กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 231
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงขรึม กล่าวคล้ายไม่ใส่ใจว่า “วันนี้ข้าได้ยินเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า ฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาถามให้แน่ชัด” วาจาที่เขาเอ่ยฟังดูไม่ต่างจากในยามปกติ แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยไอพิฆาตอันเย็นยะเยือกบีบคั้นผู้คน
หัวใจของฮองเฮาพลันเต้นระรัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที หมายจะเปิดปากกล่าวบางสิ่ง ทว่ากลับเห็นเกากงกงพยุงหญิงนางหนึ่งเดินเข้ามา เส้นผมยุ่งเหยิงแผ่ลงมาปิดคลุมใบหน้าส่วนใหญ่ของนางเอาไว้ อาภรณ์บนร่างเก่าและขาดวิ่น สภาพน่าอนาถจนทนดูไม่ได้ ครั้นเห็นฮองเฮา ดวงตาทั้งสองข้างของนางแทบจะมีไฟลุกไหม้ขึ้นมา นางกัดฟันกรอด อดกลั้นไม่ให้ตนเองพุ่งตัวเข้าไปฉีกร่างฮองเฮาเป็นชิ้นๆ!
ฮองเฮาตกใจ จ้องพิจารณานางอย่างตกตะลึง ชั่วขณะหนึ่ง กลับจำไม่ได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร
“ทูลฝ่าบาท นำตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โบกมือ เกากงกงรีบถอยออกจากห้องหนังสือส่วนพระองค์
หญิงนางนี้ครั้นเห็นฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร อารมณ์พลันพลุ่งพล่าน นางคุกเข่าลงกับพื้นดังโครม กล่าวเสียงเศร้าโศก “หม่อมฉันสนมแซ่อวิ๋น ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
พระสนมอวิ๋นเฟยที่เคยมีรูปโฉมงดงาม และเคยเป็นใหญ่ในวังหลัง กลับมีสภาพโทรมขนาดนี้! อย่าว่าแต่ฮองเฮาจำไม่ได้ นอกจากตงฟางเจ๋อและซูหลีที่เคยเจอนาง เกรงว่าคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครจำนางได้อีก! เพียงแต่ในวังร่ำลือกันว่าอวิ๋นฉี่หลัวสติฟั่นเฟือนไปนานแล้ว จดจำใครไม่ได้ ทว่าตอนนี้นางกลับดูปกติดี ไม่มีอะไรผิดแปลก
ในสายตายากแท้หยั่งถึงของฮ่องเต้ฉายแววสับสน ขณะกล่าวเสียงเข้ม “ลุกขึ้นมาเถิด ไม่เจอกันนาน ข้าแทบจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
วาจานี้ดั่งค้อนหนักๆ ที่ทุบลงกลางใจอวิ๋นฉี่หลัว คนข้างกายที่เคยนอนเคียงหมอนกับนาง จำนางไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าชีวิตที่ไม่เหมือนคนในตำหนักเย็นช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ได้ทรมานนางถึงขนาดไหน!
อวิ๋นฉี่หลัวพลันเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอเบ้า คร่ำครวญด้วยความแค้นใจ “ฝ่าบาทเพคะ! หากไม่ถูกหญิงเจ้าเล่ห์เล่นงาน หม่อมฉันจะตกอยู่ในสภาพที่คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าเพคะ! ขอฝ่าบาทโปรดคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ!”
“อ้อ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ผู้ใดกันช่างบังอาจเช่นนั้น?” สายตาฮ่องเต้เปล่งประกายคมปลาบ
“เป็นนางเพคะ!” อวิ๋นฉี่หลัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ตวัดปลายนิ้วชี้ไปทางฮองเฮา
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นหน้าพลันเปลี่ยนสี ทว่าไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ นางถามกลับอย่างประหลาดใจ “น้องสาวอวิ๋น ข้าคิดว่าตนเองก็ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเมตตา เหตุใดเจ้าจึงกล่าววาจาเช่นนี้เล่า!”
ความแค้นที่อวิ๋นฉี่หลัวสะสมมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีหนทางให้ระบายแล้ว สายตานางเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางฮองเฮาทีละก้าวๆ “ใช่ ท่านดีกับข้ามาก ดีจนหลอกใช้ข้าลอบวางยาพิษเหลียงกุ้ยเฟย คร่าชีวิตนางอย่างไร้ร่องรอย ครั้นเสร็จเรื่องก็สังหารคนปิดปาก บีบบังคับให้ข้าต้องแสร้งเป็นคนเสียสติ ทนรับความอัปยศอดสูอยู่ในตำหนักเย็นถึงสี่ร้อยสิบเก้าวัน! ฮองเฮา ท่านช่างดีกับข้ายิ่งนัก!” วาจาเสียดแทงและรุนแรง แฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น ดังก้องไปทั่วห้องหนังสือส่วนพระองค์
ลอบวางแผนชั่ว ซ้ำยังสังหารคนปิดปาก หากเป็นเรื่องจริง สมควรรับโทษตาย!
ฮองเฮาตกใจ คล้ายไม่อยากเชื่อว่าอวิ๋นฉี่หลัวจะพูดจาเช่นนี้ออกมา นางตัวสั่น แทบยืนไม่มั่นคง ตงฟางจั๋วรีบเดินเข้าไปประคองฮองเฮา จ้องอวิ๋นฉี่หลัวด้วยความแค้น “หญิงเสียสติเช่นเจ้ากล่าววาจามั่วซั่ว! เหลียงกุ้ยเฟยจากไปเพราะป่วยแท้ๆ หมอหลวงสิบแปดคนวินิจฉัยแล้ว! หรือว่านี่ก็เป็นเรื่องลวง?”
“เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการวินิจฉัยของหมอหลวงสิบแปดคนก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด!” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น “เรื่องของท่านหญิงหมิงอวี้คล้ายเพิ่งผ่านไปไม่นาน ความจำของพี่รองจะแย่เกินไปหน่อยหรือไม่!”
“เจ้า!” ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงหลีซู หัวใจของตงฟางจั๋วเจ็บปวดอย่างรุนแรง สายตาหันมองซูหลีอย่างไม่รู้ตัว นางยังคงยืนก้มหน้าเงียบๆ อ่านอารมณ์ไม่ออก
สัมผัสได้ว่าคราวนี้ตงฟางเจ๋อเตรียมตัวมา ฮองเฮารีบตั้งสติอย่างรวดเร็ว ยกมือเป็นเชิงบอกตงฟางจั๋วว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก นางหันไปกล่าวกับอวิ๋นฉี่หลัวเสียงขรึม “อวิ๋นฉี่หลัว วาจาเช่นนี้มิอาจกล่าวส่งเดชได้! เหลียงกุ้ยเฟยและข้ารักกันฉันพี่น้อง ปรองดองกันมาโดยตลอด ข้าจะทำร้ายนางด้วยเหตุใดกัน?”
อวิ๋นฉี่หลัวเต้นเร่า ชี้หน้าฮองเฮาอย่างโกรธเกรี้ยว “นางแพศยาเช่นท่านต่อหน้าแสร้งทำเป็นใจกว้าง แท้จริงหัวใจดั่งอสรพิษ เหลียงกุ้ยเฟยและเจิ้นหนิงอ๋องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ท่านอิจฉาริษยา ลอบวางยาพิษ แล้วยังลากข้าลงน้ำไปด้วย หากไม่มีความผิด แล้วเหตุใดท่านต้องตามหาข้าไปทั่ว และทำสารพัดวิธีเพื่อขังข้าไว้ในตำหนักเย็นด้วย? ทุกคนล้วนตายหมดแล้ว! ตายหมดแล้ว! หากมิใช่ว่าข้าถือความลับของท่านเอาไว้ ท่านก็คงฆ่าข้าไปนานแล้วเช่นกัน!” นางอารมณ์พลุ่งพล่านจนเอ่ยวาจาละล่ำละลัก เมื่อนึกถึงโทษที่ได้รับมาหนึ่งปีกว่า นางก็ข่มกลั้นความเคียดแค้นที่พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของหัวใจเอาไว้ไม่ได้
ฮองเฮาแก้ต่างด้วยน้ำเสียงลนลาน “เจ้าถูกลงโทษให้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น เป็นคำสั่งของข้าก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพราะเจ้าทำผิดกฎวังหลวงจริงๆ! ข้าในฐานะมารดาแห่งหกตำหนัก ย่อมต้องทำตามกฎเกณฑ์ มิเช่นนั้นจะเป็นที่ยอมรับ และจัดระเบียบวังหลังได้อย่างไร? ส่วนเรื่องของเหลียงกุ้ยเฟยที่เจ้าพูดถึง ข้าไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนั้น!” ดวงตาของนางกลอกหมุน คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อวิ๋นฉี่หลัว เจ้า เพื่อแก้แค้นข้า จึงได้ป้ายสีข้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
“ท่านพูดจาเหลวไหล!” อวิ๋นฉี่หลัวกรีดร้องเสียงเกรี้ยว พุ่งตัวเข้าไปหมายจะคว้าร่างนาง ทว่ากลับถูกตงฟางจั๋วผลักล้ม นางร้องไห้โฮทันที
ครั้นเห็นฮ่องเต้นัยน์ตาเย็นเยียบ ไม่เอ่ยวาจา ฮองเฮารีบเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเขา ร้องของความเป็นธรรมด้วยเสียงโศกเศร้า “ฝ่าบาท! นับแต่ดูแลวังหลังมา หม่อมฉันไม่เคยละเลยภาระหน้าที่อันพึงกระทำเลยแม้สักครั้ง นึกไม่ถึงวันนี้กลับเป็นเหตุให้เกิดเรื่อง! ลอบทำร้ายกุ้ยเฟย เป็นความผิดหนักหนายิ่งนัก ฝ่าบาทโปรดประทานความยุติธรรมให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ!” พอเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับต้องการจะสื่อผ่านทุกวาจาที่นางเอ่ย ว่าอวิ๋นฉี่หลัวต้องการแก้แค้นนางที่ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น จึงได้ใส่ร้ายนางเรื่องฆ่าคนตาย
เห็นนางเลี่ยงหนักให้เป็นเบา ซ้ำยังแว้งกลับมาโจมตี อวิ๋นฉี่หลัวเพลิงโทสะลุกท่วมใจ ตวาดกล่าวเสียงแหลม “ท่านมันแพศยายิ่งนัก ฆ่าคนตายไปมากมายขนาดนั้น ยังปั้นหน้าบริสุทธิ์เช่นนี้! แล้วยังพูดจาเหลวไหลอีก!” นางโกรธจนคลั่ง ลุกขึ้นหมายจะพุ่งตัวเข้าไปคว้าตัวฮองเฮา ทว่ากลับเห็นตงฟางจั๋วตีหน้าเข้ม กล่าวเสียงเกรี้ยว “ทหาร จับตัวหญิงบ้าผู้นี้เอาไว้!”
อวิ๋นฉี่หลัวตกใจจนหดตัวถอยหลัง ร้องอย่างลนลาน “อย่าจับข้า อย่าจับข้านะ ข้าถูกปรักปรำ ข้าถูกปรักปรำ!” ทหารเข้ามาจับนาง นางทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ขัดขืนไม่ยอมถูกจับตัว ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ราวกับคนเสียสติจริงๆ
ซูหลีตึงเครียด ลอบขมวดคิ้ว อารมณ์ของอวิ๋นฉี่หลัวคล้ายไม่ปกติ ถูกวาจาของฮองเฮากระตุ้นได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นกลับทำให้ดูเหมือนนางเป็นผู้กระทำผิดที่ไม่ยอมรับผิดเสียเอง
“ข้าว่าคนที่พูดจาเหลวไหลเป็นเจ้าเสียเอง!” ครั้นเห็นอวิ๋นฉี่หลัวพูดจาหยาบคาย ทำให้ฮองเฮาน้อยเนื้อต่ำใจจนใกล้จะหลั่งน้ำตา ตงฟางจั๋วโกรธขึ้ง ทนไม่ไหวต่อว่าเสียงเกรี้ยว “หญิงบ้าเช่นเจ้า สติเลอะเลือน วาจาบ้าบิ่นเช่นนี้ คงเบื่อชีวิตในตำหนักเย็น อยากลิ้มลองชีวิตในคุกมืดแทนเสียกระมัง!”
“พี่รอง” สายตาของตงฟางเจ๋อคมปลาบดั่งดาบหิมะ “เรื่องนี้จริงหรือเท็จ เมื่อนำหลักฐานออกมา เสด็จพ่อย่อมตัดสินพระทัยได้เอง ท่านรีบร้อนแก้ต่าง กลับยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกว่า…ยิ่งปกปิด ยิ่งปรากฏเด่นชัด”
ตงฟางจั๋วตวัดสายตาคมปลาบมาสบตากับตงฟางเจ๋ออย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ข้าเป็นคนเปิดเผยไร้เล่ห์เหลี่ยมตลอดมา ไม่มีทางสร้างอุบายที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ได้เช่นเจ้าแน่นอน!” สายตาของเขามักหลบเลี่ยงซูหลีเสมอ ราวกับหากมองนางเพียงแวบเดียว หัวใจก็จะเจ็บปวดจนยากจะทานทน โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นในยามนี้ เขาโต้แย้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กฎหมายของราชวงศ์ หากเป็นโทษที่เกี่ยวกับคดีฆ่าคนตาย จะต้องมีพร้อมทั้งหลักฐานและพยาน ไม่อาจขาดได้แม้แต่สิ่งเดียว หญิงบ้านางนี้อาศัยคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐาน ก็คิดเพ้อเจ้อจะเอาผิดผู้อื่น ไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือ?”
………………………………………………….