กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 220
ซูหลีกลับแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไม่เห็นทั้งความยินดีหรือเสียดาย
“เหตุใดจึงไม่ดีใจ?” เสียงของตงฟางเจ๋อดังขึ้นข้างหู ส่งเสียงทางลมปราณ ช่างเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมดังคาด พูดสิ่งใดก็ได้ ไม่มีใครได้ยิน
ซูหลีเหล่มองเขาเล็กน้อย คล้ายกำลังบอกว่า ‘มีอะไรน่าดีใจ? องค์หญิงเจาหวาอาศัยความสามารถที่แท้จริง ข้าเพียงฉวยโอกาสภายใต้การช่วยเหลือของท่าน’ หากมิใช่ว่าถูกบีบบังคับให้ลงสนาม นางก็ไม่อยากแข่งขันกับใคร เดิมทีก็มีโอกาสชนะ แต่นางกลับยอมละทิ้งโอกาสนั้นไป ด้วยความสามารถของนาง ตีเสมอกับหยางเสวียนได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว หากชนะ เกรงว่ารังแต่จะสร้างความสงสัย ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา
ราวกับอ่านความคิดนางออก ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “ใช้วิธีการพิเศษในช่วงเวลาฉุกเฉิน ผลลัพธ์คือสิ่งสำคัญที่สุด ความจริงข้าเพียงบอกใบ้เจ้าสองครั้ง ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ได้ ล้วนอาศัยความฉลาดและไหวพริบของเจ้าทั้งสิ้น”
ซูหลีหลุบตา บางทีเขาอาจพูดถูก ใช้วิธีการไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ผลลัพธ์ จะทำอย่างไรไม่ให้ล้มเหลว คือสิ่งที่ควรพิจารณามากที่สุด
ฮ่องเต้ปรบมือเสียงดัง กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดี! หมิงซีไม่ทำให้ข้าผิดหวังดังคาด!” ผลลัพธ์นี้ เห็นชัดว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฮ่องเต้คาดการณ์ไว้ แต่ไหนแต่ไรแคว้นเฉิงนั้นผู้ชายแข็งแกร่งผู้หญิงอ่อนแอ วันนี้บุตรีสกุลผู้ดีเช่นซูหลี ประลองยิงธนูกับองค์หญิงเจาหวาผู้ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นเปี้ยน กลับสามารถตีเสมอได้ เท่านี้ก็ถือว่าสร้างชื่อให้กับแคว้นเฉิงได้มากแล้ว
ฮ่องเต้เบิกบานยิ่งนัก สายตาที่มองซูหลีมีแววชื่นชมและโปรดปรานเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
ฮองเฮากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครานี้เสมอกันอีกแล้ว จะทำเช่นไรดีเล่าเพคะ?”
สีหน้าตื่นตะลึงของหยางเสวียนจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขย่าแขนซูหลีอย่างตื่นเต้น พลางร้องตะโกน “พวกเราแข่งกันอีกสักครั้งดีหรือไม่?” สีหน้าตื่นเต้นของนาง ราวกับได้พบคู่แข่งที่ฝีมือทัดเทียมกันซึ่งหาได้ยาก ไม่อยากปล่อยไปง่ายๆ
ซูหลีเงยหน้ามองฮ่องเต้ เห็นเพียงฮ่องเต้ที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้าสำราญยามนี้กลับมีใบหน้าเหน็ดเหนื่อย นางกระจ่างทันที จึงแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยกับหยางเสวียนอย่างเกรงใจ “องค์หญิงมีทักษะการยิงธนูที่ไม่ธรรมดา ทำให้ซูหลีได้เปิดโลกทัศน์ วันนี้ซูหลีสามารถตีเสมอกับองค์หญิงได้ ล้วนอาศัยโชค เดิมทีองค์หญิงเป็นแขก ในเมื่อซูหลีเป็นเจ้าบ้าน ไม่ควรแย่งชิงความโดดเด่นจากแขกคนสำคัญ ซูหลียอมยกผลงานชิ้นแรกให้องค์หญิงเพคะ! ท่านอ๋องคงไม่ตำหนิที่ซูหลีตัดสินใจโดยพลการกระมังเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสมอกันถึงสองครา คิดดูแล้วอาจเป็นเจตจำนงของสวรรค์ ซูซูใจกว้างได้เช่นนี้ ข้ากลับดีใจเสียอีก จะตำหนิได้เยี่ยงไรเล่า! ขอเสด็จพ่อโปรดประทานอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบก็หันไปค้อมกายให้ฮ่องเต้
จนถึงตอนนี้ ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการประลอง ในสายตาของฮ่องเต้ ซูหลีได้ชิงรางวัลยอดเยี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว!
