กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 230
“ฉะนั้น พระสนมจึงฟังคำฮองเฮา แล้วค่อยๆ ฟื้นความสัมพันธ์กับพระสนมกุ้ยเฟย” ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น
อวิ๋นฉี่หลัวที่มีสายตาหม่นหมอง พลันลูบหน้าลูบตา เผยให้เห็นสีหน้าเลื่อนลอย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เหลียงกุ้ยเฟย…ใจกว้างกับข้ามาก เรื่องที่ผ่านไปแล้วนางไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ไม่นาน ฮองเต้ก็คืนตำแหน่งสนมขั้นเฟยให้กับข้าดังคาด เพียงแต่ ข้าไม่มีวันรู้เลยว่านั่นเป็นเพียงก้าวแรกของแผนการชั่วร้ายของนางงูพิษเท่านั้น!”
จู่ๆ ได้ยินนางเปลี่ยนสรรพนามไปเรียกฮองเฮาว่านางงูพิษ อีกทั้งสายตาก็ยังเผยแววเคียดแค้น ซูหลีอดไม่ได้ที่จะตกใจ
ตงฟางเจ๋อพลันตึงเครียด “จากนั้นเป็นเช่นไร?”
“มีวันหนึ่ง เหลียงกุ้ยเฟยป่วย นางงูพิษส่งคนมาเชิญข้าไปที่ตำหนักฉางชุน นางบอกว่า พระสนมกุ้ยเฟยมักนอนไม่หลับยามกลางคืน อยากทำถุงหอมที่ช่วยให้นอนหลับมอบให้นางสักใบ รู้ว่าข้ามีมีฝีมือเย็บปักถักร้อย จึงได้วานให้ข้ามาช่วย ยามนั้นข้างกายนางงูพิษมีเครื่องหอมที่ช่วยให้นอนหลับอยู่ เป็นของที่นางก็ใช้อยู่เป็นประจำ ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ผ่านไปครึ่งวันก็เย็บถุงหอมส่งไปให้” เสียงของนางถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์เริ่มพลุ่งพล่าน
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “เครื่องหอมที่ช่วยให้นอนหลับเหล่านั้นจะต้องผสมน้ำค้างแข็งเข้าไปด้วยแน่ๆ เหลียงกุ้ยเฟยพกมันติดตัวไปด้วยเสมอ ถึงได้…หลับไม่ตื่นอีกเลย ของสิ่งนี้เมื่อผสมอยู่ในเครื่องหอม จะไม่มีวันรู้เลย ถึงแม้ภายหลังแผนร้ายแดงออกมา ถุงหอมใบนั้นก็เป็นสิ่งที่พระสนมอวิ๋นเฟยเย็บเองกับมือ ฮองเฮาสามารถโยนความผิดมาที่พระสนมได้อย่างง่ายดาย ช่างเป็นแผนร้ายอะไรอย่างนี้!”
อวิ๋นฉี่หลัวกัดฟัน ยิ่งเคียดแค้นหนักกว่าเดิม
ซูหลีครุ่นคิด ในใจพลันบังเกิดความสงสัย “น้ำค้างแข็งแม้ช่วยเรื่องนอนหลับ แต่จำนวนที่ผสมลงไปในถุงหอม ก็ไม่น่าจะออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้น”
อวิ๋นฉี่หลัวแค่นเสียงเย็น พูดโพล่งออกมาทันที “นางงูพิษนั่นมีจิตใจเหี้ยมโหด แผนการชั่วร้ายไม่ธรรมดา! หลังจากมอบถุงหอมให้แล้ว พระสนมกุ้ยเฟยนอนหลับสบายดังคาด แต่นางนอนหลับนานขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปเพียงครึ่งเดือน ก็เริ่มนอนหลับทั้งวันทั้งคืน เวลาตื่นน้อยนัก! ฝ่าบาทเรียกหมอหลวงมาสิบแปดคน ก็ไม่อาจตรวจได้ว่าเป็นโรคใด ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก จึงไปหานางงูพิษ กลับได้ยินนางคุยกับนางกำนัลอย่างลับๆ ล่อๆ จึงได้รู้ว่าถุงหอมใบนั้นยังมีความลับอื่นซ่อนอยู่อีก!”
