กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 299 จะฆ่านาง (2)
ซูหลีมองดูปิ่น หัวใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดหลีเหยาจึงต้องทำปิ่นปักผมที่เหมือนกันขึ้นมาด้วย? แล้วยังแอบโยนมันทิ้งอย่างลับๆ? นางตั้งใจปิดบังอะไรอยู่กันแน่?
ความคิดน่ากลัวที่นางไม่เคยคิดพลันผุดขึ้นมาในสมอง ซูหลีนิ่งอึ้งไปทันที
คดีของหลีซู เกี่ยวโยงถึงคนมากมายแค่ไหนกันแน่? เรื่องราวซับซ้อนเกินกว่าที่นางจะคาดเดาได้ ทั้งศิลาเลือดนกเพลิงทั้งยาวิเศษของเฉินเหมิน แล้วผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ทำร้ายนาง? หรือว่า…ใช่ทั้งสองคน?
จู่ๆ นางก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน หลับตาเบาๆ หัวใจเหมือนอ้างว้างมานานนับหมื่นปี รอยยิ้มเหยียดหยันผุดขึ้นบนริมฝีปากบาง หากหลีเหยาเป็นคนร้ายจริงๆ เช่นนั้นนางจะยังเชื่อใจผู้ใดได้อีก?
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดังสายน้ำ “หวั่นซิน เตรียมรถให้ข้า ข้าจะไปจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง”
หลีเฟิ่งเซียนไม่อยู่ที่จวน พ่อบ้านนำทางซูหลีไปยังเรือนเหยาฉือโดยตรง ในคืนที่ตงฟางจั๋วก่อกบฏ หลีเหยาได้รับบาดเจ็บเพราะเข้าไปรับดาบแทนเขา นางพักฟื้นอยู่ในเรือนตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ซูหลีเองก็ป่วย จึงไม่มีเวลามาเยี่ยมนาง
ผ่านไปนานแล้ว แต่หลีเหยาก็ยังคงนอนพักอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวจนแทบจะโปร่งแสง ครั้นเห็นนางมา ความยินดีพลันปรากฏบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว นางหยัดกายลุกจากเตียง หลังจากที่ตงฟางจั๋วตายอย่างอนาถ นางก็โศกเศร้าและรู้สึกหม่นหมองมาโดยตลอด ร่างกายผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็ว ราวกับใกล้จะกลายเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา
ซูหลีปวดใจสุดแสน นางทำใจเชื่อสันนิษฐานนั้นไม่ได้จริงๆ แต่การโกหกของตงฟางเจ๋อ ทำให้นางในเวลานี้ เผชิญหน้ากับความเคลือบแคลงมากมายขนาดนี้ได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน และนางก็ไม่อาจเชื่อใจใครคนหนึ่งได้อย่างหมดหัวใจอีกต่อไป
นางมองพิจารณาใบหน้าโทรมๆ ของหลีเหยา แล้วถอนหายใจยาวๆ “เหยาเอ๋อร์ ที่ข้ามาวันนี้ เพราะอยากถามอะไรเจ้าเรื่องหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะตอบข้าตามความจริง”
สีหน้าของนางจริงจัง ส่วนลึกในดวงตากลับซ่อนความเย็นชาและความเจ็บปวดเอาไว้ หลีเหยาอึ้งงัน ทว่ายังคงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ซูหลีหยิบปิ่นปักผมสองอันในแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะไม้จันทน์สีม่วง จากนั้นก็สั่งให้คนจุดไฟให้สว่าง แล้วนำมาส่องใกล้ๆ ปิ่นปักผม ขับเน้นให้สีเงินสว่างมากขึ้น ทว่าหากมองดูดีๆ สีของปิ่นปักผมสองอันจะแตกต่างกันเล็กน้อย
หลีเหยาเห็นเช่นนั้น ก็อดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ เห็นชัดว่านางประหลาดใจมาก “พี่สาวซู ปิ่นปักผมนี้…เหตุใดจึงมีสองอันได้เล่าเจ้าคะ?”