ฮ่องเต้พระพักตร์มังกรสำราญ หัวเราะเสียงก้องกังวาน “ดี! นี่ก็คือวิสัยทัศน์ที่ราชนิกุลแคว้นเฉิงควรมี! โอรสและสะใภ้ของข้าควรมีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้! ทหาร มอบรางวัล! องค์หญิงเจาหวาชิงรางวัลยอดเยี่ยมได้ ข้าขอมอบแก้วแหวนเงินทอง เพื่อเป็นการตบรางวัล”
เครื่องประดับล้ำค่าบนถาดสีทองถูกยกออกมา ภายใต้แสงตะวันส่องแสงระยิบระยับสะดุดตา ตบรางวัลงามดังคาด ผู้คนรอบข้างต่างตาเป็นประกาย
หญิงผู้ติดตามชุดเขียวตื่นเต้นสุดแสน หยางเสวียนเองก็อึ้งงัน แคว้นเปี้ยนอุดมไปด้วยเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากขนสัตว์ แต่ขาดแคลนแก้วแหวนเงินทอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นแก้วแหวนเงินทองจำนวนมหาศาลขนาดนี้พร้อมกันในครั้งเดียว! นางสูดหายใจ ถ้าหากราชวงศ์เปี้ยนของนางสามารถนำแก้วแหวนเงินทองมากมายขนาดนี้ออกมามอบรางวัลให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ เช่นนั้นประชาชนของแคว้นนาง ก็จะสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและร่ำรวยเงินทองใช่หรือไม่?
ใบหน้าหยางเสวียนหม่นหมอง แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะไม่นานนางก็แย้มยิ้ม เดินเข้าไปกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงประทานรางวัลให้เพคะ แต่… ขอฝ่าบาทโปรดอย่ากริ้ว หากเจาหวาจะขอแลกแก้วแหวนเงินทองเหล่านี้เป็นรางวัลอย่างอื่นเทน!”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
ซูหลีมองเห็นแววสงสัยและระแวดระวังเช่นเดียวกับตนเองจากดวงตาตงฟางเจ๋อ พวกเขาล้วนไม่ลืม หัวข้อที่สองในพิธีคัดเลือกพระสวามี หยางเซียวเลือกของสองสิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือทองคำ เห็นได้ชัดว่าแคว้นเปี้ยนขาดแคลนสิ่งเหล่านี้มาก และเสี้ยววินาทีที่หยางเสวียนวเห็นของล้ำค่าเหล่านั้น ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านางหวั่นไหว ทว่ากลับเลือกที่จะปฏิเสธ หรือที่นี่ยังมีสิ่งที่ทำให้นางสนใจยิ่งกว่า?
สีหน้าฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย ถามด้วยสายตาสงสัย “องค์หญิงอยากได้รางวัลใดหรือ?”
“ทูลฝ่าบาท ก่อนที่เจาหวาจะเดินทางมาแคว้นเฉิง ได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับท่านหญิงหมิงซี โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านหญิงเลือกพระสวามี ได้กลายเป็นเรื่องกล่าวขานอันงดงามไปทั่วหล้า เจาหวาอิจฉายิ่งนัก!”
ความหมายในวาจา ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว
คงเพราะนึกไม่ถึงว่านางจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฮ่องเต้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าจัดพิธีคัดเลือกพระสวามีให้เจ้าด้วยงั้นหรือ?”
หยางเสวียนรีบโบกมือ “เจาหวามิกล้ารบกวนฝ่าบาท เจาหวาเพียงได้ยินมาว่า ใต้หล้านี้บุรุษที่สมบูรณ์แบบ มีรูปโฉมงดงาม ฉลาดปราดเปรื่อง มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม และมีฝีมือขี่ม้ายิงธนูโดดเด่น ล้วนอยู่ที่แคว้นเฉิง!” พูดไป นางก็เหล่มองตงฟางเจ๋ออย่างเปิดเผย
ซูหลีหนักอึ้งในใจ สายตาเย็นชาเหลือบมองไปทางตงฟางเจ๋อ บุรุษที่โดดเด่นเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป!
