กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 252
ความซาบซึ้งและความห่วงใยทั้งหมด ล้วนแสดงชัดเจนในวาจาที่ดูล่องลอยแต่แท้จริงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมายประโยคนี้
ซูหลีพลันอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ความรู้สึกหดหู่ก่อนหน้านี้ถูกความอ่อนโยนของเขากำจัดจนไม่เหลือร่องรอย นางยิ้มเบาๆ กล่าวว่า “เพียงไปคัดบทพระธรรมที่อารามฝอกวงเท่านั้น ไม่ได้จำคุกเสียหน่อยเพคะ ไม่ถือว่าลำบาก ท่านอ๋องไม่ต้องใส่ใจ”
ยิ่งนางกล่าววาจาผ่อนหนักให้เป็นเบา เขายิ่งห่วงใยนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นการลงโทษ ซ้ำยังเป็นเพราะเขาเป็นต้นเหตุ! ตงฟางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “การลงโทษระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ อาจดูเหมือนไม่หนักหนา แต่สำหรับข้า กลับถือว่าหนักหนายิ่งนัก ไม่อาจพบหน้าถึงหนึ่งเดือน เสด็จพ่อทรงใจร้ายยิ่งนัก รู้อย่างนี้ข้าควรขอร้องเสด็จพ่อ สู่ขอเจ้ากลับจวน…ก็ไม่ต้องไปอารามฝอกวงแล้ว…”
ซูหลีตกใจ “สัญญาสองปีไม่ใช่สัญญาเด็กเล่นนะเพคะ!” นางดึงมือกลับอย่างร้อนรน ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
ตงฟางเจ๋อเห็นเช่นนั้น ดวงหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มกว้างขึ้นสองส่วน บนตำหนัก ทั้งสองต่างปกป้องซึ่งกันและกันด้วยชีวิต หัวใจเชื่อมต่อถึงกันแต่แรกแล้ว ยามที่ฮ่องเต้สั่งบั่นคอนาง เขาใช้เวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที แม้ต้องเสียทุกอย่างไป เขาก็ไม่อาจทิ้งนางได้
ลมหายใจอุ่นๆ ที่ใบหูประชิดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้าเขาแทบจะแนบชิดติดพวงแก้มนาง ซูหลีหน้าร้อนดั่งไฟแผดเผา รีบผลักเขาออก “นี่ก็สายมากแล้ว ท่านอ๋องไม่ไปว่าราชการหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าจะไล่ข้าหรือ? ไม่ได้ ข้าต้องส่งเจ้าถึงอารามฝอกวงก่อน”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่จำเป็นกระมังเพคะ?”
รอยยิ้มของเขายิ่งกว้าง “เจ้าไม่อยากให้ข้าไปส่งหรือ?”
“ไม่ใช่เพคะ” นางตอบโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็ก้มหน้าทันที “ท่านอ๋องยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ หม่อมฉันเดินทางไปอารามฝอกวงไม่มีอันตรายใด ไม่จำเป็นต้องห่วงเพคะ ยามนี้ฮองเฮาถูกถอดยศแล้ว ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะลงโทษนางเช่นไร?” นางขมวดคิ้วเบาๆ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้กู้หยวนถงจะถูกจับขังคุกมืด แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว ยังไม่ได้รับข่าวตัดสินโทษ ซูหลีอดสงสัยไม่ได้ว่าฝ่าบาทเห็นแก่ความรักในอดีต จึงคิดจะไว้ชีวิตนางหรือไม่? ตงฟางเจ๋อเองก็เคยถูกขังในคุกมืด ยามนี้พวกเขาร่วมมือกันพลิกสถานการณ์เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย!
ครั้นเอ่ยถึงกู้หยวนถง สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาเล็กน้อย เอ่ยเสียงราบเรียบ “วางใจเถิด ครั้งนี้นางไม่มีทางฟื้นตัวได้แน่นอน! แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรหรือเพคะ?”
“ถ้าหากสามารถหาหลักฐานที่นางซื้อตัวมือสังหารได้ ก็จะทำให้นางตายเร็วขึ้น!” ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้ม วาจากลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาหลายส่วน
ซูหลีหนักอึ้งในใจ พลันนึกถึงสมุดลับของเฉินเหมินเล่มนั้น! ในนั้นมีชื่อของคนที่ซื้อตัวมือสังหารมาฆ่านาง ก็น่าจะมีชื่อของคนผู้นั้นที่ต้องการฆ่าเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย ชื่อของคนผู้นั้นอาจไม่ใช่ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริง! วันนั้นบนตำหนักใหญ่ จู่ๆ อวี้หลิงหลงก็เปลี่ยนท่าที ทำให้นางสงสัยมาโดยตลอด นางเคยใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับหาต้นตอของปัญหาไม่เจอ…
“ซูซู เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?” จู่ๆ ตงฟางเจ๋อก็โน้มหน้าเข้ามากระซิบถามเคล้าเสียงหัวเราะข้างหูนาง วงแขนแกร่งกระชับกอดนางแน่นยิ่งขึ้น
ซูหลีได้สติ ส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “เปล่าเพคะ ท่านอ๋องรีบกลับไปเถิดเพคะ เกิดไปไม่ทันประชุมช่วงเช้า…”
“ไม่ทันก็ไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เขายิ้มอย่างไม่แยแส ราวกับไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะถูกฮ่องเต้ตำหนิหรือไม่
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย หลังออกจากคุกมืด เขาเหมือนเปลี่ยนไปจากเดิม
ตงฟางเจ๋อเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “จากนี้หนึ่งเดือนไม่ได้พบหน้า ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้าสักหลายประโยค และส่งเจ้าเดินทางถึงที่หมายจะเป็นไรไปเล่า?”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา เห็นเพียงในสายตาเขามีทั้งแววจนใจ แววเสน่หา และแววคาดหวัง นัยน์ตาลึกล้ำคาดเดาไม่ถูกในอดีต กลับไม่หลงเหลืออยู่แล้ว นางพลันใจอ่อน กล่าวเสียงเบา “เช่นนั้น…ก็ได้เพคะ”
รถม้าเคลื่อนตัว ด้านในรถม้าอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิเพราะกลิ่นอายความรักที่อบอวล
เขาสอดประสานนิ้วมือกับนาง กอดนางไว้แน่น ทว่ากลับไม่เอ่ยวาจาใด จังหวะการเต้นของหัวใจทั้งสองดวงคล้ายใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้เพียงกอดกันอย่างเงียบงัน ก็เหนือกว่าคำพูดใดๆ ทั้งปวงแล้ว ซูหลีคล้ายจมสู่ห้วงภวังค์ชั่วขณะ ราวกับว่าหัวใจของเขากับนางเป็นหนึ่งเดียวกัน มอบทุกอย่างให้แก่กันและกัน ปล่อยให้เวลาผันผ่าน ชีวิตผันผวน ความอบอุ่นและความมั่นคงในวินาทีนี้ ได้หล่อหลอมเข้าไปในเลือดเนื้อของทั้งสอง ไม่อาจลบเลือนได้อีก รถม้าวิ่งด้วยความเร็ว อาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ไม่นานก็มาถึงตีนเขาฝูซานแล้ว
“ส่งถึงตรงนี้เถิดเพคะ” นางเงยหน้ามองเขา เห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววอาลัยอาวรณ์
ซูหลีแย้มยิ้มเบาๆ “เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ท่านอ๋องไยต้องเป็นถึงเพียงนี้?”
“เรียกชื่อข้า” นิ้วมือเรียวยาวของเขาวางพาดบนกลีบปากงาม น้ำเสียงพลันแหบพร่า
ซูหลีถอนหายใจ “ตงฟางเจ๋อ…”
นัยน์ตาของเขาไหวระริก โน้มกายประทับจูบนาง
ซูหลีตัวเกร็งไปทันที ทว่ากลับไม่ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดเดี่ยวเหมือนดังแต่ก่อน กลีบปากของเขาร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง เผด็จการทว่าอ่อนโยน พริบตาเดียวก็แผดเผาสติสัมปชัญญะของนางจนสิ้น
มือข้างหนึ่งของตงฟางเจ๋อโอบเอวบาง กระชับร่างนางให้ชิดติดกับตนเอง แรงปรารถนาดั่งน้ำในเขื่อน ถาโถมซัดสาด ยากจะควบคุม กลีบปากและลิ้นอันอ่อนนุ่ม แล้วยังมีเรือนร่างอันนุ่มนิ่มและหอมหวน เย้าแหย่สติสัมปชัญญะของเขาจนแทบกระเจิดกระเจิง มือที่โอบเอวของนางค่อยๆ ไล้ลงไปยังร่างกายท่อนล่าง ซึ่งเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึก
“ไม่นะเพคะ!” ซูหลีตกใจ ผลักเขาออกโดยสัญชาตญาณ นางออกแรงไม่น้อย ตงฟางเจ๋อคาดไม่ถึงว่านางจะผลักเขา จึงไม่ทันตั้งตัว กระเด็นล้มลงบนพื้นรถม้าเสียงดัง!
ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากในรถ โม่เซียงอ้าปากกว้าง ครั้นเห็นหวั่นซินทำหน้าเข้ม ก็อดแลบลิ้นไม่ได้ ก่อนจะหุบปาก
ตงฟางเจ๋อนอนล้มอยู่บนพื้นรถ ได้แต่จ้องหน้านางอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
ซูหลีกลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เห็นเขาทำหน้าคาดไม่ถึง ก็รีบหุบยิ้มทันที “ใครใช้ให้ท่านอ๋อง…ไม่สำรวมเล่าเพคะ!”
แรงปรารถนาของเขาไม่ลดลงแม้แต่ครึ่งส่วน ในใจพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สีหน้ามืดครึ้มไปกว่าครึ่ง ยามนี้เสียงของเซิ่งฉินดังมาจากข้างนอก “ท่านอ๋อง มาถึงประตูอารามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีรีบเข้าไปประคองเขา “ท่านอ๋องรีบกลับไปเถิดเพคะ”
เขาลุกขึ้น ซูหลีช่วยเขาจัดแจงอาภรณ์และรัดเกล้า เขาพลันกุมมือนางแน่น ความเจ็บปวดในร่างกายทำให้เขาหน้าซีดเล็กน้อย ซูหลีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในที่สุด รีบเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอ๋องเป็นอะไรไปเพคะ?”
เขาส่ายหน้าเบาๆ “ดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเจ้า” เอ่ยจบ เขาก็รีบปล่อยมือนาง กระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ม้าเร็วสองตัวหายลับไปจากถนนในพริบตา หวั่นซินอดทอดถอนใจไม่ได้ “เจิ้นหนิงอ๋องรักคุณหนูยิ่งนัก”
ซูหลีอึ้งงัน ความรู้สึกหอมหวานในใจทำให้รอยยิ้มผุดพรายบนดวงหน้างาม “ไปกันเถิด”
อารามฝอกวงในฤดูหนาว เหล่าผู้แสวงบุญยังคงพากันมาจุดธูปสักการะบูชาไม่ขาดสาย เช้าตรู่ของทุกวัน จะมีเสียงระฆังทุ้มใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดังกังวานมาแต่ไกล อาศรมที่ซูหลีพักอยู่ มีหนึ่งประตู หนึ่งลานกว้าง ห่างจากวิหารด้านหน้า เป็นสถานที่ที่นางมาแก้พิษดอกฉิงฮวาเป็นประจำทุกปีในยามที่ยังเป็นหลีซูอยู่ ความบังเอิญที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้หัวใจนางรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ นางเตือนตนเองว่าไม่อาจย้อนเวลากลับไปเหมือนวันวานได้อีกแล้ว
ซูหลีไม่ก้าวเท้าออกจากอาศรมสักวัน นางสงบจิตใจ ตั้งใจคัดบทพระธรรม และดื่มด่ำไปกับวันเวลาอันเงียบสงบที่หาได้ยาก ฮองเฮาถูกถอดยศ ส่งผลให้อำนาจในราชสำนักเปลี่ยนแปลง ตงฟางเจ๋องานรัดตัวจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ตั้งแต่แยกกันที่หน้าประตูอารามในวันนั้น ก็ผ่านไปแล้วสิบวัน ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันเลย
…………………………………………………