กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 227
เพิ่งจะสิ้นประโยค เสียงฝีเท้าเลือนรางก็ดังมาจากเบื้องล่าง ซูหลีชะงักเท้าทันที ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก รีบดึงตัวนางหมอบต่ำอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาเปล่งประกายดั่งหยก กล่าวเสียงเบา “ไม่เป็นไร”
ทั้งสองหมอบอยู่บนหลังคาอย่างเงียบงัน
เหนือศีรษะ ผืนฟ้ายามราตรีสว่างไสว ดวงดาราระยิบระยับ ดั่งอัญมณีที่กระจัดกระจายอยู่บนผืนฟ้าที่ดำมืดดั่งหยกสีหมึก ราวกับอยู่ในโลกอันน่าพิศวง
ตงฟางเจ๋อหลับตาเบาๆ คล้ายกำลังดื่มด่ำกับความเงียบในเสี้ยววินาทีนี้ เพียงแต่นี่คงเป็นความสงบก่อนจะเกิดพายุฝนกระหน่ำ
ซูหลีรู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องในใจ จึงไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปเงียบๆ
“ซูซู” เขาพลันขานเรียกนางเสียงเบา หันกายมากุมมือนางไว้ ซูหลีสั่นสะท้านเล็กน้อย เมื่อลืมตาก็สบเข้ากับนัยน์ตาอันลึกล้ำดำขลับของเขา
“หากรู้ทั้งรู้ว่าเบื้องหน้ามีอันตรายอยู่ เจ้ายังยินยอมที่จะไปกับข้าหรือไม่?” ราวกับคำถามเป็นลางบอกเหตุ ทำให้ซูหลีรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาชั่วขณะ บุรุษบนกายนาง สายตาลึกล้ำ ทอประกายอบอุ่นรางๆ คล้ายกำลังรอคอยคำตอบจากนาง
ซูหลีครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ นึกไม่ถึงในเวลาอย่างนี้ เขาจะถามคำถามเช่นนี้ ถึงแม้ตัดเรื่องความรู้สึกออกไป นางเลือกเขาเองกับปากต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ยามนี้ชะตาชีวิตของนางกับเขาผูกเข้าด้วยกันแล้ว หากเบื้องหน้ามีอันตราย นอกจากต้องก้าวเดินไปพร้อมกับเขา นางก็ไร้ซึ่งทางเลือกอื่นแล้ว
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ นี่เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลสำหรับนาง แต่สายตาของเขากลับเปล่งประกาย พลันโอบกอดนาง ซูหลีขานเรียกด้วยความสงสัย “ท่านอ๋องเพคะ?”
“เรียกชื่อข้า” เขากล่าวเสียงเบา แฝงไว้ด้วยเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีชะงักงัน คล้ายลังเลเล็กน้อย ใบหน้าเขาพลันชะโงกเข้ามาใกล้อีกหนึ่งส่วน หัวใจของซูหลีเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที
“เรียกชื่อข้า” เขาเอ่ยซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงขรึมลงกว่าเก่า ลมหายใจของซูหลีกระชั้นชิดขึ้นสองส่วน ครั้นเห็นเขาประชิดใกล้เข้ามาเรื่อย จึงรีบหลุบตาต่ำแล้วผลักเขาออก กล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อ ท่านจะทำอะไร…”
ตงฟางเจ๋อกระชับอ้อมแขนอีกครั้ง โอบกอดเอวบอบบางของนางไว้แน่น สัมผัสได้ถึงส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างสตรีอย่างชัดเจน เรือนผมของนางมีกลิ่นหอมโชยอ่อนๆ หยอกเย้าหัวใจเขา เขาพลันก้มหน้า ประทับจูบกลีบปากนางอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
ซูหลีตกใจ ถูกเขาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ไม่อาจขยับเขยื้อน เริ่มแรกนางไม่ได้ขัดขืน เดิมนึกว่าเขาจะกังวลเรื่องความปลอดภัย ลิ้มลองไม่นานก็คงหยุด แต่นึกไม่ถึงว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ ยิ่งจูบยิ่งลึกซึ้ง จนนางแทบหายใจไม่ทัน ซูหลีเริ่มร้อนใจ พักนี้เขาเริ่มเอาใหญ่แล้วจริงๆ ถึงแม้ไม่ปฏิเสธความใกล้ชิดจากเขา แต่ถึงกระนั้นแม้อยากจะแสดงความสนิทสนม…เหตุใดมักไม่แยกแยะเวลาและสถานที่เอาเสียเลย?! หรือจะทำเรื่องนั้นที่นี่…บนหลังคาใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้?
