กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 225
ซูหลีตกใจเล็กน้อย เหตุใดไม่ตรวจสอบก่อน ก็สั่งฆ่าคนแล้วเล่า? เหตุการณ์นี้ก็ดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายของหยางเสวียนเช่นกัน นางมองหน้าฮองเฮาอย่างตกตะลึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ผ่านไปไม่นาน เสียงโบยอย่างรุนแรงก็ดังมาจากข้างนอก เสียงนั้นทั้งหนักหน่วงและรุนแรง ดังประสานกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของรุ่ยฟาง เสียดแทงแก้วหูทุกคน ภาพอันโหดร้ายนั้นผุดขึ้นมาในสมองของทุกคนอย่างไม่รู้ตัว
หลีเหยาหน้าซีด อดไม่ได้ที่จะหลับตาแน่น นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง
ซูหลีไม่แสดงสีหน้าหรืออาการใด ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เรื่องนี้แปลกประหลาดยิ่ง ฮองเฮามีนิสัยขี้ระแวง ทำเรื่องใดหากไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมรามือ ครั้งนี้กลับไม่ตรวจสอบไม่สืบสาว ก็โบยนางกำนัลผู้นี้จนตาย! หรือว่า นางมั่นใจถึงเพียงนั้นว่ารุ่ยฟางคือคนร้าย? ไม่ ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุอื่นอยู่แน่นอน
บรรยากาศในตำหนักฉางชุนหนักอึ้ง กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยปกคลุม
เดิมหยางเสวียนต้องการมาเยี่ยมเยียนด้วยความหวังดี นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องอย่างนี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รั้งอยู่ต่อ ฉวยโอกาสกล่าวลาฮองเฮา ออกจากตำหนักฉางชุนไปพร้อมกับซูหลี
ทั้งสองมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร ราวกับเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของรุ่ยฟางยังดังก้องอยู่ในหู
ซูหลีไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา พฤติกรรมของฮองเฮาในวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่ปกติ นางกำนัลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หากเบื้องหลังไม่มีผู้บงการ จะมีความกล้าลอบทำร้ายฮองเฮาองค์ปัจจุบันได้เช่นไร? แต่ดูท่าทางของรุ่ยฟางกลับคล้ายไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ…
นางเอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องราว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ของหยางเสวียน ที่ปกปิดความประหลาดใจระคนดีใจไว้ไม่มิด นางกล่าวอย่างร่าเริง “ช่างบังเอิญยิ่งนัก พบท่านอีกแล้ว เจิ้นหนิงอ๋อง!”
ซูหลีได้ยินก็ชะงักงัน เงยหน้าขึ้นมอง สานประสบกับนัยน์ตาลึกล้ำของตงฟางเจ๋อพอดี เห็นเขายังสวมชุดพิธีการอยู่ น่าจะเพิ่งเลิกประชุมช่วงเช้าจากตำหนักจินหลวน
ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าปกติ พยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับคำทักทายจากนาง “องค์หญิงเจาหวา”
หยางเสวียนอมยิ้ม คล้ายไม่ใส่ใจท่าทีเย็นชาของเขา ดวงตาเปล่งประกายเบิกกว้าง มองพิจารณารอบกายเขาอย่างสนอกสนใจ
ตงฟางเจ๋อหันไปมองซูหลี คลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเพิ่งไปเยี่ยมเสด็จแม่มาหรือ? อาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่?” ต่อหน้าหยางเสวียน เขากลับแสดงละครได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ซูหลีเอ่ยอย่างแช่มช้า “ฮองเฮาทรงบาดเจ็บแค่ภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงมากเพคะ เพราะตกใจมาก กลางคืนจึงบรรทมไม่ค่อยหลับ เพียงแต่ เมื่อครู่หม่อมฉันบังเอิญค้นพบว่ามีคนลอบเติมน้ำค้างเย็นลงในชาเก๋ากี้ทองของพระองค์”
สายตาตงฟางเจ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ผู้ใดช่างใจกล้าถึงเพียงนี้?”
