กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 289 หม่อมฉันต้องการท่านอ๋อง! (2)
จูบของเขาเผด็จการและเด็ดขาด ดูดดื่มเอาความหอมหวานและงดงามจากปากนางอย่างรุนแรง ซูหลีเกือบจะหายใจไม่ทัน ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา รสชาติอันหอมหวานที่แทบจะทำให้หยุดหายใจ ช่างซับซ้อนละเอียดอ่อนยากเกินจะบรรยาย หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งของทั้งสองเหมือนดั่งกลองที่รัวดังก้องอยู่ในหูของพวกเขา นางอ้าปากเล็กน้อย พยายามตอบสนองจูบของเขา
เขากลับผละออกจากกลีบปากของนางในยามนี้
สายตาสับสนจ้องมองดวงหน้าแดงซ่านของนางนิ่ง เปลวเพลิงลูกหนึ่งลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตาเขา เขาพยายามข่มกลั้นความต้องการอันรุนแรงของตนเอง อาการปวดหัวจู่โจมสติปัญญาที่แทบจะแตกสลายของเขา แต่เขากลับไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้น
นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นปาดเหงื่อที่ชุ่มบนหน้าผากของเขาออกอย่างเบามือ จากนั้นก็ลูบไล้ลงมาที่คิ้วคมเข้มดั่งกระบี่ จมูกโด่งเป็นสัน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากอันงดงามของเขา
สัมผัสอันอ่อนหวานและงดงามทำให้ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งตัว สติปัญญาที่เหลืออยู่พังทลายลงในชั่วพริบตา นิ้วมือของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย สายคาดเอวถูกปลดออกจากกายทันที เสื้อคลุมตัวนอกหลุดร่วง ซูหลีตัวสั่นเล็กน้อย โอบกอดเขาแน่น จูบกันอย่างดุเดือด และถอดอาภรณ์ชั้นกลางออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะล้มกายลงไป
ทั้งสองล้มตัวลงไปในสระน้ำพุร้อน หยดน้ำสาดกระเซ็น
น้ำพุร้อนอุ่นๆ แล้วยังมีอ้อมกอดอันทรงพลังของเขา ทำให้ซูหลีสติพร่าเลือนไปชั่วขณะจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ สองแขนของเขาที่โอบรอบเอวนางลูบไล้ลงไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามของนาง ความหวาดกลัวที่ล้นทะลักในใจทำให้ซูหลีตัวสั่น ความเจ็บปวดในความทรงจำที่ราวกับร่างกายจะฉีกขาด ทำให้นางอยากหนีโดยสัญชาตญาณ แต่เขากลับไม่ปล่อยมือ จับร่างนางขึงไว้กับขอบสระ
“เดี๋ยวก่อน!” น้ำเสียงของนางสั่นเทา แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว
เขาหยุดดังคาด นัยน์ตาดำขลับจ้องมองดวงตาของนางตรงๆ เหงื่อบนหน้าผากแห้งเหือดไปนานแล้ว เหลือเพียงกลิ่นอายเร่าร้อนที่แผ่กำจายอยู่รอบตัว
“หม่อมฉัน…” นางอ้าปากพูด น้ำเสียงกลับแหบพร่า
สีหน้าแตกตื่นลนลานของนาง ทำให้ความเร่าร้อนของเขาจางหายไปหลายส่วน อาการปวดหัวเริ่มกลับมาโจมตีอีกครั้ง ราวกับเรื่องระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับนาง
ตงฟางเจ๋อข่มกลั้นความต้องการที่เดือดพล่านอยู่ในร่างกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดจากข้าเลยจริงๆ หรือ?”
ซูหลีพยักหน้า พร้อมกับรับคำเบาๆ “อืม”
สายตาของเขาขรึมลงหนึ่งส่วน เขาถามอีกว่า “ถึงแม้หลังจากข้าได้ครอบครองเจ้าแล้ว ข้าจะมีภรรยาอีกมากมาย เจ้าก็ไม่ว่าอะไร?”
