กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 212
คุณชายรูปงามผู้นั้นคือเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อผู้ที่เป็นเสมือนดวงตะวันอยู่กลางฟ้า? สาวงามนางนั้นถึงกับเป็นท่านหญิงหมิงซี? นี่มัน…ซวยของจริงแล้ว! จั้นอู๋จี๋คนเดียวก็ทำให้พวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว กลับมีเจิ้นหนิงอ๋องเพิ่มมาอีกคน! มิน่าเล่าท่านหญิงหมิงซีที่เป็นเพียงสตรีบอบบาง ถึงได้ไม่มีท่าทีลนลานหวาดกลัวแม้แต่น้อย เจิ้นหนิงอ๋องความคิดยากแท้หยั่งถึงโดยแท้ เห็นพวกเขาทำตัวเสียมารยาทต่อท่านหญิง ไม่เพียงไม่ห้ามปราม ยังยุยงให้พวกเขาสู้กัน ส่วนตนเองนั่งดูละครฉากสนุกอยู่ข้างๆ!
หากรู้แต่แรกว่าเป็นท่านอ๋องและท่านหญิงแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน ตีให้ตายอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาลามปามแน่นอน! แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ใครจะไปคาดคิดว่าเจิ้นหนิงอ๋องกับท่านหญิงหมิงซีที่มีฐานะสูงส่งจะมาชมการแสดงศิลปะธรรมดาที่หอเทียนเชียงแห่งนี้?
ในเวลาสั้นๆ สองคนนี้ลอบก่นด่าตงฟางเจ๋อในใจไปไม่รู้กี่ครั้ง
ซูหลีใบหน้าเรียบเฉย พยักหน้าเบาๆ ตงฟางเจ๋อยิ้มบางพลางพยักหน้ากล่าวว่า “แม่ทัพจั้นไม่ต้องมากพิธี”
จั้นอู๋จี๋หันมาถามเสียงเกรี้ยว “เว่ยเทียนเชาเจ้าเป็นถึงรองแม่ทัพแห่งค่ายทหาร เหตุใดจึงมาก่อเรื่องวิวาทที่นี่ได้?”
เว่ยเทียนเชาตกใจตัวสั่น เขารู้นิสัยของจั้นอู๋จี๋ดี รู้ว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งหลักฐานพยานก็มีพร้อมตรงหน้า แก้ตัวไปก็ไม่มีความหมาย มิสู้ยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา อาจมีโอกาสรอดมากกว่า ฉะนั้นเขาจึงก้มหน้ากล่าวเสียงขรึม “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! ท่านแม่ทัพโปรดลงโทษ!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวเสียงเย็น “ดี ในเมื่อเจ้าสำนึกผิด ก็ไปรับการโบยยี่สิบไม้ งดรับเบี้ยหนึ่งเดือน!”
เว่ยเทียนเชาตัวสั่น ท่าทางจองหองอวดดีเมื่อครู่ไม่เหลือแม้แต่น้อย เขาไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว ได้แต่ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “ขอรับ”
ชายฉกรรจ์ชุดเทาที่อยู่อีกด้านหน้าพลันเปลี่ยนสี เหงื่อเย็นไหลซึม กัดฟันแน่นไม่เอ่ยวาจาสักคำ
จั้นอู๋จี๋หรี่ตา “เจ้า!” เขาชี้นิ้วกล่าว “สังกัดค่ายทหารใด?” คนผู้นี้ร่างกายกำยำแข็งแรง เห็นชัดว่าเป็นทหารในกองทัพ ทว่าใบหน้ากลับไม่คุ้นเคย เป็นไปได้มากว่าไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
จั้นอู๋จี๋ถามว่าเขาสังกัดค่ายใด แต่ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร เห็นชัดว่าพอเดาออกถึงฐานะที่พิเศษของเขา ชายฉกรรจ์ชุดเทาพลันกระวนกระวาย ทว่ากลับกัดฟันแน่นไม่กล้าพูด
“เจ้าคิดว่าไม่พูด แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้หรือ?” จั้นอู๋จี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเย็นชา
ยามนี้เอง ทหารนายหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังเขา ซูหลีหันไปมอง เป็นฉู่เว่ย คนที่มีปากเสียงกับโม่เซียงอยู่นานในวันย้ายจวนนั่นเอง เขากระซิบกระซาบข้างหูจั้นอู๋จี๋หลายประโยค จั้นอู๋จี๋สีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตาที่จ้องชายฉกรรจ์ชุดเทายิ่งเพิ่มความเกรี้ยวกราด
“เมื่อครู่ผู้ใดบอกว่าตนเองเคยสร้างผลงานด้านทหาร?”
