กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 270
นางเดินมาถึงตรงหน้าเขา แล้วหยุด
สีหน้าของตงฟางเจ๋อในวินาทีนั้นสับสนยากจะคาดเดา เขามองกล่องผ้าต่วนในมือนาง นึกไม่ถึงว่าคนที่มาประกาศพระบรมราชโองการจะเป็นนาง สายตาอ่อนโยนและคุ้นเคยในอดีต ยามนี้กลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและสับสน แล้วยังมี…ความเคียดแค้นที่แทบจะสังเกตไม่เห็นอีกสองส่วน! เขาพลันตึงเครียด ตวัดสายตามองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนาง เห็นเพียงตงฟางจั๋วมีสายตาดุดัน เคียดแค้นยากจะข่มกลั้น คล้ายต้องการฉีกร่างเขาให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับต้องอดทนเอาไว้
“ซูซู เกิดเรื่องใดขึ้น?” น้ำเสียงทุ้มลึกน่าฟัง ยังคงสงบนิ่งและมั่นคงเหมือนเคย
ซูหลีไม่ตอบ จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตาคมปลาบ ราวกับต้องการฉีกหน้ากากเขา
สายตาเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากดวงตานาง ยามอยู่บนเรือที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ย นางก็มองตงฟางจั๋วด้วยสายตาเช่นนี้ ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ความไม่สบายใจแผ่ปกคลุมหัวใจ ในห้องบรรทมของเสด็จพ่อเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? ถึงได้ทำให้นางมีท่าทีเป็นศัตรูกับเขาขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ราวกับมีความแค้นใหญ่หลวงกับเขาก็ไม่ปาน
“ซูซู เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?” เขาถามอีกครั้ง กล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดจึงเป็นเจ้ามาประกาศพระบรมราชโองการเล่า?”
เหล่าขุนนางเองต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไม่ต่างกัน ตงฟางจั๋วเหลือบมองด้านหลังเล็กน้อย เกาจื๋อรีบเดินเข้ามาตอบ “ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงหมีงซี รีบประกาศพระบรมราชโองการเถิด”
ซูหลีทำราวกับไม่ได้ยิน สายตายังคงจดจ้องใบหน้าตงฟางเจ๋อนิ่ง ราวกับต้องการมองย้อนเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาผ่านกาลเวลา จากหวาดระแวงจนถึงเชื่อหมดหัวใจ ทุกย่างก้าวลำบากขนาดไหน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ แต่ถ้าหาก…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนชั่วของเขา ความอบอุ่น ความน่าเชื่อถือ และความรักของเขาในช่วงเวลาเหล่านั้น…ล้วนเป็นเรื่องลวงงั้นหรือ? ไม่ นางไม่เชื่อ! หัวใจและความรู้สึกของนาง ไม่มีทางโกหกนาง
นางสูดหายใจลึกๆ มองเขาตาไม่กะพริบ แล้วกล่าวอย่างแช่มช้า “ตงฟางเจ๋อ ข้าถามท่านประโยคหนึ่ง”
นางเรียกเขาว่า ‘ตงฟางเจ๋อ’ ไม่ใช่ ‘เจิ้นหนิงอ๋อง’! แววตาขัดแย้งบังเกิดในดวงตางามเพียงเสี้ยววินาที ทว่ากลับไม่อาจเล็ดลอดสายตาตงฟางเจ๋อไปได้ หัวใจของเขาถูกสายตาของนางบีบคั้น เขาพยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงอ่อนโยน “เจ้าถามมา”
“ศิลาเลือดนกเพลิงที่ผ่านการอาบเลือด สามารถเปลี่ยนชีพจรของสตรี ทำให้หญิงพรหมจรรย์มีชีพจรตั้งครรภ์ได้ เรื่องนี้ ท่าน…รู้หรือไม่?”
ทุกคำพูด แม้เสียงเบา ทว่ากลับเหมือนรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งชีวิตของนางเอาไว้ นางจ้องใบหน้าหล่อเหลาเขม็ง ไม่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็ดลอดสายตาแม้แต่น้อย
ใบหน้าตงฟางจั๋วตึงเครียด เรื่องจริงปรากฏตรงหน้าแล้ว นางกลับยังไม่ยอมเชื่อ! นางกลับยังร้องขอการยืนยันจากตงฟางเจ๋อต่อหน้าสาธารชนเช่นนี้! หัวใจของเขาเจ็บปวด ความรู้สึกที่นางมีต่อตงฟางเจ๋อ ถึงขั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วจริงๆ หรือ?
ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด กล่าวถามเสียงเย็น “ศิลาเลือดนกเพลิง…สามารถเปลี่ยนชีพจรของสตรีได้? เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”
เขาดูเหมือนไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยความทะนงตนของเขา หากรู้เรื่องจริง ไม่มีทางลังเลเช่นนี้แน่! ซูหลีสะท้านใจ กล่าวเสียงเข้ม “ท่านเพียงตอบมา ว่ารู้ หรือไม่รู้?”
ใบหน้างามที่ซีดเซียวเต็มไปด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม นางร้องขออย่างหนักแน่น หวังจะได้คำตอบจากปากเขา
ตงฟางเจ๋อจ้องนาง ตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่รู้”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีพลันรู้สึกคลายใจทันที เขาจ้องดวงตานางด้วยสายตาแน่วแน่ ราวกับต้องการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางมองเขาอย่างใจเย็น ไม่พูดอะไร
ตงฟางจั๋วใบหน้าเขียว กัดฟันกล่าว “ตงฟางเจ๋อ เจ้าอย่ามาแสดงละครต่อหน้าข้า! ศิลาก้อนนั้นเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เจ้าทุ่มเทหามามอบให้ข้ากับหลีซู เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าศิลาก้อนนั้นใช้ทำอย่างอื่นได้ด้วย? เจ้าเห็นพวกข้าหลอกง่ายเหมือนเด็กสามขวบหรือไร?!”
