กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 262
ครั้นกลับถึงจวน ซูหลีรู้สึกหนักใจทั้งวัน วันต่อมามีข่าวจากในวังว่าตงฟางจั๋วดูหมิ่นพระราชโองการ ชิงตัวนักโทษอย่างเหิมเกริม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยองครักษ์หลวง ฮ่องเต้พิโรธ หมายจะถอดยศ แล้วจับขังคุก โชคดีที่ตงฟางเจ๋อและขุนนางหลายท่านขอร้องไว้ ฮ่องเต้จึงเห็นแก่ความกตัญญูของเขาที่มีต่อมารดา เมตตาลงโทษโดยการตัดเบี้ยหวัดเป็นเวลาหนึ่งปี และกักบริเวณในจวนจิ้งอันอ๋อง
การแสดงออกอันใจเย็นและมีสติปัญญาเกินคนธรรมดาของตงฟางเจ๋อในคดีนี้ ทำให้เขาได้รับคำชมจากฮ่องเต้ เพื่อเป็นการชดเชยต่อความอยุติธรรมที่เขาเคยได้รับ ฮ่องเต้เรียกขุนนางขั้นหนึ่งเข้าเฝ้าหลายวันติดต่อกัน หมายจะแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท
หิมะในคราวนี้ตกติดต่อกันนานหลายวันราวกับไม่มีวันจบสิ้น เมื่อวันส่งท้ายปีใกล้เข้ามา ทั้งในและนอกเมืองหลวงกลับไร้ซึ่งบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอย่างที่ควรจะเป็น เพราะยามนี้ฮ่องเต้ทรงล้มประชวรกะทันหัน โรคเก่ากำเริบ อาการรุนแรง หมอหลวงสิบแปดท่านแห่งสำนักหมอหลวงตรวจชีพจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับไม่พบหนทางรักษา ยาล้ำค่ามากมายถูกส่งเข้ามาในวังหลวง แต่อาการประชวรของฮ่องเต้ก็ยังคงไม่ดีขึ้น
ทั้งในและนอกวังหลวงล้วนมีเสียงคาดเดากันอย่างต่อเนื่อง แคว้นเฉิงใช่ถึงเวลาเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วหรือไม่?!
เมื่อเวลาล่วงเลยไป อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศอึดอัดจนชวนให้หายใจไม่ออก
ยามจื่อ[1]ใกล้เข้ามา ซูหลีกลับไม่ง่วงนอนสักนิด หลังบอกให้หวั่นซินและโม่เซียงไปพักผ่อน นางนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงียบๆ เพียงลำพัง อากาศในยามวิกาลหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม หน้าต่างถูกปิดสนิท ในห้องมีถ่านไฟหนึ่งเตา แต่นางก็ยังคงรู้สึกหนาวจนเย็นไปทั่วแผ่นหลัง ราวกับมีลมเย็นพัดเข้ามา
ซูหลีหันไปมองตามสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างอย่างไร้ซุ่มเสียงตั้งแต่เมื่อใด นางสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ
คนผู้นั้นใบหน้าซีดเซียว คิ้วและดวงตาสะท้อนแววเศร้าโศก อาภรณ์สีเขียวเข้มเหมือนเปียกชุ่มไปด้วยหิมะที่ละลายกลายเป็นน้ำ ไอความเย็นแผ่กระจายทั่วตัว
“ท่าน…” ซูหลีเปิดปากอย่างตกใจระคนสงสัย อยากถามเขาว่ามาที่นี่ได้อย่างไร? แต่เพิ่งจะเอ่ยปากได้คำเดียว ตงฟางจั๋วที่เดิมควรถูกกักบริเวณอยู่ในจวนจิ้งอันอ๋อง พริบตาเดียวก็โฉบกายมายืนข้างหลัง แล้วยกมือขึ้นปิดปากนาง
นิ้วมือเรียวยาวเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งที่อยู่ใต้พื้นหิมะ ทำให้นางตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“อย่าร้อง ข้าเพียงมาเยี่ยมเจ้า และมีเรื่องอยากพูดกับเจ้าเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
เสียงแหบแห้งที่กระซิบเบาๆ ข้างหูนางแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก โจมตีจุดอ่อนในหัวใจนางทันที
ซูหลีอึ้งงัน ถึงขั้นลืมขัดขืนไปชั่วขณะ