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว สีหน้าลึกล้ำ ไม่เอ่ยคำใด
ฮองเฮาสายตาไหวระริก ไม่รู้คิดสิ่งใดขึ้นมาได้ กระดกมุมปากเผยอยิ้มบางๆ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว สายตาเหลือบไปมองตงฟางจั๋วที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ข้างฮองเฮา โอรสที่เคยองอาจผึ่งผายและเต็มไปด้วยความมั่นใจของเขา ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นคนเงียบงันไม่พูดไม่จา หลุบตาต่ำ ตงฟางจั๋วราวกับวางตัวอยู่เหนือปัญหาแต่แรก เพียงเงยหน้ามองซูหลีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
หยางเสวียนกล่าวต่ออีกว่า “ครานี้ที่เจาหวาเดินทางมาที่แคว้นเฉิง เพราะหวังว่าจะตามหาคู่ครองได้จริงๆ แต่เจาหวาไม่รีบร้อน เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญทั้งชีวิต ไม่ใช่การเล่นขายของ! เจาหวาอยากพักที่จวนของท่านหญิงก่อน ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่เพคะ?”
ประโยคนี้ถามได้แปลกประหลาดยิ่งนัก!
ซูหลีเงยหน้ามองนางด้วยสายตาคมปลาบ จำต้องบอกว่าพฤติกรรมและความคิดขององค์หญิงผู้นี้เหนือความคาดหมายของผู้คนยิ่งนัก นางกับองค์หญิงทั้งไม่ใช่สหายเก่า และไม่ใช่สหายใหม่ คิดอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลที่นางจะต้องไปพักในจวนของซูหลี!
ฮ่องเต้เองก็รู้สึกข้องใจยิ่งนัก จึงถามว่า “เหตุใดต้องพักที่จวนท่านหญิง?”
หยางเสวียนยิ้มก่อนจะตอบว่า “เพราะเสด็จพ่อมักจะตำหนิหม่อมฉันว่าไม่มีมารยาท บอกว่าเจาหวาไม่เหมือนสตรี เจาหวาได้ยินมาว่าสตรีที่สามารถแต่งเข้าราชวงศ์เฉิงได้ ต้องงามพร้อมทั้งรูปโฉมและศีลธรรมอันดี ล้วนถือเป็นแบบอย่างของสตรีใต้ฟ้า เจาหวาชื่นชมท่านหญิงมานาน อยากถือโอกาสนี้ขอคำชี้แนะจากท่านหญิง ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่เพคะ?”
สายตาซูหลีเย็นชา สัญชาตญาณของนางไม่ผิดดังคาด
ซูหลีขมวดคิ้ว เงยหน้ามองฮองเฮา หมายจะเปิดปาก ตงฟางเจ๋อกลับยิ้ม แล้วกล่าวว่า “หากจะกล่าวถึงสตรีที่เป็นแบบอย่างอันดีงามในแคว้นเฉิงของเรา ย่อมต้องเป็นฮองเฮา! หากองค์หญิงอยากเรียนมารยาท พักในวังหลวงจะเหมาะสมกว่า!”
หยางเสวียนกลับกล่าวว่า “ฮองเฮาเป็นผู้งามพร้อมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไร้ซึ่งข้อกังขา แต่ฮองเฮาต้องดูแลวังหลัง ยามปกติจะต้องทรงยุ่งและเหนื่อยมากแน่ๆ เจาหวามิกล้าเพิ่มภาระให้ฮองเฮาเพคะ!”
สายตาตงฟางเจ๋อขรึมลง ฮองเฮาเงยหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจาหวาช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นนัก ข้าอายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น หมิงซีเป็นว่าที่สะใภ้ของราชวงศ์ เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ย่อมต้องยอดเยี่ยมอยู่แล้ว องค์หญิงและหมิงซีอายุไล่เลี่ยกัน พักด้วยกัน ก็มิใช่ว่าจะไม่ได้”
………………………………………………….