หยางเสวียนกล่าว “ดูแล้วน่าจะเป็นรุ่ยฟาง นางกำนัลข้างกายฮองเฮาที่รับหน้าที่ชงชาโดยเฉพาะ” นางครุ่นคิด แล้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “นึกไม่ถึงนางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่งในตำหนักฉางชุนจะมีความคิดชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าวางยาพิษในน้ำชาของฮองเฮา!”
“รุ่ยฟาง…” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างครุ่นคิด “นางกำนัลต่ำต้อยคนหนึ่งกลับมีความคิดเช่นนี้? ฮองเฮาทรงถามหาคนที่บงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่?”
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ครั้นฮองเฮารู้ว่าในน้ำชามีพิษ ก็กริ้วมาก สั่งให้นำตัวนางกำนัลผู้นั้นออกไปโบยจนตายทันที”
สายตาตงฟางเจ๋อเปล่งประกายคมปลาบ ในใจพลันบังเกิดความสงสัย เขาสบตากับซูหลีแวบหนึ่ง เสี้ยววินาทีนั้นพวกเขาต่างมองเห็นความสงสัยที่เกิดจากความรู้สึกเดียวกันในสายตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ตลอดมาฮองเฮาเป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความปรานี เพียงแค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้มีหลักฐานชัดเจน กลับไม่สืบสาวราวเรื่อง นำตัวนางกำนัลผู้นั้นไปโบยจนตายอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมเช่นนี้เห็นชัดว่าผิดปกติ เหมือนต้องการปกปิดความลับบางอย่างที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้มากกว่า!
“ก็ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะกริ้วขนาดนี้” หยางเสวียนถอนหายใจ กล่าวอย่างครุ่นคิด “ทำให้คนหลับไหลอย่างไม่รู้ตัว…นานวันไปก็ทำให้กลายเป็นคนที่ตายทั้งเป็น วิธีวางยานี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!”
สีหน้าตงฟางเจ๋อพลันเปลี่ยน ความสงสัยหนึ่งแวบผ่าน ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างครุ่นคิด “องค์หญิงกล่าวถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ วิธีการนี้…ชั่วร้ายมากจริงๆ!” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ทว่ากลับแฝงความน่ากลัวที่ทำให้คนฟังอกสั่นขวัญหาย นัยน์ตาลึกล้ำหลุบต่ำ ปกปิดคลื่นลมอันน่ากลัวที่ก่อตัวอยู่ในส่วนลึกของม่านตา
หยางเสวียนคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้แต่เช้า หมดสนุกกันพอดี เจิ้นหนิงอ๋อง มิสู้พวกเราไปฝึกธนูด้วยกันดีหรือไม่?”
ครั้นเห็นนางเชื้อชวนอย่างใจกล้า และแสดงความเป็นมิตรอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ซูหลีหันหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัว
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “องค์หญิงโปรดอภัยด้วย ข้ายังมีราชกิจติดพัน ไม่สะดวกไปเป็นเพื่อน” สายตาเย็นชาหันไปทางซูหลี แล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ซูซูมิได้บอกว่าวันนี้อยากกลับไปเยี่ยมจวนอัครเสนาบดีหรอกหรือ?”
