กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 201
ซูหลีละสายตากลับมาทันที ในใจหนักอึ้งหลายส่วน
บรรยากาศเงียบงัน จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ ตงฟางเจ๋อกุมมือนาง มองนางขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ซูซู เจ้าไม่ใช่นาง!”
ประโยคนี้ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าวต่ออีกว่า “เจ้ามีข้า ขอเพียงมีข้า แคว้นเฉิงมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้น ญาติของเจ้า ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย!”
เจ้ามีข้า! คำนี้ทำให้นางอุ่นใจ ตงฟางเจ๋อมีพรสวรรค์ ฝีมือไม่ธรรมดา แคว้นเฉิงมีเขา มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ! เขามีราศีกษัตริย์มากกว่าตงฟางจั๋วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประโยคสุดท้าย กลับทำให้หัวใจนางเจ็บปวด ญาติ! เพียงแต่ญาติที่นางรักที่สุดผู้นั้น ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว!
“ข้ารู้ว่ายังเร็วไปที่จะให้เจ้าเชื่อข้าทั้งหัวใจ แต่ว่า เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ค่ำคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมริมแม่น้ำหลานชาง วาจาที่ข้าเอ่ยออกไป ไม่ใช่วาจาล้อเล่นเด็ดขาด”
น้ำเสียงของเขา เผด็จการเด็ดขาด ราวกับแสงสว่างที่สาดส่องลึกเข้าไปในหัวใจนาง
ซูหลีรู้สึกดวงตาร้อนผ่าว ทว่ากลับยังคงแข็งใจไม่ยอมเงยหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเพียงส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ ถือเป็นการรับคำ
สายลมอ่อนๆ พัดเอาความหนาวเย็นในเหมันตฤดูมา ผิวทะเลสาบพลันเกิดระลอกคลื่นเบาๆ เช่นเดียวกับนางที่มีเรื่องในใจ ร่างบางสั่นเทาเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นทันที เขาปลดเสื้อคลุมบนกายออกอย่างไม่ลังเล เสื้อคลุมตัวหนาถูกสะบัดกลางอากาศ กลิ่นอายของบุรุษลอยมาแตะจมูก พาเอาความอบอุ่นร้อนรุ่มในกายเขามาโอบกอดร่างกายเย็นๆ ของนางไว้แน่น หัวใจพลันกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
นัยน์ตาจริงจังจ้องมองที่คอเสื้อคลุม นิ้วมือเรียวยาวมัดเชือกให้นางอย่างใส่ใจ คล้าย ณ วินาทีนี้ ในสายตาเขา มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด
พฤติกรรมนี้ทั้งเป็นธรรมชาติและใส่ใจ ไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งแม้แต่น้อย
หัวใจของซูหลีสะดุดเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุม
“อากาศหนาว เจ้าร่างกายอ่อนแอ พยายามอย่ายืนอยู่ข้างนอกนานๆ” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงนุ่มนวล จูงมือนางเบาๆ พาออกเดินไปทางศาลาริมทะเลสาบ ความห่วงใยที่มาจากใจของเขา เหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ทั้งนุ่มนวลและอบอุ่น ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเผด็จการที่ไม่อาจปฏิเสธ
นับจากที่ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการเกี่ยวกับการแต่งงานของทั้งสองคน นางกลับไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาเช่นไร ความสัมพันธ์อันแน่นอนเปรียบเสมือนพันธนาการที่มองไม่เห็น ที่กำหนดระยะห่างระหว่างทั้งสองคน ห่างเหิน ใกล้ชิด ไม่เป็นธรรมชาติดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
ซูหลีลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ดึงมือเขาออก เพียงค่อยๆ เดินตามเขาไปเงียบๆ
หลังเดินผ่านทางเดินอันลดเลี้ยว ก็เป็นเรือนหลักที่ซูหลีจะอาศัยอยู่ สองฝั่งของเรือนหันหน้าไปทางน้ำ ขนาดพอเหมาะ ลานบ้านปลูกบุปผานานาพันธุ์เอาไว้ และยังมีต้นหลีอีกมากมาย ฤดูหนาวไม่ใช่เวลาแห่งการเบ่งบาน ทว่ากลับเหมือนสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงาม และได้กลิ่นหอมชื่นใจรางๆ ได้ล่วงหน้า ฉะนั้น เพียงแวบแรกนางก็ชื่นชอบที่นี่แล้ว ราวกับนางสามารถอยู่ห่างไกลความวุ่นวาย และอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีผู้ใดมารบกวน
ห้องของสตรีถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าสง่างาม สะท้อนความประณีตทุกซอกมุม เหมือนกับบุคลิกของนางไม่มีผิดเพี้ยน ตงฟางเจ๋อกวาดตามองรอบทิศ แล้วไปยืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างออกอย่างไม่ใส่ใจ ภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต
ซูหลีสั่งให้คนยกชามา ได้ยินเพียงเขาถอนหายใจเสียงเบา กล่าวว่า “ทิวทัศน์ไม่เลว แต่ซูซูร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ อาศัยอยู่ริมน้ำในหน้าหนาว เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะนัก ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ซูซูยังกลัวน้ำด้วยใช่หรือไม่?”
