การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 99
ตอนที่ 99
“ข้างในยังมีคนติดอยู่ไหม?”
“ไม่มีแล้วครับ”
“นายเช็คทั่วแล้ว?”
“ผมตรวจตราทุกซอกทุกมุมเรียบร้อยครับ แม้แต่หมาซักตัวก็ไร้วี่แวว แม่ลูกเมื่อครู่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่อาศัยอยู่ภายใน ตอนนี้สภาพแวดล้อมในอาคาร C&D เรียกได้ว่าปลอดคนแล้วครับ”
“อึมดีมาก นอกจากอพยพคนจากภายใน อย่างลืมอพยพคนที่อยู่รอบนอกด้วย กันไว้ดีกว่าแก้นายรู้ใช่ไหมว่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์สําคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
“ผมเข้าใจดีครับ”
รู้อินกล่าวออกคําสั่งในสมาชิกกิลด์ฟังด้วยหน้าดําคล้ําเครียด โชคดีที่การลําเลียงผู้บริสุทธิ์ราบรื่นไม่ติดขัด ต้องขอบคุณกิลด์ทั้ง 12 แห่งที่รวมมือกันได้อย่างเข้าขา จนสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้เร็ว
“ได้กลิ่นทะแม่งๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ รู้อินคิด
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ถ้าแรงสั่นสะเทือน ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายจริงๆ มันดูไม่มีน้ําหนักเท่าที่ควร
ตอนที่ฐอินสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์ด้านบนของอาคาร เขาคิดว่าการโจมตีที่ระบุในเอกสารคงกําลังเริ่มในไม่ช้า แต่เขาฉุกคิดถึงข้อผิดสังเกตอะไรบ้างอย่าง
“มันไม่ใช่การกวาดล้าง แต่มันเป็นการต่อสู้”
คลื่นพลังเวทย์ที่สัมผัสได้ ไม่ใช่พรั่งพรูออกมาจากคนๆเดียว แต่มีพลังเวทย์ถึง 2 สาย แตกต่างกันโรมรันพัวพันกลางอากาศ
ผู้ตื่นขึ้นหลายคนของใจทําไมชนวนความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ถึงมีพลังเวทย์แค่ 2 สาย? พลังเวทย์ของพวกเขาทั้งคู่ เรียกได้ว่าทัดเทียมกินกันไม่ลง
รู้อินสันนิษฐานผู้ที่กําลังต่อสู้อยู่ด้านบนอาคาร อาจเป็นถึงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ซึ่งแข็งแกร่งถึงขนาดโค่นล้มพวกเขาได้ง่ายๆ
“หากมันไม่ใช่การก่อการร้ายแล้วมันคืออะไรกันแน่ ทําไมข้อความที่ระบุภายในเอกสารถึงเน้นคําว่าก่อการร้าย? ยิ่งไปกว่านั้นใครกันแน่ที่ส่งข้อความผ่านมังกรตัวเล็กนั้น?”
จิตใจของจ๊อินโรมรันฟัดเหวี่ยงกันอุตลุด แต่เขาไม่มีเวลาคิดทบทวนมาก เพราะตออนี้การอพยพพลเรือนไปในที่ปล่อยภัยสําคัญที่สุด
“ท่านครับ พวกเราควรทําอย่างไรต่อดี? สถานการณ์ด้านบนดูเหมือนว่า…”
“รอต่อไป ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปลุ้นจ้าน”
“ท่านกําลังจะบอกว่า พวกเราควรนั่งรออยู่เฉยๆโดยไม่ต้องลงมือทําอะไรเหรอครับ?”
“นายยังไม่ประจักษ์อีกเหรอ ว่าการต่อสู้ด้านบนไม่ใช่ฝีมือผู้ก่อการร้าย แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างคน 2 คน ถ้าเดาไม่ผิด 1 ในนั้นต้องเป็นสมาชิกของกิลด์ดัมพ์อยู่”
มีใครบางคนส่งกระดาษผ่านมังกรตัวน้อย แสดงว่าคนที่ส่งมาไม่ใช่สมาชิกกิลด์ดัมพ์
เพราะหากเป็นกิลด์ดัมพ์ตัวจริง พวกมันคงไม่ห่วงชีวิตพลเรือนตาดําๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับคติพจน์ประจํากลุ่มของพวกมัน นอกจากนี้
“เราไม่ควรเข้าไปวอแวการต่อสู้ของพวกเขา”
“ทําไมครับ?”
