กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 271
ตงฟางจั๋วตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมองเขา แล้วคำรามเสียงเย็นชา “ข้ามีศิลาเลือดนกเพลิงอยู่ในมือ จะบอกว่าไร้หลักฐานได้อย่างไร? ตงฟางเจ๋อจะต้องรู้ประโยชน์ชั่วร้ายของมันแน่ จึงตั้งใจเสาะหา แล้วนำมาอาบเลือด ก่อนจะมอบให้ข้าต่อหน้าธารกำนัล…เจ้าวางแผนไว้ทีละก้าวเพื่อให้ข้าติดกับ เพียงเพื่อทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างข้ากับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง! ตงฟางเจ๋อ เจ้าคนต่ำทราม!” เขาคำรามเสียงดัง เดิมทีเขาไม่อยากเอ่ยวาจาเหล่านี้ในเวลานี้ แต่ครั้นกล่าวถึง เขาก็ทนไม่ไหว บุรุษชั่วช้าตรงหน้า คือคนที่ทำลายความสุขของเขา และฆ่ามารดาเขา! เขาอยากฉีกร่างตงฟางเจ๋อให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเดี๋ยวนี้ เพื่อให้สาสมกับความแค้นในใจ!
ทุกคนตะลึงงัน ต่างพากันจับจ้องมาทางตงฟางเจ๋อ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคดีใส่ความนั้นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เป็นเขาจริงๆ
ซูหลีจ้องตาเขา โดยไม่ละสายตาออกไปแม้แต่วินาทีเดียว
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเย็นชา “พี่รองหมายความว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนร้ายที่ข้าคำนวณอย่างดี เพื่อทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนจิ้งอันอ๋องกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋องเช่นนั้นหรือ?”
ตงฟางจั๋วตอบ “ถูกต้องแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อยังคงยิ้ม “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามท่าน ข้าเป็นคนเอาศิลาเลือดนกเพลิงยัดใส่มือท่านหญิงหมิงอวี้หรือ?”
ตงฟางจั๋วตึงเครียด กล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าเดาได้แต่แรกแล้วว่าข้าจะต้องทำเช่นนั้นแน่…”
ตงฟางเจ๋อกลับพูดย้อนอย่างประชดประชันเสียดสี “ถึงแม้ข้าจะเดาได้แต่แรกว่าท่านต้องการพิสูจน์ต่อหน้าธารกำนัล ว่าตนเองเป็นองค์รัชทายาทที่แท้จริง แต่ข้ามีหรือจะเดาได้ว่าท่านจะกระทำเรื่องเลวทรามต่อสตรีอันเป็นที่รักของตนเอง หรือเป็นข้าที่เขียนหนังสือหย่าแล้วขับไล่นางออกจากจวนจิ้งอันอ๋องแทนท่าน?”
“เจ้า…!” ตงฟางจั๋วหน้าซีดทันที
ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวต่อ “ทั้งที่เป็นความผิดที่ท่านกระทำเอง กลับคิดจะโยนมาให้ข้า! อย่าว่าแต่ข้าไม่รู้ประโยชน์ของศิลาก้อนนั้นเลย ถึงแม้ข้ารู้ แต่หากท่านไม่ให้ความร่วมมือ ใครเล่าจะสามารถทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนจิ้งอันอ๋องกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋องได้?! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่มีความจำเป็นต้องซื้อตัวนักฆ่าไปไล่สังหารสตรีที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นนั้น!”
“เจ้า!” ตงฟางจั๋วโกรธจัดจนร่างกายสั่นเทา ใบหน้าขาวสลับเขียว พูดไม่ออก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ ทอดมองไปยังซูหลี เห็นเพียงใบหน้าซูหลีซีดขาวดั่งกระดาษ สิบนิ้วสั่นเทิ้ม ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ตงฟางเจ๋อกลับใจเย็นจนน่ากลัว
ตงฟางเจ๋อกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “คดีหลีซูได้ทำการสืบสวนจนกระจ่างต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อไปนานแล้ว พี่รองขุดคุ้ยเรื่องเก่าเพื่อทำลายงานแต่งของข้าหรือ?”