ซูหลีสะดุดไปเล็กน้อย ทว่ากลับทำเพียงก้มหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้วเพคะ”
“หา? พวกท่านล้วนมีธุระ เช่นนั้นข้าตัวคนเดียวก็น่าเบื่อแย่สิ?” หยางเสวียนผิดหวังเล็กน้อย
“องค์หญิงชอบขี่ม้ายิงธนู ที่สนามม้ามีอาชาดีฝูงหนึ่งที่เพิ่งได้มาจากแคว้นของท่าน ข้าบอกให้หยวนเซี่ยงพาองค์หญิงไปชมได้” ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วกวักมือเบาๆ
หยวนเซี่ยงเดินเข้ามาค้อมกายเล็กน้อย “กระหม่อมยินดีนำทางองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไปคนเดียว ก็น่าเบื่ออยู่ดี” หยางเสวียนยังคงทำหน้าเบื่อหน่าย
หยวนเซี่ยงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “กระหม่อมได้ยินว่าแม่ทัพจั้นอู๋จี๋ก็ไปที่สนามม้าเพื่อตรวจสอบม้าฝูงนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อคลี่ยิ้มรีบเอ่ยขึ้นทันที “แม่ทัพจั้นผ่านศึกมานับร้อย ทักษะการขี่ม้ายิงธนูโดดเด่นไม่แพ้ข้า”
“จริงหรือ?” หยางเสวียนดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นข้าต้องไปดูสักหน่อยแล้ว” นางแย้มยิ้มร่าเริงแล้วค้อมกายลาทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะตามหยวนเซี่ยงไปที่สนามม้า
ขณะมองดูแผ่นหลังของทั้งสองที่ค่อยๆ ห่างออกไป สีหน้าของตงฟางเจ๋อพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ท่านอ๋องมีราชกิจที่ต้องสะสางจริงหรือเพคะ? หรือว่า…มีเรื่องสำคัญอื่นที่ไม่สะดวกให้ผู้อื่นรับรู้?” ดูจากที่เขาจงใจกันหยางเสวียนออกไป ซูหลีรู้ว่าเขาต้องสงสัยเรื่องของรุ่ยฟางเป็นแน่ จึงยิ้มบางๆ มองเข้าไปในดวงตาแฝงรอยยิ้มของเขา
เขาเดินเข้ามากุมมือนาง กล่าวเสียงเบา “ไม่ว่าเมื่อใด ซูซูมักอ่านความคิดของข้าออกเสมอ ฉลาดปราดเปรื่องเพียงนี้ ทำให้ข้าแม้ไม่อาจได้มาซึ่งความรัก ก็เกลียดไม่ลงจริงๆ”
ซูหลียิ้มบาง “ท่านอ๋องยอซูหลีเกินไปแล้วเพคะ เพียงแต่หากท่านอ๋องต้องการสืบว่าเหตุใดรุ่ยฟางจึงคิดทำร้ายฮองเฮา คงไม่ใช่เรื่องง่าย”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเงียบๆ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าจึงอยากขอให้ซูซูช่วย”
ซูหลีแปลกใจ ทว่าไม่นานก็กระจ่าง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้สิเพคะ ซูหลีจะช่วยท่านอ๋องอีกแรง”
วังหลังเป็นพื้นที่หวงห้ามสำหรับบุรุษเพศ ท่านอ๋องวัยหนุ่มหากไม่ได้ถูกเรียกตัว ก็ไม่อาจกล้ำกรายเข้าไปด้านใน หากซูหลีอาศัยฐานะท่านหญิงและว่าที่พระชายาของเจิ้นหนิงอ๋อง ก็จะง่ายดายขึ้นมาก หลังจากที่รุ่ยฟางถูกโบยจนตาย ก็ได้มอบหมายให้กรมวังเข้ามาจัดการดูแล ซูหลีพลิกดูสมุดบันทึกของรุ่ยฟางแล้ว ก็พลันตึงเครียดทันที
หลังกลับถึงจวน ท้องฟ้าเริ่มมืด องค์หญิงเจาหวากลับยังไม่กลับมา ซูหลีเพิ่งทานมื้อค่ำเสร็จ ก็ได้ยินเสียงโม่เซียงดังมาจากด้านนอก “บ่าวถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋องเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อโบกมือเล็กน้อย เดินเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ สีหน้าเย็นชา คิ้วเข้มขมวดแน่น ซูหลีรู้ดีว่าเป็นเพราะเรื่องใด รีบสั่งให้บ่าวรับใช้ในห้องออกไป แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “หม่อมฉันกำลังคิดจะส่งคนไปเชิญท่านอ๋องพอดี แต่ท่านอ๋องก็เสด็จมาก่อนแล้ว”
……………………………………………………………