระทบปลายประสาทสัมผัสมีความหนาแน่นและเข้มข้นสูงมาก
รู้อินตะโกนเสียงกร้าว “ทุกคนระวังตัวด้วย”
“กร็ด!!”
ประชนชนที่อาศัยอยู่ภายนอกและภายใน ตกอยู่ในสถานการณ์ชุลมุน
“ทุกคนหนีเร็ว!!”
เนื้อความที่ระบุในเอกสารไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความน่ากลัวของกิลด์ดัมพ์ที่เขียนระบุลงไปเริ่มแย้มม่านขึ้น พวกมันพึ่งโจมตีปักกิ่งไปหมาดๆ ตอนนี้กลับโจมตีกว่างโจวเป็นจุดที่สอง
“รีบโยกย้ายพลเรือนไปจุดปลอดภัย! อย่ามัวเฉื่อยชา!”
“รับทราบครับ!”
ทั้ง 12 กิลด์ รวมถึงกิลด์กรีนวอลล์ของจ๊อิน เริ่มเคลื่อนไหวปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว..
เคล้ง!! เคล้ง!
ตูม!!
ชั้นสูงสุดของอาคาร C&D สภาพด้านในพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ผลกระทบจากการต่อสู้ทําให้เครื่องเรือนทุกอย่างที่ประดับประดาอยู่ตามมุมห้องกลายเป็นขี้เถ้าและถูกแทนที่ด้วยเปลวเพลิง
ฮวางจุนเผิงฉวยโอกาสคว้าลําคอของซูฮยอน เมื่อพยายามออกแรงบีบให้แน่นขึ้น รัศมีดาบอันน่าสะพรึงกลัวสะบั้นปาดข้อมือของเขา
ฉัวะ!!
ข้อมือที่ควรขาดพร้อมรอยเลือดสีแดงกลับเกิดภาพพร่ามัวและค่อยๆจางหายไปกลางอากาศภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดจากสกิลภาพลวงตา
ฮวางจุนเพิ่งเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เขาอ้อนมือไปโจมตีด้านหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงวิถีดาบของซูฮยอนจากด้านหน้า
[ร่างแยกเงา]
เคล้ง!!
ทว่ามือของฮวางจุนเผิงเฉียดเข้าใกล้แผ่นหลังซูฮยอนไม่ได้ เพราะถูกขัดขวางด้วยดาบอีกเล่ม
ตัวตายตัวแทนที่มีรูปร่างคล้ายซูฮยอนทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไร้ใบหน้า ยกดาบขึ้นมาบังส่วนหลังเอาไว้
ดาบของ (ร่างแยกเงา] สกัดกั้นมือของฮวางจุนเผิง
ฮวางจุนเผิงพยายามเอี้ยวมือหลบซิกแซ็ก [ร่างแยกเงา] ตามติดไม่ลดละ แต่ผลสุดท้าย [ร่างแยกเงา] เสียรู้ตกหลุมพรางอย่างสมบรูณ์ ดาบถูกปัดตกลงพื้น
ในขณะ [ร่างแยกเงา] กําลังหมดฤทธิ์ซูฮยอนพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
อุป!!!
ตูม! ตูม!!
พลังของสกิลเพลิงพิโรธเลื้อยจากด้านดาบสู่ปลายดาบ ไม่นานเปลวเพลิงก็ระเบิดตัวออกแรง ระเบิดทําให้ทั้ง 2 คน ดีดตัวผละออกไปตั้งหลักคนละฝั่ง
“อีก!!”
“หนอยแน่ ลูกเล่นเยอะนักนะแก”
ฮวางจุนเผิงมองซูฮยอนด้วยแววตาประหวั่นพรั่นพรึง ซูฮยอนโจมตีเขาอย่างไม่ปราณีและไม่ยอมรามือ อีกฝายประเคนดาบฟาดฟันเขาราวเป็นหุ่นซ้อมดาบ ที่ผ่านมาฮวางจุนเผิงส่วนกลับซูฮ ยอนไม่ได้เลย เขาทําได้แค่เป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น
“ หมดแรงข้าวต้มแล้วงั้นเหรอ น่าผิดหวังจัง”
“ผิดหวังตูดแกส สีหน้าของแกมันฟ้องว่ากําลังรื่นรมย์อยู่ชัดๆ”
“อ่าว.สีหน้าฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเหรอเลย สงสัยฉันจะเป็นพวกโรคจิตสนุกกับการหยอกล้อข่มขู่ศัตรู”
“ไอ้เวรตะไล
ซูฮยอนกระทั่งเท้าลงพื้นห้อง 2-3 ครั้ง จากนั้นจึงเลือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่แตกละเอียด เห็นร่างของมิรุโผบินกินลมอยู่ด้านนอก
คิ้ว คิ้ว!!
“จริงเหรอ? เข้าใจล่ะ”
ระหว่างมิรุคํารามเป็นภาษามังกร ฮวางจุนเผิงอดไม่ได้จ้องเขม็งมองมิรุ เขากําลังทําความเข้าใจว่าซูฮยอนคุยอะไรกับมังกร ลูกตากลอกกลิ้งไปมาอย่างฉงนสนเท่ห์
“ไม่จริง หรือว่าแก…”
ฮวางจุนเพิ่งรีบรุดล้ําอ้าวเกาะขอบหน้าต่าง สายตาเพ่งมองไปด้านล่าง รอบๆตัวอาคารมีผู้ที่นขึ้นหลายคนรวมตัวกัน ฝูงชนแตกตื่นร้องโหวกเหวกเสียงดัง ต่างคนวิ่งหนีตายจ้าละหวั่น
แต่เพราะมีผู้ตื่นขึ้นค่อยอํานวยความสะดวกอย่างขะมักเขม้น ทําให้เหตุการณ์ไม่ฉุกละหุกมากนัก
“เอาล่ะ ในที่สุดภายในอาคารแห่งนี้ก็เหลือแค่นายและฉัน”
เมื่อกี้ซูฮยอนลองปล่อยพลังเวทย์ออกไปสํารวจทั่วอาคาร ว่าด้านในอาคารยังมีคนหลงเหลืออยู่ไหม สํารวจทุกซอกหลืบเหมือนผู้คนจะอพยพหนีออกด้านนอกไปหมดแล้ว อีกไม่นานกลุ่มผู้ที่นขึ้นที่อยู่ข้างล่างคงขึ้นมาชั้นบน
“ถ้างั้นก็…”
[สกิลจําแลง : อิมูกิ
[กายาทรหด]
[เพลิงพิโรธ]
เกล็ดอิมกิเริ่มห่อหุ้มร่างกายของซูฮยอนที่ละส่วน ร่างกายบึกบึนแข็งแรงกลายเป็นสีดําขลับเปลวเพลิงสีน้ําเงินครามพันเกลียวรอบตัว ระลอกคลื่นพลังเวทย์ยกระดับขึ้นชั่วพริบตา
ในที่สุดฮวางจุนเผิงก็ตระหนัก แท้จริงแล้วซูฮยอนออมแรงเร้นเขี้ยวเล็บเอาไว้ เพื่อซื้อเวลาในผู้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อพยพออกไป..
ซูฮยอนเอ่ย “มาพิพากษ์ต้นสายปลายเหตุระหว่างพวกเราต่อเถอะ”