นางผลักเขาไม่ออก ทำได้เพียงยื่นมือลูบไปตามแขนของเขาขึ้นไปจนถึงต้นคอ เมื่อสัมผัสได้ถึงผิวอุ่นๆ พลันรวบรวมความกล้า ใช้เล็บแหลมๆ จิกลึกเข้าไปในผิวของเขา
ตงฟางเจ๋อร้องครางด้วยความเจ็บปวด อาการเจ็บแปลบทำให้เขาปล่อยมือจากนางอย่างไม่รู้ตัว ในใจลอบสะดุ้ง พยายามปรับลมหายใจที่หนักหน่วงให้สงบลงอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้เพราะเหตุใด เพียงได้กลิ่นหอมจากกายนาง เขาก็ไม่อาจควบคุมแรงปรารถนาในร่างกายตนเองได้ คิดแต่อยากจะใกล้ชิดนางอย่างเดียว
ทว่าครั้นสัมผัสถูกผิวกายอันเนียนนุ่มของนาง ในร่างกายก็ราวกับมีความรู้สึกเจ็บจี๊ดพรั่งพรูออกมา และไหลเวียนไปตามชีพจรเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดนี้ดั่งเสียงกลองรัวเร็วอันบีบคั้น ทำให้ส่วนลึกในใจเขาบังเกิดความคิดอยากครอบครองนาง! คล้ายว่ามีเพียงต้องระบายแรงปรารถนาออกมาโดยการใกล้ชิดนางไปอีกก้าวหนึ่ง จึงจะสามารถขจัดความเจ็บปวดในร่างกายได้บ้าง
ช่างเป็นความรู้สึกที่ทั้งทุกข์และสุข ดั่งยาเสพติดที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจเลิกได้
นัยน์ตาคู่งามของซูหลีฉาบไว้ด้วยแววขุ่นเคืองรางๆ รีบดันตนเองออกจากอ้อมแขนเขา ถอยกรูดไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว ในใจไม่พอใจสุดแสน สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นที่สนามล่าสัตว์แล้วหนหนึ่ง หมายจะอ้าปาก กลับมองเห็นเขาที่อยู่ใต้แสงจันทร์แหงนใบหน้าขึ้นเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่น คล้ายกำลังพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ
ซูหลีพลันใจอ่อน จ้องมองเขาด้วยความตกใจระคนสงสัย “ท่านเป็นอะไรไป?”
ตงฟางเจ๋อสูดหายใจ ไม่เอ่ยอะไร เขากำลังพยายามควบคุมความเจ็บปวดในร่างกาย แต่ทันใดนั้น สายตาของเขาพลันเย็นชา รีบยื่นมือกดร่างซูหลีให้ต่ำลง ทั้งสองหมอบกายแนบชิดกระเบื้องเคลือบบนหลังคา
ซูหลีพลันเดือดดาล เหตุใดคนผู้นี้จึงไม่รู้จักหลาบจำเสียบ้าง?! ขณะหมายจะอ้าปากตำหนิ เขากลับเหมือนอ่านความคิดนางออก รีบปิดปากนางทันที
ในตรอกอันเงียบงัน มีเสียงฝีเท้าเลือนรางอีกระลอกดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง ซูหลีตกใจเล็กน้อย หากไม่มีการกระทำอันระแวดระวังของเขาเมื่อกี้ กอปรกับตนเองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงฝีเทานั้นก็เบาจนแทบไม่ได้ยินแล้ว เสียงสวบสาบของทหารลาดตระเวนยามดึกค่อยๆ ใกล้เข้ามา พวกเขาเดินไปตามตรอก มุ่งหน้าสู่ลานอีกด้านหนึ่ง
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเบา “โอกาสมาแล้ว ไปเถิด”
ซูหลีกำเสื้อเขาไว้แน่น ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเขาโอบกอดนางกระโดดลงเบื้องล่างอย่างคล่องแคล่ว กลับไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ซูหลีลอบตกใจ วรยุทธ์ของคนผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจคาดเดาได้ เขาดึงนางโฉบเข้าไปในห้องลับตาคนห้องหนึ่ง ข้างในกลับเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า บนตู้มีเสื้อผ้าที่ทหารยามผลัดเปลี่ยนวางไว้ ด้านนอกมีเสียงคนผู้หนึ่งดังเข้ามา “รีบผลัดเปลี่ยนเวรยามเร็วเข้า อย่าได้พลาดการลาดตระเวน”
ซูหลีเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด เสียงนั้นฟังคุ้นหูอยู่หลายส่วน ดูเหมือนจะเป็น…เสียงของหยวนเซี่ยง รองหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายซ้าย?