“ข้าเองก็อยากรู้ว่าเหตุใดจึงมีปิ่นปักผมสองอัน!” ซูหลีมองหลีเหยาด้วยสายตาแฝงความหมาย นางหยิบปิ่นอันหนึ่งขึ้นมา สีเงินใสดังสายน้ำ เงางามวาววับ “ปิ่นอันนี้ คืออันที่เจ้ามอบให้ข้าเพื่อใช้เป็นหลักฐาน ส่วนอีกอันเป็นอันที่ข้าเพิ่งได้มาเมื่อวาน มียาวิเศษของเฉินเหมินที่ทำให้สาวพรหมจรรย์มีชีพจรตั้งครรภ์ได้ เวลาผ่านมาหนึ่งปี ประสิทธิภาพยาจางหายไปแล้ว ยานี้แม้ไร้สีไร้กลิ่นแต่กลับติดทนนาน เงินแท้เมื่อสัมผัสโดนยาพิษ แม้ผ่านไปนานหลายปีก็ยากจะเลือนหาย ถึงแม้ผ่านไปนานแล้ว มันกลับสามารถบ่งบอกว่ามันต่างออกไปได้” นางชี้ไปที่ปิ่นปักผมอีกอัน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หลีเหยาอึ้งไปเล็กน้อย หยิบปิ่นปักผมที่เปลี่ยนสีขึ้นมาดูอย่างละเอียด เป็นอย่างที่ซูหลีพูดดังคาด ปิ่นปักผมอันนี้สีเข้มกว่าอีกอันเล็กน้อยจริงๆ นางเข้าใจคำพูดของซูหลีอย่างชัดเจน แต่กลับสับสนงงงวย ไม่อาจตอบสนองต่อความนัยในวาจาของซูหลีได้ในทันที
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “ปิ่นปักผมอันนี้เป็นของขวัญที่หลีซูมอบให้เจ้าหลังกลับจากท่องเที่ยวต่างแดน ไม่มีทางมีอันที่เหมือนกันอยู่ในเมืองหลวงอีกเป็นแน่ อันที่เจ้ามอบให้ข้าไม่มีพิษ แต่อันที่มีพิษเหลียนเอ๋อร์เห็นเจ้าโยนมันทิ้งกับตา และนางก็เก็บมันมา”
หลีเหยาเบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยิน
“พี่สาวซู ท่าน…ท่านกำลังจะบอกว่าข้าลอบวางยาพิษพี่สาว เพื่อทำร้ายนาง?” เสียงของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม “จะเป็นไปได้อย่างไร?!”
ซูหลีเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นนั้น จึงได้ถามเจ้า เหตุใดจึงมีปิ่นปักผมสองอัน?” ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้! คนมากมายเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง พวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เกี่ยงวิธี
หลีเหยาหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ นางดูเหมือนทำตัวไม่ถูก สายตาลนลานจับจ้องอยู่ที่ปิ่นปักผมสองอันนั้น “ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ามีแค่อันที่มอบให้ท่าน นี่เป็นของขวัญที่พี่สาวมอบให้ข้า หากไม่ใช่เพื่อสืบคดี ข้าไม่มีทางนำมันไปมอบให้ท่านเพื่อใช้เป็นหลักฐานแน่นอน”
นางคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเงยหน้าถาม “เหลียนเอ๋อร์บอกว่าเห็นข้าทิ้งปิ่นปักผม นางเห็นเมื่อใด และที่ไหน?”
“เจ้าก็รู้ว่านางถูกคนในจวนรังแกอย่างหนัก สติเลอะเลือนจำความไม่ค่อยได้” สีหน้าของซูหลีเย็นชาขึ้น
“เช่นนั้นคำพูดของนางจะเชื่อถือได้อย่างไร? ยานั้นเป็นของเฉินเหมิน ข้าจะไปเอามันมาจากที่ใดได้เล่า?” หลีเหยาที่ต้องการแก้ต่างให้ตนเอง น้ำเสียงฟังดูลนลานร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
นางในยามนี้ ดูขัดแย้งจากภายนอกที่อ่อนแอบอบบางอย่างชัดเจน
อวี้หลิงหลงตอนที่อยู่บนตำหนักใหญ่ ก็เป็นเหมือนนางในตอนนี้เช่นกัน ภายนอกดูอ่อนแอ ในใจกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย! จู่ๆ ซูหลีก็เดือดดาล นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดขึ้งทีละคำๆ “อวี้หลิงหลงคือคนติดต่อซื้อตัวคนร้ายฆ่าตงฟางเจ๋อ หากเจ้าจะมียาวิเศษของเฉินเหมินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย”
ครั้นวาจานี้ออกจากปากซูหลี หลีเหยาก็อึ้งค้าง ร่างผอมบางของนางสั่นเทิ้มเล็กน้อย สองมือวางค้ำกับโต๊ะอย่างสุดกำลัง ทำเช่นนั้นนางจึงจะสามารถฝืนยืนอยู่ได้ จู่ๆ นางก็หัวเราะอย่างเศร้ารันทดขึ้นมา “ที่แท้ในสายตาพี่สาวซู ข้าเป็นคนเช่นนี้เอง”
สีหน้าเศร้าสร้อยและสิ้นหวังของนาง พลันสะกิดต่อมความใจอ่อนที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของซูหลี นางรีบเบนสายตาหลบ แล้วกล่าวเสียงแข็ง “เจ้ารับดาบแทนตงฟางจั๋วได้อย่างไม่สนใจชีวิตตนเอง เพื่อปกป้องเขา เจ้าถึงขั้นยอมนำหลักฐานความผิดของมารดาตนเองออกมา…แล้วข้า จะไปสำคัญอะไรกับเจ้านัก?”
