กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 304 นางต้องการยกเลิกงานแต่ง! (3)
“ว่ามา” คิ้วเข้มของฮ่องเต้ขมวดเป็นปม รู้สึกได้รางๆ ว่าวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แต่ละเรื่องล้วนไม่ใช่เรื่องมงคล
หยางเสวียนรับคำเสียงดังกังวาน “เจาหวาค้นพบว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในแคว้นเฉิงอย่างลับๆ และมีจุดประสงค์ร้ายเพคะ”
เหล่าขุนนางแตกตื่น ฮ่องเต้ตกใจ พลันนั่งตัวตรง “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ? ผู้ใดช่างเหิมเกริมเช่นนี้?!”
หยางเสวียนตอบ “ทูลฝ่าบาท เป็นท่านหญิงหมิงซีเพคะ”
ตงฟางเจ๋อตวัดนัยน์ตาคมปลาบไปที่หยางเสวียน พยับเมฆครึ้มก่อตัวในดวงตา หยางเสวียนแย้มยิ้มงดงาม “องค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องจ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้เพคะ เดิมทีหม่อมฉันนึกว่านางกับพระองค์มีใจเป็นหนึ่งเดียว ย่อมไม่มีทางคิดเป็นอื่น แต่วันนี้นางตัดขาดความสัมพันธ์กับพระองค์ต่อหน้าธารกำนัล หยางเสวียนเห็นว่านางมีเจตนาไม่ดี จึงจำต้องพูดออกมา” ใบหน้านางจริงจัง เหมือนนางคิดอย่างที่พูดจริงๆ
ซูหลีกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้น มิอาจพูดจาเหลวไหล! ทรงบอกว่าหม่อมฉันมีเจตนาไม่ดี มีหลักฐานหรือไม่เพคะ?”
หยางเสวียนแหงนหน้ากล่าว “ในห้องของเจ้ามีความลับซ่อนอยู่ องค์รัชทายาทอยากทราบมาโดยตลอด ท่านหญิงกล้าให้ไปค้นหรือไม่เล่า?”
ซูหลีตกใจ จ้องนางแล้วกล่าวว่า “เมื่อต้องการลงโทษผู้ใด ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ”
หยางเสวียนกระดกคิ้ว “ข้าปรักปรำเจ้าหรือไม่ ตรวจสอบดูก็รู้เอง!” นางหันไปยิ้มให้ตงฟางเจ๋อ “องค์รัชทายาททรงส่งคนไปตรวจสอบดูได้ ในห้องของท่านหญิง พระองค์จะต้องเจอสิ่งที่ต้องการแน่นอนเพคะ”
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนไปมา นัยน์ตาหม่นหมอง ได้ยินฮ่องเต้ตวาดสั่งเสียงเกรี้ยว “จั้นอู๋จี๋ จงรีบพาคนไปค้นหาเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” สายตาที่หลุบต่ำของจั้นอู๋จี๋ไหวระริกเล็กน้อย เขารับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพทหารม้าเคลื่อนไหวรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็ย้อนกลับมาพร้อมกับหลักฐานในมือ
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ นั่นไม่ใช่ของในสำนักเฉินเหมิน แต่กลับเป็นถุงผ้าต่วนประณีตงดงามถุงหนึ่ง! ในพิธีคัดเลือกพระสวามี นางเคยใช้ถุงผ้าต่วนตั้งหัวข้อให้องค์ชายทั้งสี่ใส่ของที่สามารถปกครองใต้หล้าเข้าไป! ถุงผ้าต่วนที่นางเคยถือในพิธี กลับเหมือนกับถุงผ้าต่วนที่ปรากฏตรงหน้าทุกประการ!
“ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ถูกค้นพบในเรือนของท่านหญิง ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ” จั้นอู๋จี๋น้อมส่งถุงผ้าต่วน ซูเซียงหรูหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ในห้องหับของสตรีมีวัตถุเช่นนี้อยู่ แปลกตรงไหนกัน?!”
ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋ไร้อารมณ์ พลิกข้อมือคว่ำถุงผ้าต่วน ด้านในพลันมีของสองสิ่งตกลงมา!
ไม่ใช่เครื่องหอม ไม่ใช่ดอกไม้แห้ง มีเพียงภาพวาดหนึ่งแผ่นและวัสดุเหล็กสีดำหนาๆ เท่านั้น!