ตงฟางเจ๋อเอื้อมมือหยิบเครื่องแบบทหารยามมาชุดหนึ่ง เมื่อซูหลีหันกลับไปมอง ชุดนั้นก็ถูกสวมไว้บนกายเขาแล้ว มองอย่างไรนางก็รู้สึกว่าชุดนั้นไม่เข้ากับเขาเอาเสียเลย พยายามกลั้นขำอย่างสุดชีวิต ก่อนจะหยิบมาสวมด้วยอีกชุด นางถามเสียงเบา “ท่านอ๋องเพคะ จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ด้วยหรือเพคะ?”
เขาตอบรับว่า “อืม” เบาๆ “ทำอย่างนี้ถึงจะได้เห็นในสิ่งที่เราอยากเห็น อย่าเรียกข้าว่าท่านอ๋อง!”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา เพียงรู้สึกว่าเห็นประกายประหลาดพาดผ่านดวงตาเขา คล้ายมีบางอย่างปะทุขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจพลันเต้นรัว รีบหันไปมองนอกห้อง “พวกเขากำลังเปลี่ยนผลัดเวรยามกัน”
“ไปกันเถิด” เขาจูงมือนางย่องออกจากประตูไป
ตงฟางเจ๋อพาซูหลีย่องเข้าไปปะปนกับแถวทหารลาดตระเวนที่นำโดยหยวนเซี่ยง ทั้งสองแต่งกายเป็นทหารยาม เดินรั้งท้ายปลายแถว หมวกอันเย็นเยียบถูกสวมทับบนศีรษะ ภายใต้แสงจันทร์สลัว ยากจะแยกแยะรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจน
เมื่อเดินมาจนถึงด้านนอกประตูตำหนักเย็น ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ชะลอฝีเท้า ดึงเอวบางของซูหลีโฉบเข้าไปข้างในอย่างไร้ซุ่มเสียง ซูหลีหมายจะเอ่ยวาจา พลันมีเงาดำสายหนึ่งไหวผ่าน คล้ายมีคนมา! มือของนางกับเขาต่างเอื้อมออกไปดึงอีกฝ่ายโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาโอบกอดกันแน่น ก่อนจะโฉบหลบเข้าไปในพุ่มดอกไม้อีกด้าน
เงาร่างสีดำสายนั้นสวมเสื้อคลุมทับบนศีรษะ เหมือนกลัวจะถูกคนเห็นหน้า ท่าทางลับๆ ล่อๆ เดินมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ของตำหนักเย็น
ซูหลีเอ่ยด้วยความสงสัย “ดึกขนาดนี้แล้ว ผู้ใดมาที่ตำหนักเย็น?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็นชา “ตามไปดูก็รู้เอง”
ตงฟางเจ๋อกับซูหลีตามหลังเงาร่างสายนั้นไปห่างๆ คนผู้นั้นคล้ายไม่รู้ตัว เดินเข้าไปในสวนลับตาคนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
ตำหนักเย็น สถานที่ที่ลับตาคนและวังเวงที่สุดในพระราชวัง
รอบด้านต้นหญ้ารกชัฏ เห็นชัดว่าไม่มีผู้ดูแลมานานแล้ว แสงจันทร์ในปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวเย็นดั่งน้ำค้าง เพิ่มความวิเวกวังเวงให้กับตำหนักอันเก่าทรุดโทรมแห่งนี้อีกหลายส่วน ในลานกว้างอันรกร้างและเงียบงัน กลับมีเงาร่างของทหารยามสองคนยืนอยู่! ตงฟางเจ๋อกับซูหลีอึ้งงัน รีบโฉบกายเข้าไปหลบอีกด้าน
…………………………………………………………..