ตงฟางจั๋วหน้าอกกระเพื่อมขี้นลง กัดฟันเงยหน้าสบตาเขา กล่าวอย่างเคียดแค้น “เจ้าไม่ต้องมาสำบัดสำนวน! ไม่ว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่ว่าศิลาเลือดนกเพลิงคือตัวการทั้งหมดที่ทำให้เกิดการใส่ความหลีซูขึ้น! แล้วเจ้าตงฟางเจ๋อ ผู้ที่มอบศิลาให้ข้า ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญไปได้แน่ เจ้าเป็นคนทำลายความสุขของข้า ทำให้ข้าเสียหลีซูไป!”
“ความสุขของท่าน ท่านเป็นผู้ทำลายเองกับมือ ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น!”
“เจ้า…”
“พอได้แล้ว!” ทันใดนั้น เสียงตวาดแหลมๆ พลันดังก้องไปทั่วตำหนัก ทุกคนต่างตะลึงงัน หันมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียว สตรีที่ในยามปกติดูอ่อนแอถึงเพียงนั้น ครั้นแสดงอำนาจ กลับน่าเกรงขามถึงเพียงนี้!
ตงฟางเจ๋อกับตงฟางจั๋วต่างหุบปาก แล้วหันไปมองนางพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ซูหลีหลับตา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ยากจะควบคุมตนเอง รู้สึกเพียงความอัปยศของตนเองถูกเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล หัวใจเจ็บปวดบีบคั้น
เห็นนางยกมือกุมหน้าอก สายตาคล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด ตงฟางเจ๋อกับตงฟางจั๋วหน้าพลันเปลี่ยนสี รีบเข้าไปประคองนาง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงพร้อมกัน “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูหลีมองหน้าทั้งสอง ในใจเต็มไปด้วยความสับสน นางผลักพวกเขาออก ใบหน้าเย็นชาที่ไม่คุ้นตา ทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
ในตำหนักอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ไอร้อนไหลเวียน แต่นางกลับรู้สึกร่างกายเย็นเฉียบ และหนาวเหน็บเหลือเกิน
ตงฟางเจ๋อถูกนางผลักจนเซถอยหนึ่งก้าว หัวใจพลันหนักอึ้ง มองตานาง “ซูซู แม้แต่เจ้าก็สงสัยว่าข้าเป็นคนวางแผนเรื่องคดีหลีซูงั้นหรือ?”
ซูหลีส่ายศีรษะ เงยหน้ามองคนในตำหนักโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับไม่อาจเปิดปาก นางไม่รู้ ยามนี้ไม่ว่าพูดอะไรก็ล้วนเหมือนถูกบีบบังคับให้เดินหน้าต่อ ไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
ตงฟางเจ๋อก้าวเข้ามาใกล้ จ้องนางแล้วถามอีกครั้ง “เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ?”
นัยน์ตาลึกล้ำ มีแววอ้างว้างและผิดหวังที่เกิดจากคนรักไม่เชื่อใจก่อตัวขึ้น แล้วยังมีความเจ็บปวดที่แทบสังเกตไม่เห็นแฝงอยู่ด้วย ซูหลีไม่เคยเห็นสีหน้าอย่างนี้ของเขา ราวกับใต้ฟ้านี้ทุกคนไม่เชื่อใจเขาได้ มีเพียงนางที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
หัวใจของนางราวกับถูกคนกระชากอย่างแรง นางส่ายหน้าอย่างเจ็บปวด แสงสว่างส่องกระทบดวงหน้านาง เห็นเพียงสีหน้าซีดขาว ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าควรเชื่อใจเขาหรือไม่
มองเห็นความเจ็บปวดและขัดแย้งในดวงตานาง หัวใจของตงฟางเจ๋อพลันอ่อนยวบ เขากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ซูซู ข้าไม่เคยโกหกเจ้า” เขากุมไหล่นางเบาๆ สายตาอ่อนโยนและจริงใจ สบตานางอย่างหนักแน่น พยายามทลายความเย็นชาในดวงตานาง ทว่า ซูหลีกลับเบนสายตาหลบ
ตงฟางจั๋วหันไปมองเกาจื๋อ เกาจื๋อพลันตระหนัก รีบก้าวเข้ามาเตือน “ท่านหญิง นี่ก็สายมากแล้ว อย่างไรรีบประกาศพระบรมราชโองการก่อนเถิด!”
