กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 264
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
นิ้วมืออุ่นๆ ของเขากระชับแน่นอยู่ในซอกนิ้วเนียนขาวของนาง ในใจซูหลีรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับแดงผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม นางหลุบตาต่ำ ของขวัญเช่นนี้ไม่มีสตรีใดไม่ชอบ ยิ่งเป็นของขวัญที่เขาแกะสลักด้วยตนเองด้วยแล้ว!
นิ้วมือเรียวขาวลูบไล้สิ่งของในมือเบาๆ สัมผัสลายเส้นงดงามที่ถูกสลักขึ้นมาด้วยความใส่ใจ หัวใจของนางพลอยอบอุ่นไปด้วย มีหรือนางจะไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ มีเพียงคนที่อยู่ในใจเท่านั้น จึงจะสามารถแกะสลักออกมาได้อย่างประณีตงดงามราวกับมีชีวิต แม้ในยามที่ไม่ได้เห็นหน้า
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม ถึงแม้นางไม่พูดอะไร แต่สีหน้าและการกระทำของนาง ก็ได้ให้คำตอบกับเขาแล้ว เขาเอื้อมมือคว้าตัวนาง วินาทีนี้หัวใจกลับรู้สึกอิ่มเอม ตั้งแต่ที่เสด็จแม่จากไป ความรู้สึกของเขาก็กลายเป็นเหมือนทะเลทรายที่เวิ้งว้างและว่างเปล่า เขาเคยนึกว่าชีวิตนี้จะไม่รักใครอีก แต่นางกลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หลังจากผ่านเหตุการณ์พลิกผันมากมายมาพร้อมนาง ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ มองเห็นหัวใจของตนเอง ทันทีที่มั่นใจ ทั้งชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันปล่อยมืออีก ยิ่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดหมายปองนางอีก!
ในส่วนลึกของดวงตา พลันมีไอพิฆาตพาดผ่าน เขาเชยคางของนางขึ้น แล้วค่อยๆ จุมพิตกลีบปากนิ่มนวลเบาๆ
ซูหลีสูดหายใจเบาๆ ตั้งตัวไม่ทันกับความใกล้ชิดที่เหนือความคาดหมาย ผลักเขาออกโดยสัญชาตญาณ แต่กลับทำให้เขายิ่งเหิมเกริม เขาโอบนางแล้วกลิ้งตัวไปทางเตียง
กลิ่นหอมของอิสตรีแตะจมูก ทำให้เลือดของเขาร้อนรุ่ม แรงปรารถนาพลุ่งพล่านในพริบตา เขาขบเม้มปากนาง แล้วพรมจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมผละออกแม้แต่วินาทีเดียว มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปที่เอวบาง แล้วปลดสายคาดเอวของนางอย่างเบามือ ซูหลีตกใจ ความหวาดกลัวจากส่วนลึกในจิตใจพลันโจมตี นางดันแผงอกของเขาอย่างสุดกำลัง ร้องอย่างตื่นตระหนก “ตงฟางเจ๋อ! ท่านจะทำอะไร?”
“ข้า…” เขาหอบหายใจถี่กระชั้น มือที่โอบกอดนางกลับแน่นขึ้นอีกหนึ่งส่วน ในดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความหลงใหล เขาก้มหน้าจูบนางอีกครั้ง
เขาต้องการนาง ความรู้สึกในร่างกายรุนแรงถึงเพียงนั้น ถาโถมดั่งคลื่นซัดสาด มิอาจยับยั้ง ยังคงนัวเนียอย่างดื้อรั้น คล้ายต้องการใช้ความรักที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจยึดครองหัวใจอันอ่อนโยนของนาง
จูบอันร้อนแรงทำให้ซูหลีหายใจไม่ทัน นางลนลานขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ร่างกายถูกกดตรึงแน่นหนา ไม่เหลือพื้นที่ให้ขัดขืนแม้แต่น้อย นางอดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ “ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ปล่อยข้า!”
“ซูซู…” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงไว้ด้วยความทรมานที่ต้องข่มกลั้น “พูดสิ…ว่าเจ้าต้องการข้า”
“ไม่!” นางตะโกนออกไปด้วยความลนลาน ผลักเขาออกอย่างแรง “ไม่ต้องการ!”