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย เรื่องที่เกิด ณ ทะเลสาบวั่งเยวี่ยผ่านมานานแล้ว เขากลับยังจำได้! นางแย้มยิ้มอ่อนๆ ตอบว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงห่วงเพคะ เมื่อก่อนหม่อมฉันเมาเรือ จึงไม่ค่อยชอบน้ำนัก ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยเพคะ หม่อมฉันชอบที่นี่ เงียบสงบ ทิวทัศน์ก็งดงาม มีบ่าวรับใช้มากมายขนาดนี้ ยังมีสิ่งใดไม่เหมาะสมอีกเล่าเพคะ? ค่อยๆ ปรับตัวไปก็ได้แล้วเพคะ” นางจงใจหลบตาเขา จู่ๆ ก็คล้ายนึกอะไรออก กล่าวอีกว่า “ท่านอ๋องรออยู่ที่นี่ครู่หนึ่งนะเพคะ ประเดี๋ยวซูหลีมา”
ตงฟางเจ๋อแปลกใจ แต่ก็พยักหน้า
ซูหลีเข้าไปในห้องด้านในครู่หนึ่ง หยิบกล่องไม้ขนาดเล็กลวดลายประณีตกล่องหนึ่งออกมา
นัยน์ตาของตงฟางเจ๋อสั่นระริก คล้ายรู้ว่านั่นคือสิ่งใด จ้องหน้านางเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด
ซูหลีก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องวาจาเชื่อถือได้ ซูหลีย่อมต้องรักษาสัญญา สิ่งนี้ มอบให้ท่านอ๋องเพคะ” นางกล่าว พร้อมเปิดกล่องไม้ออก กลิ่นหอมแปลกๆ ลอยโชยมาแตะจมูก
ดอกไม้ขนาดเท่าหัวแม่มือ งดงามละเอียดอ่อน ก้านดอกเล็กเรียว ใบคู่สีเขียวมรกต ห่อหุ้มไว้แค่กลีบดอกเพียงกลีบเดียว ตัวกลีบดอกมีสีขาวดั่งหิมะ ตรงขอบของปลายกลีบดอกค่อยๆ ไล่สีกลายเป็นสีแดงสะดุดตา ตงฟางเจ๋อศึกษาเรื่องบุปผามาเป็นเวลานาน กลับไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน
“ดอกฉิงฮวา” เขากล่าวเสียงขรึม น้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความสงสัย แต่กลับบ่งบอกถึงความมั่นใจ
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ
หัวใจของตงฟางเจ๋อพลันบังเกิดความไม่สบายใจ ดอกฉิงฮวาเป็นสิ่งล้ำค่าของราชวงศ์เปี้ยน ยามนี้เพิ่งผ่านมาได้ไม่นานหลังจากที่นางและเขาทำสัญญากันในโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำหลานชาง นางกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใดกันแน่? ในสมองพลันมีความคิดแล่นผ่าน สัญชาตญาณบอกเขาว่า ต้องเป็นหยางเซียวแน่ที่มอบให้นาง แต่ว่า…เหตุใดหยางเซียวจึงมอบของล้ำค่าให้นางง่ายๆ เช่นนี้? นอกเสียจากระหว่างพวกเขาสองคน มีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้ซ่อนอยู่…
เมื่อครู่เขายังอบอุ่นใส่ใจ ใกล้ชิดกับนาง พยายามลดระยะห่างทางจิตใจของทั้งสอง ยามนี้กลับถูกดอกฉิงฮวาดอกนี้สาดน้ำเย็นใส่จนความอบอุ่นเย็นชืดจนสิ้น สิ่งที่เคยปรารถนาอยากได้มาในอดีต ยามนี้กลับเหมือนอาวุธแหลมคมที่เสียดแทงหัวใจเขา
ตงฟางเจ๋อสายตาเย็นชา เอ่ยเสียงแช่มช้า “ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่ามีวิธีหาดอกฉิงฮวามาได้ นึกไม่ถึงว่าจะเร็วถึงเพียงนี้…ดูเหมือนซูซูเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแล้ว”
ซูหลีสายตาไหวระริก มองหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงปราดเปรื่อง ซูหลีจะกล้าโป้ปดได้เช่นไร เรื่องที่รับปาก ย่อมต้องทำให้ได้” สีหน้านางสงบนิ่งมาก ทำเหมือนไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา
นอกหน้าต่าง ลมเย็นพลันพัดเข้ามา พาให้อุณหภูมิในห้องหนาวเย็นดั่งถูกแช่แข็ง สองมือของซูหลีอยู่ในท่าน้อมส่งกล่องไม้อย่างนั้น ตงฟางเจ๋อกลับไม่ขยับ ไม่ยื่นมือไปรับ เพียงจ้องนางด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
เพราะเหตุใดกัน? รู้ทั้งรู้ว่าพิษดอกฉิงฮวา หากไม่แก้พิษให้ทันเวลา ปล่อยไว้นานไปวรยุทธ์จะเสื่อมจนสิ้น แต่เขากลับไม่อยากยื่นมือไปรับ ราวกับเมื่อใดยื่นมือไปรับ ทุกสิ่งก็จะเป็นไปตามที่นางหวังไว้ กลายเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนจริงๆ! ความรู้สึกนี้ทำให้เขาอึดอัดใจยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ ยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับรู้สึกไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรจึงจะดี
ความเงียบงันอันยาวนาน เงียบจนคล้ายจะได้ยินเสียงฝุ่นกระทบพื้น
ทันใดนั้น ชายอาภรณ์สีดำของตงฟางเจ๋อพลันเคลื่อนขยับในครรลองสายตาของนาง ตัวเขากลับโฉบไหวเข้ามาอยู่ตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำและอบอุ่นดังขึ้นข้างใบหูนาง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เรื่องที่รับปาก อย่างไรก็ต้องทำให้ได้?”
ซูหลีอึ้งงัน คิ้วงามขมวดอย่างไม่รู้ตัว
เขาปิดฝากล่องดัง ‘ปัง’ รอยยิ้มกลับมาปรากฏในดวงตาขณะเอ่ยเสียงเรียบ “ซูซูฉลาดปราดเปรื่องเกินใคร ช่ำชองเรื่องสมุนไพรและบุปผา ยาแก้พิษดอกฉิงฮวาก็ยังหามาได้”
ม่านตาลึกล้ำของตงฟางเจ๋อเหมือนวังน้ำวนที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด คลื่นอารมณ์มากมายหมุนวนป่วนพล่าน จดจ้องดวงตาของซูหลีเขม็ง
ซูหลีหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย รีบสงบสติอารมณ์ “ดอกฉิงฮวาแม้หายาก แต่แก้พิษอย่างไร ซูหลีกลับไม่รู้ เรื่องนี้ จำต้องไปขอคำชี้แนะจากคนผู้หนึ่ง…”
…………………………………………………..