“พี่รองหมายความเช่นไร โปรดกล่าวให้กระจ่างด้วย” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ แววเย็นเยียบในดวงตา เหมือนดั่งเมฆครึ้มที่ก่อตัว ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักใหญ่อึดอัดและหนักอึ้ง
ตงฟางจั๋วเดือดดาลยากจะควบคุม ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว กล่าวเสียงเกรี้ยว “เจ้ายังจะแสร้งทำเลอะเลือนกับข้าอีกหรือ! ศิลาเลือดนกเพลิงที่ผู้คนต่างคิดว่าเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงกลับเป็นเพียงศิลาชั่วก้อนหนึ่งเท่านั้น! ขอเพียงนำมันมาอาบเลือด แล้วให้สตรีถือ ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป สตรีที่สัมผัสมันก็จะหมดสติ ชีพจรเปลี่ยนแปลง ถึงแม้เป็นหญิงพรหมจรรย์ ก็จะถูกตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์!”
เขายังพูดไม่ทันจบ รอบข้างก็พลันแตกตื่นฮือฮา ต่างไม่อยากเชื่อว่าจะมีวัตถุชั่วร้ายเช่นนี้อยู่ด้วย
“เช่นนั้นหรือ?” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเข้ม หันกลับไปมองซูหลี
ซูหลีเอ่ยด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “หากไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน”
ใบหน้าที่สงบนิ่งมาโดยตลอดของตงฟางเจ๋อ ยามนี้กลับเปลี่ยนสีไปทันที เขาก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปกุมมือนาง ถามอย่างร้อนใจ “เจ้าพิสูจน์ด้วยตนเอง? เช่นนั้นตอนนี้เจ้ารู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่?” ความกังวลและเป็นห่วง แสดงออกผ่านทางน้ำเสียงอย่างเป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น
ซูหลีปวดใจ นางมองตาเขา เขาเองก็มองตานาง ไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย สายตานั้นยังคงลึกล้ำดังเช่นแต่ก่อน แต่ความกังวลและความเป็นห่วงในดวงตา กลับไม่ใช่ของปลอม นางไม่เคยไตร่ตรองอย่างละเอียดสักครั้งว่าความรู้สึกของเขาจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดหรือไม่ เขาจริงใจกับนางจริงหรือไม่ เรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาเคยผ่านมาด้วยกันได้ทำให้ความรู้สึกของนางเอนเอียงไปหาเขา พึ่งพาและเชื่อใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหัวใจของนางรู้สึกเสมอว่าด้วยความทะนงตนและความฉลาดของบุรุษผู้นี้ เขาไม่มีทางทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งด้วยวิธีต่ำทรามเช่นนั้นแน่!
ฉะนั้นเมื่อศิลาเลือดนกเพลิงที่เคยเป็นของศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นวัตถุชั่วร้าย นางจึงเพิ่งค้นพบว่าความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเขาได้ถลำลึกลงไปจนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่อาจควบคุมแล้ว และไม่อาจทนรับการเปลี่ยนแปลงหรือความสงสัยไม่ว่าจากในด้านใดก็ตาม
ยามนี้ นางทำได้เพียงวางเดิมพันอีกครั้ง หวังเพียงว่าซูหลี จะไม่เชื่อใจคนผิดจนเดินซ้ำรอยเดิมของหลีซูอีก!
“ขอบพระทัยเจิ้นหนิงอ๋องที่ทรงห่วง ซูหลีสบายดี สบายดีมากเพคะ!”
สบายดีจนไม่อาจสบายไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นางสะบัดมือเขาออก ถอยหลังสองก้าวด้วยท่าทีเย็นชาและหนักแน่น
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นเยียบลงทีละส่วนๆ เขามองนาง แล้วกล่าวถาม “คดีของท่านหญิงหมิงอวี้ เจ้าเป็นผู้สืบสวนด้วยตนเอง แล้วเจ้ายังสงสัยอะไรอีก?”
ซูหลีเพียงมองเขา กลับไม่ตอบคำถาม
ตงฟางจั๋วกล่าว “คดีนั้นภายนอกเหมือนจบสิ้นแล้ว แต่อวี้หลิงหลงไม่ใช่คนร้ายตัวจริงที่ทำร้ายหลีซู! ตง ฟาง เจ๋อ! เจ้าต่างหากที่เป็นคนร้ายตัวจริงในคดี ‘ใส่ความหลีซู’!” เขาเอ่ยทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ เคียดแค้นยากจะข่มกลั้น ยกนิ้วชี้ไปที่ปลายจมูกตงฟางเจ๋อ
ทุกคนในตำหนักใหญ่ต่างแตกตื่นฮือฮา
คนร้ายในคดีหลีซูที่จบสิ้นไปนานแล้ว เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อ?! ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ
ตงฟางเจ๋อหน้านิ่งดั่งผิวน้ำ หรือที่นางเย็นชาและเคียดแค้นเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้? ครั้นกระจ่างถึงเหตุผลที่นางเย็นชากับเขา หัวใจของเขาราวกับถ้ำน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ ดูเหมือนว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านหญิงหมิงอวี้ นางก็จะมีปฏิกิริยาที่ผิดแปลกและรุนแรงเสมอ
“จิ้งอันอ๋องไร้หลักฐานและพยาน เช่นนี้ไม่ถือเป็นการจงใจใส่ความผู้อื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ!” เหลียงสือชูขมวดคิ้วกล่าว
………………………………………….