ภรรยามากมาย…ซูหลีปวดใจ คิ้วงามขมวดเล็กน้อย เม้มปากแน่น หลุบตาต่ำ ไม่พูดอะไร
สายตาที่สั่นไหวก่อนจะจางหายไปในชั่วพริบตา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านางใส่ใจเรื่องนี้ สายตาเคร่งขรึมในดวงตาตงฟางเจ๋อพลันจางหายไปในที่สุด เขากระซิบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลังจากวันนี้ เจ้าไม่มีทางจากข้าไปไหนตลอดกาล และยิ่งไม่มีทางทอดทิ้งข้า ซูซู…เจ้าเป็นของข้า…” เขาก้มหน้า ขบเม้มติ่งหูดั่งหยกของนางเบาๆ
ซูหลีหอบหายใจถี่กระชั้น รีบผลักเขาออก “รอเดี๋ยว ท่านอ๋องยังควบคุมตนเองได้ใช่หรือไม่? หม่อมฉัน…”
ตงฟางเจ๋อโน้มกายไปด้านหน้า ร่างกายแนบชิดกับนาง สายตาสั่นระริก กล่าวเสียงกลั้วหัวเราะราวกับปีศาจ “ไม่ ข้าควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว”
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากอันร้อนแรงก็ประทับจูบลงมาทันที อาภรณ์เปิดออกอย่างรวดเร็ว ผิวกายเนียนขาวชวนลุ่มหลงเผยสู่สายตา เขาไม่อยากฝืนตัวเองอีกแล้ว เขาเพียงต้องการกอดนางตามที่หัวใจต้องการอย่างมีความสุขเท่านั้น
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ความรู้สึกสุขสมที่งดงามจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดทำให้หัวใจนางเต้นอย่างรุนแรง นางรู้สึกตัวสั่นเทิ้มเบาๆ เหมือนดวงวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
ความรู้สึกเช่นนี้ดึงดูดจนน่ากลัว ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม
นางครางออกมาอย่างอ่อนแรง น้ำเสียงอ่อนหวานเย้ายวนใจ ราวกับไม่ใช่เสียงของนาง ยิ่งเหมือนกำลังเชื้อเชิญอย่างเร่าร้อน
เงาร่างสูงใหญ่เหมือนดั่งภูเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้าย หนักหน่วงจนทำให้นางไม่อาจขยับเขยื้อน
ตงฟางเจ๋อที่ถูกไฟปรารถนากลืนกิน ดวงหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความเย็นชา สายตาร้อนแรงจนไม่กล้าสบตา ซูหลีหลับตา เบนหน้าหนี สองมือกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
คล้ายไม่พอใจในการตอบสนองของนาง เขาเพิ่มความร้อนแรงมากขึ้น จูบไล้ลงมาตามลำคอยาวระหง ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง คล้ายต้องการกระตุ้นอารมณ์ของนาง นิ้วมือเรียวยาวทรงพลังของเขาไม่รู้ว่าล้วงเข้าไปในอาภรณ์ของนางตั้งแต่เมื่อใด…
ร่างบางสั่นเทิ้มเบาๆ ลมหายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย นางกัดฟันแน่นสุดชีวิต ด้วยกลัวว่าจะเผลอร้องเสียงน่าอายออกไปอีกครั้ง
เขาเงยหน้ามองดูสตรีที่ยามปกติสุขุมเยือกเย็นค่อยๆ โอนอ่อนไปตามการเล้าโลมอันอ่อนโยนของเขา นัยน์ตาดั่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิ กลีบปากแดงดั่งบุปผางามที่บานสะพรั่ง เปลวเพลิงในหัวใจยิ่งลุกโชติช่วง จนยากจะข่มกลั้นความปรารถนาที่มีต่อตัวนาง
มือแกร่งกระตุกแรงๆ ฉีกกระชากเอาสิ่งกีดขวางที่เหลืออยู่บนกายทั้งสองออก เขากับนางเผชิญหน้ากันอย่างจริงใจอยู่ท่ามกลางน้ำพุร้อนอันอบอุ่น
บนพวงแก้มแดงซ่าน แพขนตาดกดำกระเพื่อมเบาๆ แสดงให้เห็นถึงความแตกตื่นและหวาดกลัวในใจนาง
“ซูซู ลืมตามองข้า” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำอ่อนโยน แฝงไว้ด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ
ในที่สุดซูหลีก็ลืมตาช้าๆ แสงจันทร์สีเงินยวงส่องกระทบร่างกายกำยำของบุรุษ สมบูรณ์แบบจนทำให้นางไม่กล้ามองตรงๆ เขาเอื้อมมือประคองหน้านางให้หันมาสบตาเขาตรงๆ นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง ทว่าอบอุ่นดั่งสายน้ำ เต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง เขากำลังจ้องมองนาง ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เพียงข่มกลั้นความต้องการอันร้อนแรงในร่างกายเอาไว้
เขากลัวว่าจะทำให้นางเจ็บ
หากไม่ได้รักลึกซึ้งเพียงนี้ เขาจะฝืนข่มกลั้นตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ทำไมกัน?