ใบหน้าเขาชะงักค้างไปทันที นางบอกว่า ‘ไม่ต้องการ!’ หรือว่าในเวลานี้หัวใจของนาง ยังคงไม่ยอมรับเขาอย่างเต็มที่? มือของเขาสะดุดกึก ซูหลีรีบใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออก!
ตงฟางเจ๋อล้มไปอีกด้านด้วยใบหน้าอึ้งงัน ซูหลีรีบลุกขึ้นยืน สายตาที่จ้องมองเขาเต็มไปด้วยความแตกตื่น
ความทรมานที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยทำให้ใบหน้าเขาซีดขาว ร่างกายอ่อนแรงราวกับถูกดูดพลังจนว่างเปล่า เหงื่อเย็นผุดพรายบนหน้าผาก เขาพยายามสะกดกลั้นความทรมานที่ถาโถมดั่งคลื่นซัดสาด แต่ความทรมานทางกาย ยังไม่เท่าสายตาที่นางจ้องเขา สายตาที่ทำให้เขาตกใจกลัว นั่นเป็นสายตาหวาดหวั่น เป็นสายตาที่บ่งบอกว่าปฏิเสธ นางไม่ยอมรับเขา!
คล้ายสังเกตได้ว่าเขามีบางอย่างผิดปกติ ซูหลีรีบปรับอารมณ์ให้นิ่งสงบอย่างรวดเร็ว “ท่าน ท่านเป็นอะไรไป?”
เขาหัวเราะขมขื่น รอยยิ้มของเขาสะท้อนความเจ็บปวด “ข้านึกว่า เจ้ายอม…”
ซูหลีเบือนหน้าหนี “พวกเรา…ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน อย่างไรก็ยังไม่ควร…” เพียงแต่เขาไม่เคยรู้ ว่าหัวใจของซูหลีมีรอยแผลเป็นที่เคยถูกขืนใจด้วยเจตนาร้ายมาก่อน และรอยแผลนั้นก็ไม่มีทางจางหายไปง่ายๆ
ร่างกายตงฟางเจ๋อสั่นเทา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาตกตะลึง ปฏิกิริยาอย่างนี้เขาไม่เคยมีมาก่อน ไม่! ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ!
เขาหยิบยาที่เหน็บไว้ตรงเอว แต่กลับถูกซูหลีฉวยจากมือไปก่อน สายตาลนลานหวาดกลัวจางหายไปแล้ว แทนที่ด้วยสายตาเป็นห่วง “ท่านไม่สบายที่ใด?”
เขายิ้ม “ไม่เป็นไร ขอเพียงซูซูยิ้มให้ข้า ก็ย่อมไม่เป็นไรแล้ว”
ซูหลีเทเม็ดยาป้อนให้เขา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่สบายก็ควรรีบเรียกหมอหลวง ยังมัวล้อเล่นอยู่อีก”
เขาฉวยโอกาสกุมมือนาง “ข้าขอโทษ”
ซูหลีนิ่งอึ้ง รีบก้มหน้า “อย่าพูดอีกเลย รีบกลับไปพักผ่อนที่จวนเถิด พรุ่งนี้เช้าท่านยังมีเรื่องต้องสะสางอีกมากมาย”
หลังกินยา เลือดลมของเขาก็เดินคล่องขึ้นไม่น้อยดังคาด จึงรีบลุกขึ้น “ก็ดี ซูซูเองก็รีบพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด” เงาร่างสูงใหญ่ของเขาหายลับไปนอกประตู ท่ามกลางพายุหิมะ ยังคงไม่ลืมหันกลับมามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ความเสน่หาที่ไหวระริกดั่งประกายไฟในดวงตาลึกล้ำของเขา ชัดเจนจนทำให้ซูหลีใจเต้นระรัว
ในที่สุดหิมะก็หยุดตกแล้ว
ดวงอาทิตย์ทอแสงทะลุชั้นม่านหมอก สาดส่องลงบนพื้นหิมะขาวโพลน เกิดเป็นประกายแสงสีทองระยิบตา พยับเมฆที่ก่อตัวติดต่อกันหลายวันราวกับจางหายไปในพริบตา
ด้านในสวน เสียงหัวร่อต่อกระซิกของเหล่าหญิงสาวดังแว่วมา ไม่ว่าเมื่อไหร่หยางเสวียนก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่เสมอ ยามนี้นางกำลังปาหิมะเล่นกับโม่เซียงและเหลียนเอ๋อร์อยู่ในสวน อาการคลุ้มคลั่งของเหลียนเอ๋อร์ยังคงคุ้มดีคุ้มร้ายอยู่เช่นเดิม บางครั้งก็ยังคงมองซูหลีอย่างเหม่อลอย คนที่บอกนางว่าซูหลีไม่ใช่หลีซูในวันนั้น ไม่ว่าซูหลีจะสืบอย่างไรก็สืบไม่เจอ! ช่างเป็นเรื่องประหลาดนัก