ตงฟางเจ๋อเบิกตากกว้าง นั่นมันของที่เขาสืบหามาโดยตลอด! ยามนั้นเขาเฝ้าประตูเมืองเพื่อตรวจสอบ แต่เพราะซูหลีซ่อนตัวอยู่ในโลงศพ สุดท้ายจึงจับผิดหลางฉ่างไม่สำเร็จ
เขาสงสัยมาโดยตลอดว่าถุงผ้าต่วนใบนี้อยู่ในมือซูหลี แต่ไม่เคยหาหลักฐานได้ นึกไม่ถึงกลับถูกหยางเสวียนหาเจอ นางโกหกเขาอีกแล้ว! ด้วยความเฉลียวฉลาดของนาง ต้องเดาเรื่องราวได้แน่นอน จึงไม่ได้มอบมันให้หลางฉ่าง แสดงว่านางไม่ได้มีใจคิดคด แต่นางเก็บไว้กับตัวไม่ยอมมอบให้เขา คิดจะทำอะไรกันแน่? หรือว่า…คิดจะเก็บเงื่อนไขต่อรองแลกเปลี่ยนไว้ให้สำนักเฉินเหมิน? หัวใจพลันเจ็บปวด เขาจ้องนางด้วยความสับสน
จั้นอู๋จี๋กล่าวเสียงเย็นชา “ทูลฝ่าบาท ภาพนี้คืออาวุธพิเศษที่แคว้นเฉิงของเราเพิ่งคิดค้นขึ้นมาใหม่ นามว่า ‘พิรุณโปรยปราย’ เป็นอาวุธที่สร้างขึ้นโดยผ่านการปรับแต่งด้วยฝีมือของทายาทตระกูลที่ชำนาญศิลปะการต่อสู้ สามารถยิงธนูทีเดียวได้ถึงสิบดอก ฉะนั้นอานุภาพของอาวุธชนิดนี้จึงไม่ธรรมดา จำต้องใช้วัสดุเหล็กพิเศษในการสร้างพ่ะย่ะค่ะ” พูดไป เขาก็ชูวัสดุเหล็กสีดำแผ่นนั้นขึ้นมา ฝูงชนต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่
ใบหน้าของฮ่องเต้เคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด สายตาคมปลาบเฉียบแหลม
“ครึ่งปีก่อน องค์รัชทายาทค้นพบว่าความลับของอาวุธถูกขโมย จึงสืบหามาโดยตลอด แต่ก็ไร้ผล นึกไม่ถึง…” เขาหันไปมองซูหลี สายตาเย็นเยียบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“นึกไม่ถึงท่านหญิงหมิงซีมีความสามารถไม่ธรรมดา ถึงขั้นสามารถเก็บของลับเช่นนี้ไว้ในถุงผ้าต่วนของตนเอง หากมิใช่หม่อมฉันบังเอิญได้ยินนางกระซิบกระซาบกับสาวรับใช้ ก็ไม่มีทางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่เช่นนี้แน่นอนเพคะ!” หยางเสวียนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูหลีอดหัวเราะไม่ได้ ชายหญิงคู่นี้ร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างไร้ที่ติ ไล่ต้อนนางทุกฝีก้าว อย่างไรวันนี้ก็ต้องจับนางให้ได้งั้นหรือ? นางจำไม่เห็นได้ว่าตนเองเคยคุยเรื่องนี้กับหวั่นซิน จนถูกหยางเสวียนได้ยินเข้าเช่นนี้! มิน่าเล่าในหีบที่เก็บของของสำนักเฉินเหมินจึงไม่มีสิ่งนี้อยู่ ที่แท้ก็ไปอยู่ในมือหยางเสวียนแล้วนี่เอง!
เหล่าขุนนางต่างพากันกระซิบกระซาบ ซูเซียงหรูหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออก
ท่านหญิงหมิงซีกระทำการเหิมเกริมไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ยามนี้ถึงกับกล้าเก็บซ่อนความลับของแคว้นเฉิงไว้กับตัว พฤติกรรมเช่นนี้หนีไม่พ้นข้อสงสัย ฮ่องเต้พิโรธ หมายจะตบเก้าอี้ลุกขึ้นยืน แต่จนใจที่ไร้กำลังวังชา ทำได้เพียงโมโหจนวิงเวียนศีรษะ ยกนิ้วอันสั่นเทาขึ้นชี้แล้วออกคำสั่ง “ถ่ายทอดราชโองการ! ถอดยศท่านหญิงหมิงซีของซูหลี สตรีนางนี้เหิมเกริมไม่กลัวฟ้าดิน ลบหลู่เบื้องสูงครั้งแล้วครั้งเล่า ลากออกไป…” เขายังพูดไม่ทันจบ สายตาพลันพร่าเลือน จากนั้นก็ล้มกลิ้งลงไปบนบันไดสู่บัลลังก์
“ฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางในตำหนักตกตะลึง กรูกันเข้าไปโดยไม่ได้นัดหมาย ตงฟางเจ๋อรีบเรียกคนเข้ามาหามฮ่องเต้กลับไปยังห้องบรรทมของเขา
ซูหลีที่กำลังคุกเข่าอยู่มองดูทุกคนโกลาหลวุ่นวาย นางยิ้มเย็นชาแล้วลุกขึ้นยืน ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูหลีถูกสั่งลงโทษอย่างไม่ต้องสงสัย เดิมควรประกาศบทลงโทษทว่ากลับถูกตัดบทโดยไม่คาดคิด ประโยคสุดท้ายของฮ่องเต้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคืออะไร
เป็นคำสั่งให้จับขังคุก ตัดหัวหรืออะไร? ทุกคนแตกตื่นลนลาน ไม่มีใครกล้ากระทำการส่งเดช ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว พูดขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง “ฝ่าบาทยังประกาศราชโองการไม่จบ…เช่นนั้นท่านหญิงหมิงซี…ควรจัดการเช่นไรดี?”