ความตระหนักรู้นี้ทำให้นางใจอ่อน ความหวาดกลัวที่ตามหลอกหลอนหัวใจนางแม้ในขณะที่เกิดแรงปรารถนา พลันจางหายไปหลายส่วน นางทิ้งความคิดทุกอย่าง รวบรวมความกล้า แล้วค่อยๆ เอื้อมแขนกอดเขา
พฤติกรรมเช่นนี้! ถึงแม้เป็นเพียงการบอกใบ้เล็กน้อย แต่กลับเป็นการให้กำลังใจอย่างยิ่งใหญ่! ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก
ความเจ็บปวดที่ราวกับร่างกายจะฉีกขาดจู่โจมนางอีกครั้ง! ซูหลีสะท้านไปทั้งตัว กลีบปากซีดขาวไร้สีเลือดอ้าออกเบาๆ เจ็บจนพูดไม่ออก อ้อมกอดของเขาอบอุ่นถึงเพียงนี้ เหงื่อเย็นกลับไหลลงจากหน้าผากหยดแล้วหยดเล่า
ตงฟางเจ๋อตึงเครียด สัมผัสได้ถึงอาการผิดปกติของเขา ลอบตำหนิตนเองว่ารีบร้อนเกินไป สีหน้าฝืนทนของนางทำให้หัวใจของเขากระตุกสั่นเบาๆ สองมือลูบสัมผัสเรือนร่างสั่นเทิ้มของนางอย่างทะนุถนอม พยายามใช้ความอ่อนโยนบรรเทาความเจ็บปวดให้นาง
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่อาจปล่อยมืออีกแล้ว
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ดีเอง ทำเจ้าเจ็บ” จูบลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยความรักสัมผัสหน้าผากและหางตาของนางอย่างนุ่มนวล สุดท้ายก็เลื่อนมาหยุดตรงริมฝีปากไร้สีเลือดของนาง นางอยากเบนหน้าหนีตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกเขาใช้มือประคองดวงหน้างามเอาไว้
เขาเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาดำขลับที่ถูกไฟปรารถนาจุดประกายจนสว่างไสวทำให้นางไม่อาจหลบตาได้
เขาจูบนางอย่างอ่อนโยน พลางกล่อมนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัว”
“หม่อมฉัน…” นางอ้าปากเล็กน้อย แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยอะไร เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว หากจะให้ถอยหลังกลางคัน ดูไม่สมกับเป็นนาง แต่ความเจ็บปวดอันรุนแรงในยามนี้กำลังจู่โจมประสาทสัมผัสทั้งห้าของนาง ราวกับจะฉีกทึ้งนางให้เป็นชิ้นๆ เงามืดที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม นางเจ็บปวดจนแทบจะทนรับไม่ไหว
ขอบตาร้อนผ่าว นางรีบแหงนหน้า สูดหายใจแรงๆ พยายามสงบสติอารมณ์ แต่น้ำตากลับไหลออกจากหางตาเงียบๆ ตอนนั้นที่ถูกตงฟางจั๋วล่วงเกิน นางยังสามารถข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามนี้กลับอยากร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
………………………………………………..