ได้ยินว่าพักนี้ตงฟางจั๋วถวายฎีกาอย่างต่อเนื่อง เนื้อความในฎีกาที่ถวายเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง แต่ละคำบีบคั้นให้ผู้อ่านน้ำตาไหล ฮ่องเต้ที่ยังอยู่ในระหว่างประชวรเมื่อได้อ่าน ก็ทอดถอนใจอย่างหนักใจ ก่อนจะอนุญาตให้เขาเข้ามาร่วมงานเลี้ยงคืนส่งท้ายปีในวังได้ ครั้นได้ยินข่าวนี้ ซูหลีรู้สึกได้รางๆ ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
พริบตาเดียวคืนส่งท้ายปีก็มาถึง ซูหลีเตรียมความพร้อมตั้งแต่เช้าตรู่ รอเพียงตงฟางเจ๋อมารับนางเท่านั้น
ตามประเพณีในปีที่ผ่านๆ มา วันสุดท้ายของปี ฮ่องเต้และฮองเฮาจะจัดงานเลี้ยงในวังพร้อมกับเชิญเหล่าขุนนางและครอบครัวมาร่วมงาน แต่ปีนี้ฮ่องเต้ประชวร วังหลังไร้ผู้ดูแล เรื่องการเชื้อเชิญเหล่าขุนนาง จึงต้องให้เจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อรับหน้าที่ดูแลจัดการแทน ส่วนซูหลีที่เป็นว่าที่พระชายาก็มีหน้าที่ต้อนรับดูแลเหล่าเชื้อพระวงศ์หญิง เมื่อฐานะเปลี่ยน อาภรณ์การแต่งกายของนางก็เปลี่ยนไปด้วย
อาภรณ์ผ้าทอลายนกเพลิงสีแดงเข้ม ปักลวดลายซับซ้อนประณีตด้วยด้ายหลากสีสัน หรูหราสง่างาม เส้นผมดำสลวยถูกรวบสูง ประดับด้วยปิ่นนกเพลิง ขับเน้นให้นางดูสูงสง่า มีราศีของมารดาแห่งแผ่นดิน
ตงฟางเจ๋อจับจ้องมองนางเนิ่นนานด้วยสายตาลึกล้ำ ซูหลีถามอย่างแปลกใจ “มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า สายตาเป็นประกาย ยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่ เหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก” อาภรณ์ชุดนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถสวมใส่ได้ แต่นาง…เหมือนทุกอย่างได้ถูกออกแบบมาเพื่อนาง ราวกับว่านางเกิดมาก็ควรมีสง่าราศีเช่นนี้อยู่แล้ว
เขาเดินเข้าไปจูงมือนาง ยามนี้หยางเสวียนเดินเข้ามา แล้วกล่าวอย่างสดใส “ข้าเองก็พร้อมแล้ว ไปกันได้แล้วหรือยัง?” วันนี้นางสวมเสื้อนวมปุยฝ้ายแขนสั้นสีน้ำตาลเข้ม คอเสื้อประดับด้วยขนสุนัขจิ้งจอก เป็นการแต่งกายที่ดูมีเอกลักษณ์ของสตรีแคว้นเปี้ยน สดใสร่าเริง งดงามชวนหลงใหล ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ทั้งสามนั่งรถเข้าวังไปพร้อมกัน
ตลอดทาง หยางเสวียนใจกล้ากล่าวชมว่าวันนี้ตงฟางเจ๋อมีราศีของกษัตริย์มากกว่ายามปกติ ซ้ำยังบอกอีกว่าจะต้องทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์หญิงมองตามกันเป็นแถวได้อย่างแน่นอน ตงฟางเจ๋อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวถ่อมตนด้วยเสียงราบเรียบสองสามประโยค ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าซูหลี ที่ไม่รู้ว่ายามนี้กำลังคิดอะไรอยู่
……………………………………..