“นายไม่เห็นตัวอักษรที่เขียนสงไปในกระดาษหรือไง เขาระบุแค่ ให้พวกเราอพยพพลเรือนโดยรอบออกไปยังที่ปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้ขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม ผู้เขียนมั่นใจว่า… ” รู้อินกัดริมฝีปากและกล่าวต่อ
“ถ้าพวกเราทะเล่อทะล่าเข้าไป คงถ่วงแข้งถ่วงขาการต่อสู้ของเขามากกว่า”
“ทางเรารวบรวมผู้ตื่นขึ้นได้ตั้งหลายคน ผมเชื่อว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปฏิเสธความหวังดีของเรา”
“ต่อให้ผู้ตื่นขึ้นที่พวกเรารวบรวมมายับยั้งการต่อสู้ได้ จะเกิดอะไรขึ้น หากการยับยั้งต้องแลกมากับทุกคนล้มหายตายจากล่ะ?”
“นั่นมัน”
“อืม… กิลด์มาสเตอร์วิเคราะห์ได้ถูกต้อง ต่อให้เรียกกําลังผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B หรือ C เข้าไปเพิ่มคงไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมเปลี่ยนกระแสการต่อสู้ได้”
กิลด์กรีนวอลล์เป็นกิลด์ใหญ่ที่สุดในเมืองกว่างโจว กิลต์ 11 แห่งที่มาในวันนี้ในหมู่พวกเขามีผู้ตื่นขึ้นแรงค์สูงๆอยู่น้อยมาก
“รู้อินมีเรื่องมารายงาน คนด้านในที่อพยพออกมา บอกว่าไม่เห็นเงาของฮวางจุนเพิ่งปะปนมาให้หมู่พวกเขา”
“อะไรนะ?”จูอินถ่างตาหลังจากได้ยินคํารายงานจากกิลด์มาสเตอร์แห่งหนึ่ง
สมองของจ๊อินเริ่มหมุนวนประมวลผลความเป็นไปได้ต่างๆนาๆ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือ
“ชนวนการต่อสู้ตั้งต้นจากด้านใน…”
เขาเคยได้ยินผ่านหูว่าฮวางจุนเผิงซื้อเพนต์เฮาส์สุดหรูในอาคาร C&D และชั้นบนสุดดูเหมือนจะเป็นต้นตอการต่อสู้
“ปัญหามาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ”
“ควรทํายังไงกับเรื่องของฮวางจุนเผิงดี?..”
มีความเป็นได้ไปแค่ 2 อย่าง 1.เขาติดอยู่ด้านในและได้รับบาดเจ็บ 2.เขามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงเวลานี้
รู้อินรู้สึกหนักสมองกว่าทุกวัน นึกว่าอพยพผู้คนออกไปมาได้ทั้งหมดแล้ว ที่ไหนได้ยังเหลืออีกหนึ่ง
“ฉันควรลงมืออย่างไรดีล่ะ…”เขาคิดในใจ
ขณะทู้อินกําลังใช้สายตาแหงนมองด้านบน การต่อสู้ชั้นบนสุดยังคงดุเด็ดเผ็ดมัน
ตูม!
“หืม? เสียงอะไร?”
“ตัวอาคารมัน…”
อาคาร C&D ขึ้นชื่อว่าเป็นตึกสูงที่สุดในกว่างโจว เกิดการสั่นคลอนอย่างกะทันหัน
ชั้นบนสุดเกิดเสียงระเบิดดังกว่าคราวก่อน เศษอิฐเศษปูนปลิวว่อน ตัวอาคารเริ่มทรุดตัวลงอย่างช้าๆ
“วิ่งหนีเร็วเข้า!!
เพนต์เฮาส์ส่วนตัวของฮวางจุนเผิงถูกคมดาบฟันเป็นแนวทแยง เศษชิ้นส่วนอาคารทยอยตกลงไปด้านล่าง
แววตาเบิกโพลงของฮวางจุนเพิ่งสั่นระริก เขายกมือลูบไล้หน้าออกตัวเองด้วยความตระหนก
“เส้นยาแดงผ่าแปด อีกแค่นิดเดียวร่างกายของฉันเกือบขาดครึ่ง!!”
การโบกสะบัดดาบเพียงครั้งเดียว ช่วงเวลาที่คลื่นวีถีดาบลู่ลมลอยเข้าประชิดตัว เขานึกว่าเอวถูกตัดขาดซะแล้ว ถ้าตอนนั้นเขาตอบสนองไม่ทัน ร่างกายของเขาคงแยกส่วนเป็นแนวทแยงตามอาคารไป..
แผ่นปูนหนาเตอะที่ถูกตัดออก ตกลงสู่พื้นด้านล่าง แรงสั่นสะเทือนและเสียงกระแทก ดังระงมึกก้องบริเวณรอบๆ ซูฮยอนและฮวางจุนเผิงมองสบตากัน จุดที่พวกเขายืนอยู่ ณ. ปัจจุบันกลายเป็นดาดฟ้าเปิดโล่ง
“ น่าเสียดายจัง โจมตีพลาดเฉยเลย” ซูฮยอนพูด
“แต่ไม่เป็นไร ยังเหลือเวลาสนุกอีกเยอะ”
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่?” ฮวางจุนเผิงถาม
ฮวางจุนเพิ่งไม่อยากเชื่อว่าจะมีตตัวตนอย่างชายตรงหน้าอยู่บนโลก ตัวตนของอีกฝ่ายขัดหลักเหตุและผล
ซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้นแค่ 2 ปีเท่านั้น แต่สําหรับฮวางจุนเผิงเขากลายเป็นผู้ตื่นขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่ซูฮยอนจะมีทักษะความสามารถเท่าเทียมเขา
“ใช้เวลาแค่ 2 ปีอีกฝ่ายกับเติมเต็มช่องว่างความสามารถได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”เขาสงสัย
แม้จะประสบพบเจอด้วยตาของตัวเอง ฮวางจุนเผิงก็ยอมรับไม่ลง
“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย แกเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่?”
อุป!!!
พลังเวทย์ฮวางจุนเผิงเริ่มคดเคี้ยวหมุนวนรอบตัว คลื่นพลังเวทย์ก่อตัวขึ้นจากความฉุนเฉียวและความเกลียดชัง
ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดกว่าเก่า ผิวหนังเปล่าเปลือยมีเกล็ดเล็กๆงอกขึ้นแทรกแซงตามชั้นผิวหนังเปลือกนอก เริ่มจากใบหน้าก่อนลามไปทั่วลําตัว
เขา 2 ข้างอกออกมาจากศีรษะของฮวางจุนเผิง ด้านหลังปีกขนาดพอดีตัวพิ่มทะลุเสื้อออกมา
แววตาที่เคยเป็นมนุษย์ แปรเปลี่ยนเป็นแววตาดุจสัตว์เลื้อยคลาน ภาพลักษณ์ภายนอกของฮวางจุนเผิงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ครึ่งอสูร
“สกิลกายมังกร”
ในประวัติศาสตร์ (สกิลกายมังกร] ติด 1 ใน 10 สกิลที่มีอานุภาพทรงพลังมากที่สุด…
ซูฮยอนสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายโดยใช้ [สกิลจําแลง : อิมูกิ) แต่สกิลที่ซูฮยอนใช้ นําไปเปรียบเทียบกับ [สกิลกายมังกร] ไม่ได้ เพราะ สกิลจําแลง ลอกเรียนแบบความสามารถจากอิมูกิ ร่างกายของซูฮยอนยังคงความเป็นมนุษย์ไว้เช่นเดิม กลับกัน [สกิลกายมังกร] เปลี่ยนมนุษย์สามัญให้กลายร่างเป็นมังกรโดยสมบูรณ์
ลมหายใจแผ่วเบาพ่นออกมาจากปากของฮวางจุนเผิง ใบหน้าของเขาผสมระหว่างมังกรและมนุษย์ได้อย่างลงตัว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนถึง 2 เท่า
“นี้แหละ ความรู้สึกที่เฝ้าคะนึงหา” ฮวางจุนเผิงพูด
ฟรีบ!!
– ฮวางจุนเผิงสยายปีกและพูด “อย่างที่นายเคยพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนหน้า พวกเรามายุติข้อพิพากษ์กันดีกว่า”
สายตาถมึงทึงมองซูฮยอน ทันใดนั้นร่างกายของฮวางจุนเผิงก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่อย่างฉับ พลัน
ตูม!!
ร่างกายของเขาไปปรากฏต่อหน้าซูฮยอน ประเคนหมัดบิ๊กปืนเล็งใส่กลางลําตัว
ซูฮยอนไม่รอช้ารีบยกดาบขึ้นมาป้องกัน แรงกระแทกจากหมัดส่งผลให้พื้นใต้เท้ายุบตัวลงลําตัวจมลงพื้นดินที่ละนิด ซูฮยอนตัดสินใจยันตัวกระโดดหนีออกมา
มีหรือฮวางจุนเพิ่งจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีพ้น เขาสยายปีกและบินตามประกบ แต่การตัดสินใจของเขานํามาสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่
ฉัวะ!! ฉวะ!!
ยิ่งไล่ตามถลําลึกลงไปเรื่อยๆ บนร่างกายของฮวางจุนเผิงกลับมีร่องรอยบาดแผล ถลอกจุดเล็กๆหลายแห่ง
แต่มีบาดแผลชะเวิกชะวากสาหัสอยู่หนึ่งจุด ฮวางจุนเพิ่งปรับลมหายใจให้ผ่อนคลายและพยายามบินถอยหลังกลับไปตั้งหลักใหม่
“จะหนีไปไหน”
หมับ!!!
ซูฮยอนไม่ปล่อยโอกาสดีๆให้หลุดมือ เขาพุ่งตัวด้วยความรวดเร็วไปโผล่ด้านหลังของฮวางจุนเผิง 2 มือคว้าศึกเอาไว้
ฮวางจุนเผิงเอี้ยวตัวหลบมือซูฮยอนอย่างลนลาน ความหวาดกลัวและจิตใจฟุ้งซ่าน ทุกท้ายก็ หลบเอื้อมมือไม่พ้น
“ไม่น่าเชื่อ เขาแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”
เมื่อลองพินิจซูฮยอนใกล้ๆ ฮวางจุนเผิงพบว่าบนร่างกายของซูฮยอนมีเกล็ดคล้ายๆสกิลของเขาห่อหุ้มกายเนื้อเอาไว้ มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกับเกล็ดของเขา อีกฝ่ายเป็นเพียงของปลอมหรือของเลียนแบบ แต่ของตนเองเป็นของแท้ดั่งเดิม [สกิลกายมังกร] ทําให้เขาสามารถหลอมรวมเข้ากับมังกรได้อย่างสมบูรณ์ เขาจึงเชื่อมั่นของปลอมจะมาเทียบเคียงของแท้ได้ยังไง 3000
“ไปให้พ้น!”
พึ่บ! พับ!
ฮวางจุนเผิงสะบัดปีกสุดความสามารถเพื่อหวังสลัดซูฮยอนให้หลุด แต่มือของซูฮยอนยึดจับปีกเอาไว้อย่างแน่นหนาราวทากาวเอาไว้
ฉีก!!
“!”
ในขณะซูฮยอนกําลังต่อสู้กับแรงลม เขาก็สามารถกระชากปีก 1 ข้างออกมาได้สําเร็จ
“อ้ากกกกกก”
ฮวางจุนเผิงกรีดร้องเสียงแหลมจากการเสียปีกไป 1 ข้าง เขาหมุนร่างกายกลับหลังและเหวี่ยงหมัดโจมตี
ฉีก!!
กรงเล็บแหลมโจมตีอากาศเปล่าๆ ซูฮยอนหลบเลี่ยงกรงเล็บด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนกระโดดทิ้งหนีห่างออกไป..
“อีก!! แม่งเอ้ย”
ความทรมานจากการสูญเสียปีกยังคงแล่นตามกล้ามเนื้อบนแผ่นหลัง เป็นเหตุให้ฮวางจุนเผิงร้องโอดครวญออกมาเป็นระยะๆ สายตาตรึงไปที่ร่างกายของซูฮยอน พลางพยุงร่างกายตัวเองเหยียบพื้นด้านล่าง
แม้ความเจ็บปวดยังคงรู้สึกอยู่ แต่ฮวางจุนเผิงไม่นึกเสียใจที่สูญเสียปีกไป 1 ข้าง
“พักฟื้นสัก 2-3 วัน ปีกคงงอกออกมาใหม่” ฮวางจุนเผิงคิด
มังกรส่วนใหญ่แทบไม่ใช้ปีกในการพยุงตัวโบกบิน แต่ใช้พลังเวทย์ขับเคลื่อนแทน แม้จะสูญเสียปีกไป ฮวางจุนเผิงก็ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องปรอบนอากาศ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ไม่ใช่เวลากังวลเรื่องปีก เรื่องที่ควรพุ่งเป้าหมายคือการสังหารซูฮยอนต่างหาก..
ฟรีบ!!
ฮวางจุนเผิงดีดตัวถาโถมหาซูฮยอน จุดที่ซูฮยอนยืนอยู่เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ยากต่อการซ่อนตัว กรงเล็บแหลมคมดุจใบมีดกระซวกแทงด้านหน้า
ซูฮยอนไม่ได้กระโดดหลบ เขารวบรวมพลังเวทย์ไว้ที่ดาบและสะบัดโจมตีฮวางจนเผิง
เครั้ง!!! ปัง!!!
ฮวางจุนเผิงเค้นกําลังวังชาทั้งหมดโถมใส่ซูฮยอน กรงเล็กและคลื่นพลังเวทย์ปะทะกลางอากาศ อาคารที่เปราะบางอยู่ก่อนหน้าเริ่มทนต่อคลื่นกระแทกไม่ไหว
ตูม!!!
กลางอาคารเกิดหลุมขนาดใหญ่ยุบตัวลง ฮวางจุนเผิงรัวกรงเล็บใส่ซูฮยอนไม่ยั้ง
ทําให้ร่างกายของซูฮยอนถูกหมัดตอกกระแทกลงไปชั้นล่างสุด เมื่อมาถึงชั้นล่างสุดฮวางจุนเผิงพ่นลมหายใจออกจากโพรงจมูก แล้วยันร่างลอยขึ้นเหนืออากาศ
แฮก!! แฮก!!
ดวงตามังกรส่องสว่างอําพันทามกลางฝุ่นฟุ้งกระจาย ฮวางจุนเผิงทอดสายตามองซูฮยอนอย่างคาดหวัง
ซูฮยอนนอนอยู่ใต้ซากปรักหักพังค่อยๆดันเศษซากออกที่ละชิ้น ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง แถมยังมีท่าที่สบายอารมณ์ ราวกับว่าเมื่อครู่เป็นแค่ความฝัน
แหมะ!! แหมะ!! แหมะ!!
กลางหน้าอกของฮวางจุนเพิ่งมีเลือดสีแดงหลั่งรินออกมาประหนึ่งสายน้ําไหลพราก บาดแผลเป็นรอยกรีดลึกลงไป คมดาบของซูฮยอนเชื่อดผ่านเกล็ดมังกรและเจาะทะลุเข้าเนื้อชั้นใน ปริมาณเลือดปัจจัยสําคัญแสดงให้เห็นว่าบาดแผลฉกรรจ์เพียงใด
อาการบาดเจ็บจากปีกเมื่อครู่ก็ยังไม่สมานหายดี ตอนนี้กับได้แผลใหม่กลับมาอีก ยิ่งยืดเวลายิ่งเสียเปรียบ
“เจ้าบ้านั่น ยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม…?”ฮวางจุนเผิงคิด
ฮวางจุนเพิ่งนึกในใจว่าซูฮยอนโดนจัดหนักขนาดนั้นคงหนีความตายไม่พ้น แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าร่างกายของซูฮยอนไร้รอยขีดข่วน ไม่มีเลือดซักหยด มีแต่ฝุ่นเกาะตามตัวจนเนื้อตัวมอม
ฮวางจุนเผิงวางแผนเอาไว้ในใจ การกําจัดซูฮยอนเขาจะใช้สุดยอดไพ่ตายนั้นก็คือ สกิลกายมังกร แต่ผลลัพธ์สุดท้ายดูเหมือนจะไม่เป็นผล ทุมพละกําลังทั้งหมดก็ยังไม่สามารถล้มซูฮยอนได้
“ถึงไม่อยากยอมรับก็เถอะ ฉันเอาชนะหมอนี้ไม่ได้แน่ๆ”ฮวางจุนเพิ่งคิดในใจ
นับตั้งแต่ซูฮยอนระเบิดพลังออกมา ฮวางจุนเผิงมีลางสังหรณ์คลุมเครือเกี่ยวกับซูฮยอนมาโดยตลอด แต่เขาไม่อยากยอมรับและไม่เชื่อ เขาจึงตัดสินใจต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยไพ่ตาย และ ผลลัพธ์สุดท้ายสรุปอยู่ตรงหน้า
“ฉันต้องหนีจากหมอนี้ให้ได้”ฮวางจุนเผิงกล่าวกับกับเอง
เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้ประจักษ์ว่าความตายมันน่าสะพรึงกลัว
ฮวางจุนเผิงสะบัดปีกที่เหลือข้างเดียวเพื่อเตรียมหนี้ร่างกายของซูฮยอนยืนอยู่ด้างล่างเคลื่อนไหวฉับพลัน
ฟรีบ!!
กระโดดไต่อากาศเพียงไม่กี่ครั้ง ซูฮยอนก็สามารถเข้าประชิดตัวฮวางจุนเผิงได้ หนทางหนีถูกสกัดกั้นไว้หมด
“ถ้าเป็นแบบนี้ละก็…” ฮวางจุนเผิงคิดใคร่ครวญ สายตาจับจ้องผู้ตื่นขึ้นและพลเรือนที่อพยพยืนกระจุกอยู่ห่างๆ
“ฉันจะซื้อเวลาให้ตัวเองสักหน่อยก็แล้วกัน”
พับ พับ
ฮวางจุนเผิงไม่รอช้าสะบัดปีก มุ่งหน้าหาผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ใครก็ได้ช่วยด้วย!” ฮวางจุนเผิงตะโกนด้วยน้ําเสียงร้อนรน
แววตากลุ่มผู้ตื่นขึ้นจ้องมองฮวางจุนเผิงระแวดระวัง ตอนได้ยินเสียงตะโกนพวกเขานึกว่าเสียงมอนสเตอร์ ประจวบกับรูปร่างมนุษย์ครึ่งอสูรของฮวางจุนเผิง พวกเขาอดไม่ได้ต้องจับกลุ่มกระซิบกระซากกันเบาๆ
“มะ..มนุษย์?”
“มอนสเตอร์หรือป่าว?”
“ระวัง เขาอาจเป็นผู้ก่อการร้ายก็ได้?”
“ปล่อยให้เจ้าพวกไม่ได้ความ พูดเองเออเองคงไม่ดีสําหรับฉัน คงต้องหาคําอธิบายเพื่อแก้ไขครหา” ฮวางจุนเพิ่งคิดในใจ
“ฉันชื่อฮวางจุนเพิ่งไง พวกนายไม่รู้จักเหรอ?”
“ฮวางจุนเผิง?”
“โอ้รู้สึกจะจริงด้วยแฮะ พอลองมองอย่างละเอียดลออแล้ว เขามีเค้าโครงหน้าคล้ายฮวางจุนเผิงอยู่หลายส่วน”
“จริงเหรอ นายแน่ใจนะ?”
“ถ้าเป็นฮวางจุนเผิง เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นได้ยังไง? ฉันไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อนเลย”
โชคดีสําหรับฮวางจุนเผิง เพราะมีคนจําหน้าตาของเขาได้ ในตอนนี้รูปร่างและหน้าตาเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร แต่บางคนมีสายตาเฉียบแหลมจึงแยกแยะออกว่าเป็นเขา
ฮวางจุนเผิงถอยหายใจอย่างโล่งอกและเริ่มต้นพูด “เป็นผมจริงๆ เรื่องความเป็นมา เดียวยกไปพูดคุยกันภายหลัง ก่อนอื่นช่วยผมหน่อยได้ไหม”
ฉัวะ!!
เครั้ง!!
ฮวางจุนเผิงหมุนกายกลับไปด้านหลังแล้วยกแขนเกล็ดมังกรขึ้นมาป้องกัน ซูฮยอนเบี่ยงวิถีดาบหลบวงแขนแล้วจ้วกแทงด้านหลัง พลังเวทย์เข้มข้นและน่าอึดอัดแผ่กระจายเป็นวงกว้างกดดันให้ผู้ตื่นขึ้นกระโดดถอยหลังไปตั้งหลักไกลที่สุด เท่าที่ทําได้
“อะไรกัน?”
“อย่าบอกนะว่าเป็นผู้ก่อการร้าย?”
ระดับการต่อสู้เริ่มเด่นชัดมากขึ้น ฮวางจุนเผิงทนรับพลังดาบอันรุนแรงของซูฮยอนไม่ไหวเวลารับการโจมตีร่างกายถอยร่นทุกครั้ง ยิ่งเผชิญหน้าและเขยิบใกล้ซูฮยอนเรื่อยๆ ความหวาดกลัวที่ถูกซ่อนไว้ภายในใจถูกกระตุ้นปลุกในตื่นอย่างช้าๆ
“เชี่ยเอ้ย กัดไม่ปล่อยจริงๆ”ฮวางจุนเพิ่งคิด
ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้ ยากมากที่จะสลัดอีกฝ่ายให้หลุด
ฮวางจุนเผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆตะเบ็งเสียงดัง “ใครก็ได้ช่วยด้วย มันเป็นผู้ก่อการร้ายมันพยายามฆ่าผม”
ผู้ตื่นขึ้นจาก 12 กิลด์ มีกําลังคนอยู่ประมาณ 100 คน ความสามารถแต่ละคนอาจสูงไม่มากแต่ถ้าทุกคนรวมพลังกัน อาจสําเร็จปณิธานของฮวางจุนเผิงได้..
“นี่สินะที่เขาเรียกว่าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ฮวางจุนเผิงคิดอย่างเหิมเกริม
เขาศรัทธามั่นใจชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนหรือต่างประเทศ ฮวางจุนเผิงมีชื่อเสียงเลื่องลือ แม้ชื่อเสียงของซูฮยอนจะไม่น้อยไปกว่าเขา แต่เพราะซูฮยอนไม่ออกหน้ากล้องบ่อยนักฉะนั้นในวงกว้างใบหน้าแท้จริงของซูฮยอน จึงยังเลือนรางอยู่มาก
“ฉันต้องทํายังไงดี” จูอินบ่นพึมพํา
การปรากฏตัวของทั้ง 2 คน ทําให้รู้อินรู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อลองไตร่ตรองสถานการณ์ให้ถี่ถ้วนตามปกติเขาควรลงมือช่วยเหลือฮวางจุนเผิง แต่การตัดสินใจของเขาเริ่มสะเปะสะปะภายในใจมีข้อสงสัยเคืองใจหลายข้อ ฮวางจุนเผิงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะพลเรือนไร้พลังแต่ฮวางจุนเผิงที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นผู้ตื่นขึ้นซะงั้นสถานการณ์ทั้งหมดที่ประจักษ์เกินขอบเขตความเข้าใจของฐ์อิน ไปไกลลิบลับ
ในขณะทู้อินกําลังทั้งวี่ทั้งวล
คิ้ว!!!
มิรุโบยบินกินลมอยู่บนฟ้าคํารามเสียงแข็งใส่ฮวางจุนเผิง มันตั้งหลักอยู่บนท้องฟ้าก่อนทิ้งดิ่งลงมาเจตนาโจมตีฮวางจุนเผิง
“มิรุ!!” ซูฮยอนตะโกนเรียก
เสียงตะโกน ทําให้มิรุกระพือปีกหยุดอยู่กับที่
“อย่าพึ่งทุ่มบ่าม มันอันตรายเกินไป ถอยไปห่างๆซะ”
การตอบสนองอย่างเชื่อฟังของมังกร รู้อินเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ไขความกระจ่างได้สักทีว่าผู้หวังดีคนไหนเขียนข้อความบอกกล่าวให้อพยพพลเรือนรอบๆออกไปจากจุดเกิดเหตุ