หลีเหยาได้ยินก็เบิกตากว้าง สายตาเจ็บปวดบ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นางพูดอะไรไม่ออก
ซูหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวดั่งสายลม “ข้าเพียงรู้สึกเสียใจแทนหลีซู ความรักของพี่สาวที่นางมอบให้น้องสาวเช่นเจ้ามานานหลายปี กลับสู้ความรักของเจ้าที่มีต่อชายผู้หนึ่งไม่ได้!? ทำผิดยังแก้ไขได้ แต่เจ้ากลับไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะยอมรับผิด” นางลุกขึ้น หยุดยืนอยู่หน้าประตู หันมองหลีเหยาด้วยสายตาแฝงความหมาย “ข้า ผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก”
วาจาของซูหลีราวกับตรึงร่างของหลีเหยาให้แข็งค้าง ใบหน้าของนาง พลันปรากฏแววเจ็บปวดและตื่นตะลึงปะปนกัน ดูสับสนอย่างยิ่ง
ซูหลีเห็นอย่างนั้น ก็ยิ่งปวดใจ นางจึงรีบหมุนกายเดินจากไป ไม่หันกลับมามองอีก ในมือกำปิ่นปักผมไว้แน่น แน่นจนรู้สึกเจ็บมือ แต่กระทั่งกลับถึงจวน ซูหลีก็ไม่คลายมือ นางต้องการหยิบยืมความเจ็บปวดเตือนใจตนเอง ว่าอย่าได้เชื่อใจและรักผู้ใดง่ายๆ อีก
ค่ำคืนนี้ ซูหลีนั่งขดตัวอยู่ข้างหน้าต่าง เผชิญหน้ากับความเงียบยามราตรีเพียงลำพัง ความอยุติธรรมที่พบเจอ กลายเป็นเรื่องราวซับซ้อนจนยากจะแยกแยะ เดิมนึกว่าลบล้างมลทินและแก้แค้นได้สำเร็จแล้ว นึกไม่ถึงว่ามันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย เพียงไม่กี่วัน ชีวิตของนางก็พลิกผันอีกครั้ง ทุกอย่างดูแปลกจนนางไม่อยากทำความคุ้นเคยกับมันอีกแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายตนเอง แต่กลับไม่อาจจับกุมคนร้ายได้ นางเจ็บใจยิ่งนัก ความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดตลอดคืนทำให้หัวใจของนางแทบแหลกสลาย นางมองดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าดังเช่นทุกครั้งอย่างเงียบงัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงให้แก่ทุกสรรพสิ่งบนโลก ทว่าหัวใจอันมืดมนของนางกลับไร้ซึ่งแสงสว่าง
นางล้างหน้าบ้วนปาก และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใจเย็น จากนั้นก็ไปที่เรือนของเหลียนเอ๋อร์ เห็นนางอารมณ์ปกติ ยังคงนอนหลับ ก็พลันคลายใจลงเล็กน้อย หวั่นซินนำจดหมายมาส่ง ครั้นกางออกดู ก็พบว่าเป็นหลีเหยา
‘ยามเซิน[1]พบกันที่แม่น้ำหลานชาง มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย’
สายตาของนางไหวระริกเล็กน้อย นางนอนไม่หลับทั้งคืน หลีเหยาก็เช่นกันหรือ? ในที่สุดนางก็ยอมเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหมดแล้ว?
……………………………………………
[1] ยามเซิน หมายถึงช่วงเวลา บ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น