“อะไรนะ?” ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสบตากันอย่างประหลาดใจ
อวิ๋นฉี่หลัวเม้มปาก เอ่ยเสียงแช่มช้า “นางงูพิษส่งคนไปแฝงตัวอยู่ข้างกายเหลียงกุ้ยเฟยตั้งนานแล้ว นางสั่งให้คนผู้นั้นลอบเติมพิษหลายชนิดลงในน้ำร้อนกลิ่นหอมสำหรับอาบน้ำทุกวัน ปริมาณของพิษน้อยมาก สะสมจากวันไปเป็นเดือน ส่งผลให้ร่างกายนางไม่สบาย ส่วนถุงหอมที่ถูกส่งไป เป็นเพราะผสมรวมกับพิษที่ว่านี้ จึงได้ทำให้น้ำค้างแข็งออกฤทธิ์เร็วเช่นนั้น”
แผนการของฮองเฮาชั่วร้ายดังคาด! ซูหลีสูดหายใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตงฟางเจ๋อ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไร้อารมณ์ เพียงฟังอวิ๋นฉี่หลัวเล่าเรื่องอย่างใจเย็น
“ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนั้น ข้าตกใจมาก รู้ดีว่าตนเองถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วยโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว! ฉะนั้นข้าจึงแอบเก็บถุงหอมนั้นไว้กับตัว คิดใคร่ครวญว่าจะทูลฝ่าบาทอย่างไรดี แต่เหลียงกุ้ยเฟยกลับ…” นางพลันยกมือปิดปาก ดวงตาอันหวาดกลัว กวาดมองไปรอบทิศ
ซูหลีรีบเข้าไปตบมือนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวเพคะ ไม่เป็นไร…หลังจากนั้นเป็นเช่นไรต่อเพคะ?”
อวิ๋นฉี่หลัวสูดหายใจ กล่าวเสียงเบา “ต่อมา นางกำนัลในตำหนักของเหลียงกุ้ยเฟยประสบเหตุไม่คาดฝัน และตายตามกันไปเรื่อยๆ ใต้ฟ้ามีเรื่องบังเอิญอย่างนั้นอยู่ที่ไหน? ต้องเป็นฝีมือนางสังหารคนปิดปากแน่นอน! ถุงหอมใบนั้นหายไปแล้ว นางเรียกข้าไปถาม แต่ข้ากล้าบอกที่ไหนเล่า ย่อมต้องแกล้งโง่อยู่แล้ว! ข้ารู้ว่านางไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่ ไม่มีทางปล่อยข้า…นางงูพิษนั่น! นางแพศยา! หาทางเอาผิดข้าแล้วส่งข้าเข้ามาอยู่ในนี้! ข้าจะออกไป ข้าจะออกไป! ข้าไม่อยากตาย ไม่อยากตาย!” นางพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน เมื่อกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย ก็ไม่อาจปกปิดความแค้นและความเศร้าโศกเอาไว้อีกต่อไป ลุกขึ้นหมายจะวิ่งออกไปข้างนอก!
ซูหลีตกใจ รีบดึงนางกลับมากดไว้กับเตียง อดไม่ได้ที่จะปลอบใจเสียงเบา นางขัดขืนอย่างโกรธแค้น ทว่ากลับสู้แรงซูหลีที่มีวรยุทธ์ไม่ได้ เสียงจึงค่อยๆ เบาลงไป
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาสุดขีด กำหมัดแน่น ข้อนิ้วลั่นเสียงดัง ความแค้นที่เดือดพล่านอยู่ในอก ราวกับได้แปรเปลี่ยนเป็นแผ่นเหล็กร้อน ที่ต้มเลือดในกายของเขาให้เดือดปุดไปทั้งตัว! ใช่แล้ว เขาไม่เคยเกลียดใครมากเท่านี้มาก่อน! วินาทีที่คำตอบของอวิ๋นฉี่หลัวยืนยันการคาดเดาในใจของเขา เขาต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ถึงจะข่มกลั้นความโกรธแค้นที่ใกล้ระเบิดออกมาเอาไว้ได้
ผ้าต่วนหรูอี้อันงดงามไร้ที่เปรียบ กลับกลายเป็นอาวุธที่ใช้คร่าชีวิตของคนที่เขารักที่สุด! ทำให้เสด็จแม่ของเขาไม่มีแม้แต่โอกาสบอกลาเขาก่อนตาย!
นึกถึงเสด็จแม่ที่ตายไปแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หัวใจของซูหลีพลันหนักอึ้ง ได้ยินความจริงว่าคนที่ตนเองรักที่สุดถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำยังต้องควบคุมอารมณ์ตนเอง ตงฟางเจ๋อในยามนี้สงบเยือกเย็นจนนางกลัว! ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งอารมณ์ กลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นและเจ็บปวดที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจเขา
แต่นางรู้ดีแก่ใจ ยิ่งเป็นคนที่เก็บซ่อนอารมณ์เก่ง เมื่อใดที่บาดแผลถูกกระตุ้น ก็มีแต่จะระเบิดรุนแรงยิ่งขึ้น! เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
“กู้ หยวน ถง”
คิ้วกระบี่กระดกขึ้นเล็กน้อย ขณะกล่าวชื่อเดิมของฮองเฮาออกมาทีละคำ นิ้วเรียวยาวทั้งห้าของเขาค่อยๆ กางออก ก่อนจะกำเข้าหากันเป็นหมัดแน่น คล้ายต้องการบีบบางสิ่งให้ตายคามือ!
รอบกายเขาปกคลุมไปด้วยไอพิฆาต ทำให้อุณหภูมิที่เดิมก็ต่ำมากอยู่แล้ว เย็นยะเยือกขึ้นไปอีก
ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“เรื่องที่เจ้าบอก ล้วนเป็นความจริงงั้นหรือ?!” ฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร สีหน้าเย็นชาเคร่งเครียด ครั้นได้ฟังเรื่องที่ตงฟางเจ๋อเล่า บรรยากาศในห้องหนังสือก็เหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายเกรี้ยวกราดดั่งพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า
“หากมิใช่ได้ยินอวิ๋นฉี่หลัวเล่าด้วยหูตนเอง ลูกเองก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอน! ยามนี้หากต้องการสืบหาความจริง เกรงว่าคงมีแต่ต้องเรียกฮองเฮามาซักถามต่อหน้าพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางเจ๋อพยายามเอ่ยอย่างแช่มช้าสุดกำลัง
ฮ่องเต้เอนหลังเล็กน้อย กล่าวเสียงเย็นชา “ประกาศออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เกากงกงรับคำอย่างนอบน้อมก่อนจะจากไป ในใจอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ หากรับสั่งนี้ถูกถ่ายทอดลงไปเมื่อใด ในวังหลังจะต้องเกิดคลื่นลมลูกใหญ่ขึ้นแน่นอน!
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยมักยาวนานเสมอ ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ไม่มีผู้ใดเปิดปากอีก ทุกคนต่างนั่งรอการเผชิญหน้าที่กำลังจะมาถึงอย่างเงียบงัน บรรยากาศที่เงียบสุดขีด เหมือนก้อนหินหนักๆ ก้อนหนึ่งที่กดทับหัวใจของซูหลีไว้
เงาร่างของฮองเฮาเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ผู้ที่เดินตามหลังนางมา ก็คือตงฟางจั๋ว ครั้นสองแม่ลูกเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้ตึงเครียดเย็นชา ก็พลันตกใจ รีบก้าวเข้าไปถวายบังคม
ตงฟางจั๋วหันไปมองซูหลีโดยไม่รู้ตัว นางสีหน้าจริงจัง คล้ายกำลังกังวลยิ่งนัก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าบรรยากาศรอบกายแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก สายตาของตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายนางฉายประกายเย็นเยียบ เหมือนดั่งดาบอันแหลมคม จ้องมองเงาร่างด้านข้างของฮองเฮาตั้งแต่นางก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่กะพริบตา ราวกับกำลังมองศัตรูก็ไม่ปาน
ฮ่องเต้นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ จ้องใบหน้าฮองเฮาอยู่เนิ่นนานไม่เอ่ยวาจา ทุกสิ่งราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ฮองเฮาถูกเขาจ้องจนเย็นสะท้านไปทั้งใจ ฝืนฉีกยิ้มด้วยความกระสับกระส่าย “ฝ่าบาททรงเรียกหม่อมฉันมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดกันเพคะ?”
……………………………………………..