ตงฟางเจ๋อตวัดสายตาคมปลาบมองเขา คนผู้นั้นรีบหุบปากทันที
สายตาของซูหลีจ้องตรงไปเบื้องหน้า ไม่บ่งบอกอารมณ์ ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงทุ้มลึกรื่นหูทว่าเย็นชาของเขาดังขึ้น “พระชายาเอกซูหลี ถูกกักบริเวณในตำหนักบูรพาเพื่อทบทวนการกระทำของตนเอง รอให้เรื่องจริงถูกสืบจนกระจ่างแล้วค่อยตัดสินโทษ”
กักบริเวณ! ทบทวนการกระทำของตนเอง! ฮ่องเต้หมดสติไปแล้ว วาจาของเขาถือเป็นพระราชโองการ ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย แสงสว่างสีขาวดั่งหิมะสาดส่องเข้ามาในหน้าต่าง สะท้อนประกายวิบวับตระการตาอยู่ในตำหนัก ดูงดงามทว่ากลับเยือกเย็นในขณะเดียวกัน นางอดยิ้มมุมปากไม่ได้ ใต้หล้านี้ผู้ใดจะสงสัยว่านางเป็นไส้ศึกก็ได้ มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น! ตงฟางเจ๋อ หมายจะฉวยโอกาสนี้กักบริเวณนางไว้ในจวนรัชทายาท คิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วนางจะยอมอยู่เฉยงั้นหรือ ดูเบาซูหลีเกินไปแล้ว!
“ซูหลี! ยังไม่รีบขอบพระทัยองค์รัชทายาทอีก!” เสียงตวาดต่ำของซูเซียงหรูดังขึ้นที่ข้างหู เหมือนบิดาที่กำลังอบรมสั่งสอนบุตรสาว ทว่า คนผู้นี้ไม่มีสิทธิ์!
ซูหลีเงยหน้าอย่างเย็นชา นัยน์ตาดำขลับเหมือนดั่งกระจกใส สะท้อนแววคมปลาบเย็นชาออกมา นางมองข้ามซูเซียงหรู หันไปแย้มยิ้มแล้วกล่าวกับตงฟางเจ๋อว่า “สมควรขอบพระทัยองค์รัชทายาทจริงๆ เพคะ! ขายชาติทรยศบ้านเมือง มีหลักฐานและพยานพร้อมเพรียง เดิมสมควรถูกตัดหัวเก้าชั่วโคตร องค์รัชทายาทเพียงสั่งกักบริเวณหม่อมฉันให้ทบทวนความผิด ช่างเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักเพคะ!” นางแย้มยิ้ม แววเย้ยหยันเสียดสีกลับปรากฏชัดในดวงตา
คำว่า ‘ตัดหัวเก้าชั่วโคตร’ ทำให้ทุกคนสูดหายใจด้วยความตื่นตะลึง สตรีนางนี้เสียสติไปแล้วหรือ?
ซูเซียงหรูหน้าถอดสีครั้งใหญ่ เหงื่อเย็นผุดพราย เขาถลึงตาจ้องนาง สายตาโกรธขึ้ง ราวกับต้องการตวัดฝ่ามือตบบุตรสาวอกตัญญูที่พาเขาเดือดร้อนไปด้วยให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้!
“องค์รัชทายาทโปรดอย่าฟังนาง ซูหลีนาง…นางเสียสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซูเซียงหรูตะโกนอย่างร้อนใจ “เร็วเข้า รีบพาตัวนางออกไปเดี๋ยวนี้!”
เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวเหลือบมองสีหน้าสับสนยากแยกแยะของตงฟางเจ๋อ ก่อนจะเดินเข้าไปกล่าวด้วยความนอบน้อม “พระชายาเอก เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………..