ตงฟางจั๋วคลายมือ เปลี่ยนมากอดนางจากข้างหลังแน่น ร่างกายที่เคยร้อนผ่าวยามนี้กลับไร้ซึ่งอุณหภูมิ แม้แต่ลมหายใจที่พ่นออกมา ก็เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บอันสิ้นหวัง เขากอดนางแน่นไว้อย่างนั้น เหมือนคนที่ไร้หนทางไป ได้แต่กอดความคิดถึงและความหวังสุดท้ายของเขาเอาไว้
“หลีซู” เสียงขานเรียกเบาๆ แฝงไว้ด้วยความคำนึงหาและความทรมานที่พยายามข่มกลั้นไว้
นอกหน้าต่าง สายลมกรีดพัดหวีดหวิว ราวกับเสียงร่ำไห้และคร่ำครวญที่ซ่อนลึกอยู่ในใจคน
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบผลักเขาออกพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องจำผิดแล้วเพคะ! หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าหม่อมฉันไม่ใช่…”
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ!” เขารีบตัดบทนาง ยื่นมือออกไปหมายจะคว้ามือนาง นางกลับชักมือหลบอย่างรวดเร็ว
นางถอยหลังหลายก้าวเพื่อรักษาระยะห่างกับเขา แล้วกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านอ๋องไม่ควรเสด็จมาที่นี่ รีบกลับไปเถิดเพคะ หากมีผู้ใดรู้เข้าว่าท่านอ๋องออกจากพื้นที่กักตัวโดยพลการ แล้วเรื่องไปถึงหูฝ่าบาท เกรงว่าอนาคตของท่านอ๋องจะยิ่งลำบากนะเพคะ”
“เจ้าเป็นห่วงข้า?” ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาเหมือนน้ำนิ่งพลันเป็นประกาย ทว่าพริบตาเดียวก็หม่นหมองลงไปอีกครั้ง เขาเอ่ยพลางจ้องหน้านาง “หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังหวังว่าเจ้าจะเป็นห่วงอีก ข้าช่างโง่เขลายิ่งนัก” รอยยิ้มขมขื่นที่แฝงแววเย้นหยันตนเอง สะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งของเขาได้เป็นอย่างดี
ซูหลีเบือนหน้าหนี ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร หลังจากกันที่ลานประหาร นางนึกว่าจะไม่มีเรื่องให้ข้องเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว ใครจะนึกว่าเขากลับยังไม่ยอมตัดใจ
แสงไฟสลัวส่องกระทบดวงหน้างามหมดจดของนาง ดวงตาที่ไร้คลื่นอารมณ์ยามอยู่ต่อหน้าเขา ช่างดูเย็นชาไร้ความรู้สึกถึงเพียงนั้น หัวใจของเขาบีบรัดรุนแรง พลันนั้นไม่รู้ความกล้ามาจากที่ใด เอื้อมมือคว้าตัวนางเข้ามากอดแน่น โดยไม่สนว่านางจะขัดขืนอย่างไร
ซูหลีตกใจ หมายจะขัดขืน กลับได้ยินเขาพูดด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า “หลีซูเจ้าโหดร้ายกับข้าเหลือเกิน! ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นอกจากเจ้า”
นางโหดร้าย? ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ไม่มีวันลืมว่าตอนนั้นเขากระทำกับนางเช่นไร!
“หม่อมฉันไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้!” นางยืนยันอย่างหนักแน่น เขากลับทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงกล่าวต่อ “ข้ายอมรับ ว่าข้าทำผิดต่อเจ้า! แต่ข้าก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเหมือนกับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถยืนเคียงข้างข้า แล้วหันหน้าไปสู้กับคนที่วางแผนทำร้ายเราด้วยกันเล่า?” ราวกับยากจะควบคุมความเจ็บปวด เสียงของเขาไม่ดัง แต่กลับแหบพร่าสั่นเทา
ซูหลีหัวใจเต้นสะดุด “อวี้หลิงหลงตายไปแล้ว”
ตงฟางจั๋วกัดฟันกล่าว “เจ้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของอวี้หลิงหลงเพียงผู้เดียวจริงๆ งั้นหรือ?”