เพียงพริบตาเดียว ความคิดนับร้อยแล่นผ่าน สุดท้ายซูหลีก็ผลักเขาออก
ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าหม่นหมอง หน้าอกเจ็บปวดยิ่งนัก นางไม่เชื่อใจเขา! นางยังคงสงสัยเขา! เขาก้มมองม้วนพระบรมราชโองการที่อยู่ในกล่องผ้าต่วน สีทองอร่ามเจิดจ้าแยงตาเขา
สายตาเย็นชา เขาจ้องตานาง ที่แท้เรื่องราวยากลำบากที่พวกเขาเคยเผชิญร่วมกันมา ยังคงไม่อาจยับยั้งเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ เขาหลงนึกว่านางรู้ใจเขานานแล้ว กลับนึกไม่ถึง หัวใจของนางยังคงซ่อนลึกจนเขาไม่อาจมองเห็น
ตงฟางเจ๋อกำหมัดแน่น นิ้วมือส่งเสียงลั่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อกว้าง คนที่เชื่อมั่นในตนเองและแข็งแกร่งมาโดยตลอด นึกว่าตนเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้เช่นเขา กลับไม่อาจเข้าใจความคิดของสตรีที่ตนเองรักได้!
ซูหลีเม้มปากไม่พูดไม่จา สายตากวาดมองใบหน้าของทุกคนทีละคน สุดท้ายก็หยุดอยู่บนใบหน้าของสองพี่น้อง พวกเขาสองคนเองก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน คนหนึ่งอ่อนโยนลึกซึ้ง อ้างว้างโดดเดี่ยว คนหนึ่งใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึม กระวนกระวายยากจะสงบใจ จะเลือกอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว
ทันใดนั้น นางหันกายเดินไปยังตำแหน่งสูงสุด หยิบพระบรมราชโองการฉบับนั้นขึ้นมากาง ทุกคนรีบคุกเข่ารับพระบรมราชโองการ พร้อมกับประสานเสียงอวยพรให้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้มีพระบัญชา…ข้าผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม ประสงค์ทำตามบัญชาสวรรค์ จั๋วโอรสแห่งฮองเฮา กตัญญูรู้คุณ เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม สามารถรับภาระสำคัญในการทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองได้ เหมาะแก่การสืบทอดราชบัลลังก์ ให้ขึ้นครองราชย์ได้ทันที”
นางยังประกาศไม่จบ เบื้องล่างพลันบังเกิดเสียงฮือฮา แม้แต่ซูเซียงหรูก็ยังขมวดคิ้ว แล้วมองมาที่นางอย่างไม่อยากเชื่อ
เหลียงสือชูก้าวเท้าออกจากแถวเป็นคนแรก เขาขมวดคิ้วถาม “ขอบังอาจถามท่านหญิงหมิงซี นี่เป็นพระบรมราชโองการของฝ่าบาทจริงหรือ?”
ประโยคเดียวของเขาแทนความสงสัยของทุกคน บรรยากาศในตำหนักใหญ่พลันเงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ซูหลีเป็นตาเดียว แต่สายตาของคนมายมาย กลับเทียบไม่ได้กับสายตาคมปลาบเย็นชาของคนผู้นั้น ตงฟางเจ๋อเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร นับตั้งแต่ที่นางหมุนกาย เขาก็คล้ายเดาได้แต่แรกแล้วว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้
……………………………………………………