ชายฉกรรจ์ชุดเทาเหงื่อไหลท่วมตัว รีบคุกเข่ากล่าวเสียงแข็ง “ข้าน้อยเซียวจ้งโส่วคารวะท่านแม่ทัพจั้น!”
เขาจงใจไม่กล่าวถึงตำแหน่งทางทหารของตนเอง เห็นชัดว่าไม่อยากเปิดเผยฐานะตนเอง เพราะจะนำมาซึ่งความเดือดร้อน
จั้นอู๋จี๋ยิ้มเย็นกล่าวว่า “รองแม่ทัพเซียวจ้งโส่วค่ายแนวหน้ากองทัพหงเยี่ยน ดี สามปีก่อนเพราะมีผลงานการรบที่โดดเด่นจึงได้รับพระราชทานรางวัลจากฝ่าบาทจริงๆ เจ้าไม่ได้คุยโว!”
วาจานี้คล้ายกำลังเอ่ยชม ทว่ากลับทำให้ชายฉกรรจ์ชุดเทานามว่าเซียวจ้งโส่วเหงื่อไหลท่วมกายมากกว่าเดิม เห็นชัดว่าจั้นอู๋จี๋ไม่คิดจะหยุดแต่เพียงเท่านี้แน่
ซูหลีตึงเครียด ค่ายหงเยี่ยนอยู่ภายใต้การดูแลของเสด็จพ่อหลีเฟิ่งเซียน ประจำการอยู่นอกเหมืองหลวงมาโดยตลอด ที่เข้าเมืองมาคราวนี้คงเพราะถึงฤดูล่าสัตว์แล้ว ในอดีตนางเคยได้ยินเสด็จพ่อกล่าวว่าเซียวจ้งโส่วคือหนึ่งในทหารมากฝีมือที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากับเขา ได้ยินว่าในสนามรบเขาไม่กลัวตายแม้แต่น้อย โรมรันกับศัตรูด้วยชีวิต และสร้างผลงานด้านการรบมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ เขากลับเป็นผู้มีวรยุทธ์ที่หยาบคาย ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเช่นนี้!
จั้นอู๋จี๋มองตงฟางเจ๋อแวบหนึ่ง “คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อม จะลงโทษอย่างไร ขอท่านอ๋องโปรดทรงชี้แนะ”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างครุ่นคิด “ในเมื่อเป็นนายทหารในกองทัพ เรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพจัดการย่อมเหมาะสมกว่า” เขาเอ่ยปัดความรับผิดชอบกลับไป
จั้นอู๋จี๋สายตาไหวระริก ก่อนจะตะโกนเสียงเข้ม “พ่ะย่ะค่ะ ในฐานะทหาร สร้างเรื่องรบกวนชาวบ้านในที่สาธารณะ ผิดกฎทหาร ทหารลากเขาออกไปรับการโบยยี่สิบไม้ เพื่อลงโทษเป็นตัวอย่าง!”
เซียวจ้งโส่วหน้าเปลี่ยนสี ลุกพรวดตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “จั้นอู๋จี๋ เจ้ารังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว! ข้าเป็นทหารในสังกัดของเซ่อเจิ้งอ๋อง เจ้ากล้าโบยข้าหรือ?!” เขาสีหน้าซีดเขียว เห็นชัดว่าทั้งโกรธทั้งตกใจ ราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน
“โบยเจ้าแล้วอย่างไร? ทำผิดกฎทหารก็สมควรถูกโบย เซ่อเจิ้งอ๋องดูแลไม่เข้มงวด ยากจะพ้นคำครหา! ทหาร! เอาตัวเขาไปโบยเดี๋ยวนี้!” จั้นอู๋จี๋ออกคำสั่งเสียงเกรี้ยว ทหารสิบกว่านายยืนล้อมเซียวจ้งโส่ว ถึงแม้เขาจะเหี้ยมหาญ แต่ทหารเคียงข้างกายของจั้นอู๋จี๋เองก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เขาคนเดียวย่อมสู้หลายคนไม่ได้ ผ่านไปไม่นานก็ถูกจับตัวกดตรึงกับพื้น
“จั้นอู๋จี๋ เจ้ากล้าโบยข้าหรือ!” เซียวจ้งโส่วตะโกนเสียงดัง เสียงแทบจะแหบแห้ง เบิกตาจนแทบถลนออกจากเบ้า จ้องเขม็งไปทางเขา
“โบย!” จั้นอู๋จี๋ตวาดสั่งเสียงเข้ม
ท่อนไม้โบยลงไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละครั้งพาให้ผู้คนใจเต้นรัว ซูหลีหัวใจหนักอึ้ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เกียรติยศและชื่อเสียงที่ได้รับมานานหลายปี มากพอที่จะทำให้จิตใจของคนที่เคยเรียบง่ายพองโตอย่างรวดเร็ว และลืมตัวตนในอดีตไปจนสิ้น! เสด็จพ่อวางตัวฉลาดปราดเปรื่องมาโดยตลอด แต่กลับมีรองแม่ทัพที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ทำเรื่องผิดแล้วยังถูกผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้อีก!
เซียวจ้งโส่วทำผิดได้รับโทษ กลัวเพียงว่าเรื่องนี้จะมีคลื่นลมลูกใหญ่ตามมาอีก! นึกถึงท่าทีของตงฟางเจ๋อเมื่อครู่ ซูหลียิ่งตึงเครียดกว่าเดิม
“จั้นอู๋จี๋ ข้าเซียวจ้งโส่วเป็นคนของค่ายหงเยี่ยน ถึงแม้ต้องถูกลงโทษ ก็ต้องให้เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นผู้ลงโทษ เจ้าเป็นผู้ใด! มีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า?!” เซียวจ้งโส่วคำรามเสียงเกรี้ยว เขาควบม้าทำศึกติดตามเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน ร่วมสร้างผลงาน สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วน นายทหารในค่ายต่างนับหน้าถือตา ไม่เคยถูกลงโทษเพราะทำผิดกฎแม้แต่ครั้งเดียว นึกไม่ถึงถูกโบยครั้งแรก กลับถูกคนที่ไม่เกี่ยวข้องลงโทษ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รับเรื่องนี้ไม่ได้!
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเย็นชา “ลบหลู่เบื้องสูง เสียมารยาทต่อท่านอ๋องและท่านหญิงเป็นความผิดใหญ่หลวง ทำผิดแล้วยังไม่สำนึก ยังกล้าแก้ต่าง โทษเพิ่มหนึ่งขั้น! ลงโทษเพิ่มหนึ่งเท่า โบยอีกยี่สิบไม้!”
“จั้นอู๋จี๋! เจ้า! นี่เป็นการกระทำเกินอำนาจ! เจ้ารู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำ!” ครั้นได้ยินว่าต้องถูกโบยสี่สิบไม้ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตื่นตะลึง ด้วยความเดือดดาล เซียวจ้งโส่วยิ่งกล่าววาจาไม่เลือก แต่ภายใต้เสียงโบยอันไร้ความเมตตา เสียงของเขาเริ่มอ่อนลงอย่างช้าๆ คนทั่วไปถูกโบยยี่สิบไม้ก็ลุกจากเตียงไม่ได้ไปหลายวันแล้ว ถึงแม้เขาจะเหี้ยมหาญเพียงใด ถูกโบยสี่สิบไม้ลมหายใจก็อ่อนลงไปไม่น้อย
ไม่นาน ในหอเทียนเซียงอันกว้างขวางพลันเงียบงันจนน่ากลัว ได้ยินเพียงเสียงโบยที่ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเสียงกระชากหัวใจผู้คนยิ่งนัก
ซูหลีรู้ดีแก่ใจ อีกไม่นานเรื่องนี้จะทำให้เกิดคลื่นลมลูกใหญ่ขึ้นในราชสำนัก เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้…
วันที่สอง การประชุมช่วงเช้าในตำหนักจินหลวน
หลังจากเหล่าขุนนางกล่าวถวายบังคมเรียบร้อย เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนเดินออกจากแถวด้วยใบหน้าโกรธขึ้งยากควบคุม “กระหม่อมมีเรื่องสำคัญ อยากขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สายตาเคร่งขรึม เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวเสียงแช่มช้า “เรื่องใด?”
“รองแม่ทัพเซียวจ้งโส่วซึ่งประจำการอยู่ที่แนวหน้านอกเมืองเข้าเมืองหลวงตามพระบัญชา เพื่อเข้าร่วมการล่าสัตว์ที่จะมีขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง แต่เมื่อค่ำวานนี้กลับถูกแม่ทัพจั้นโบยสี่สิบไม้ แม่ทัพจั้นกระทำเกินเหตุ ลงโทษเป็นการส่วนตัว ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
……………………………………………