ซูหลีเอ่ยเสียงเย็นชา “วันนั้นบนตำหนักใหญ่ อวี้หลิงหลงยอมรับเองกับปาก…”
“เสด็จแม่เป็นผู้บังคับให้นางยอมรับ!” ตงฟางจั๋วรีบกล่าวตัดบท “เสด็จแม่กลัวว่าเรื่องนั้นจะสาวไปถึงคดีลอบสังหารตงฟางเจ๋อ! เพื่อหลีเหยา อวี้หลิงหลงจึงยอมรับผิดทั้งหมดและยอมตาย นึกไม่ถึงว่าก่อนตายนางกลับทิ้งหลักฐานเอาไว้” ในที่สุดเขาก็ปล่อยนาง เปลี่ยนเป็นโอบไหล่ทั้งสองข้างของนาง มองดูใบหน้าไร้สีเลือดของนางด้วยความห่วงใยสุดแสน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่ผุดขึ้นมาในสมองของซูหลีอีกครั้ง ระหว่างที่อวี้หลิงหลงร้องขอความเป็นธรรมไปจนถึงตอนที่ยอมรับผิด มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงๆ ฮองเฮาหลอกใช้อวี้หลิงหลงไปซื้อตัวนักฆ่ามาสังหารตงฟางเจ๋อ ด้วยกลัวจะถูกเปิดโปง จึงรีบร้อนปิดคดี บีบบังคับให้อวี้หลิงหลงจำต้องยอมรับผิด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอวี้หลิงหลงไม่ใช่ผู้ร้ายที่ฆ่าหลีซูแน่นอน! ถึงแม้ใจนางเองก็สงสัย แต่กลับยังไม่มีหลักฐานชิ้นใหม่ปรากฏ
“อวี้หลิงหลงเป็นสายติดต่อให้กับฮองเฮา นางรู้ว่าจะติดต่อกับเฉินเหมินอย่างไร ท่านจะตัดนางออกไปไม่ได้ อย่างไรนางก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนซื้อตัวนักฆ่าเพื่อสังหารหลีซู อีกทั้ง…นางก็ยอมรับความผิดเองกับปากแล้ว…” ซูหลีขมวดคิ้วแน่น คดีที่เดิมกระจ่างชัดแล้ว พลันมีจุดน่าสงสัยผุดขึ้นมาอีกครั้ง นั่นทำให้นางอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
ถ้าหากไม่ใช่อวี้หลิงหลง เช่นนั้นคนที่ทำร้ายนางเป็นผู้ใดกันแน่? ผู้ใดกันแน่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อฉวยโอกาสทำร้ายนาง?
“ข้าจะสืบให้แน่ชัด เชื่อข้าสิ! เรื่องนี้ ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้นแน่นอน!” เขากล่าวคล้ายกำลังให้คำสัญญา แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตาคมเข้ม
ซูหลีกลับขมวดคิ้วกล่าวว่า “เชื่อท่าน? ท่านอ๋องถูกกักบริเวณ จะสืบหาได้อย่างไรเพคะ? ยิ่งไปกว่านั้นคดีนี้ปิดไปแล้ว หากหาหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้ แล้วรื้อคดีโดยพลการ รังแต่จะเป็นการจุดไฟเผาตนเอง” เขานึกว่าตนเองยังเป็นจิ้งอันอ๋องในอดีตที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่อย่างนั้นหรือ?
ตงฟางจั๋วกล่าว “เจ้าไม่ต้องห่วง ทุกอย่างล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้! เพื่อเจ้า เพื่อเสด็จแม่ และเพื่อตัวข้าเอง!”
เขากุมไหล่นางแน่น แรงหนักๆ ที่หัวไหล่ทำให้นางแทบทนรับไม่ไหว หมายอยากดิ้นขัดขืน ทว่าเมื่อเงยหน้ากลับมองเห็นใบหน้ามุ่งมั่นของเขา ในส่วนลึกของดวงตาสะท้อนแววทำลายล้างรางๆ ราวกับคนที่ไร้ซึ่งหนทาง รอเพียงจะได้สู้ครั้งสุดท้าย
ซูหลีตื่นตกใจ ลางสังหรณ์บางอย่างแผ่ปกคลุมหัวใจ นางคว้าแขนของเขา แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ท่านอ๋องจะทำอะไรเพคะ? อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ นะเพคะ!”
ตงฟางจั๋วก้มหน้ามองนาง สายตาแน่วแน่แฝงแววเจ็บปวดรางๆ เขาตัดสินใจแล้ว จึงกล่าวอย่างหนักแน่นทีละคำ “ข้าจะทำให้เจ้ากลับไปเป็นตนเอง! ข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องยืมชื่อและฐานะของผู้อื่นเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
………………………………………………
[1] ยามจื่อ คือ ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง