กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 312 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (8)
นอกเหนือแผนการ มักเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาเสมอ
สายตาตงฟางเจ๋อเย็นชา ทุกคนลุกออกจากที่นั่ง หวีดร้องด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท!”
เซียวฟั่งได้ยินก็รีบรุดเข้ามาพร้อมกับเหล่าทหารองครักษ์
จั้นอู๋จี๋ตวาดเสียงเกรี้ยว “หยุดเดี๋ยวนี้! ไสหัวออกไปให้หมด! ใครกล้าเข้ามา ข้าจะฆ่าเขาเสีย! โดยเฉพาะเจ้า ตงฟางเจ๋อ ถอยออกไป!”
คำสั่งอันเฉียบขาดฟังดูน่าเกรงขาม แต่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งทรงพลัง กลับไม่ส่งผลใดๆ ทั้งสิ้น
ตงฟางเจ๋อเพียงชะงักเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ที่เดิม
จั้นอู๋จี๋ดันมือไปข้างหน้า คมกริชบาดเข้าไปผิวหนังบริเวณลำคอของฮ่องเต้ โลหิตสีแดงไหลออกมา ทุกคนตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี วิ่งหนีออกจากตำหนักโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เซียวฟั่งหน้าซีด จำต้องยกมือสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยห่าง
ฮ่องเต้ที่เดิมก็ป่วยหนักอยู่แล้ว ยามนี้สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่ เขาขมวดคิ้วเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้า เจ้ากลับเป็นกากเดนของราชวงศ์หวั่น! เสียแรงที่ข้ารักและไว้วางใจเจ้า เจ้าไม่เพียงไม่คิดตอบแทน ยังมีใจคิดชั่วอีก ข้า…เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้จริงๆ!”
จั้นอู๋จี๋หลุบตามองเขา แววเคียดแค้นในดวงตาสะท้อนชัดเจน เขากล่าวเสียงเย็น “รักและไว้วางใจ? เหอะ! หนี้เลือดที่เจ้าติดค้างแคว้นของข้า เพราะข้าคิดจะตอบแทนเจ้าอยู่ทุกวัน จึงได้ทำเช่นนี้อย่างไรเล่า! หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเชื่อฟังเสียดีๆ!” กริชในมือเขาแทงลึกเข้าไปอีกครึ่งส่วนอย่างตักเตือน ฮ่องเต้หน้าซีดทันที
สายตาของตงฟางเจ๋อพลันเปลี่ยน เขาตวาดเสียงกร้าว “หยุดเดี๋ยวนี้! ปล่อยฝ่าบาทเสีย แล้วข้าอาจเมตตาให้เจ้าตายศพสวย!” เสียงของเขาเย็นชายิ่งกว่ายามปกติ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
จั้นอู๋จี๋ได้ยินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ วาจานี้ของเจ้าอาจใช้ได้ผลกับผู้อื่น แต่สำหรับข้า เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มีฮ่องเต้แคว้นเฉิงตายไปด้วยกัน ไม่ว่าศพจะสวยหรือไม่ ข้าก็ไม่สนใจ! ถูกต้องแล้ว ข้าก็คือเยวี่ยจั้นเกอรัชทายาทแห่งแคว้นหวั่น เพื่อแก้แค้นให้แคว้นของข้า ข้าแฝงตัวอยู่ในแคว้นของศัตรูนานถึงสิบกว่าปี ในที่สุดก็ได้กุมอำนาจทหารไว้ในมือ ทั้งที่ใกล้จะบรรลุเป้าหมายแล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงกลับถูกสตรีเช่นเจ้าเข้ามาขัดขวางกลางคันเช่นนี้!”
ครั้นได้ยินเขายอมรับกับปากว่าตนเองคือเยวี่ยจั้นเกอ หลีเฟิ่งเซียนยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
สายตาเหี้ยมเกรียมของเขาจดจ้องซูหลี “เจ้าไม่เพียงสืบจนรู้ตัวตนของข้า ยังรู้วิธีเปิดโปงรอยสักนกนางแอ่นด้วย! ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ!”
ซูหลีมองเขา ไม่พูดอะไร
จั้นอู๋จี๋กล่าวต่ออีกว่า “ถึงแม้พวกเราเป็นศัตรูกัน และเจ้าก็ทำลายเรื่องดีๆ ของข้า ทำให้แผนการของข้าล้มเหลวทั้งที่เหลืออีกก้าวเดียวแท้ๆ ข้าทั้งเกลียดและเคียดแค้นเจ้าก็จริง แต่ข้ากลับจำต้องยอมรับ ว่าเจ้าคือสตรีคนที่สามที่ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใส!”
“หากไม่มีคดีหลีซู บางทีข้าก็อาจจะเลื่อมใสเจ้าเหมือนกัน!” เมื่อความจริงทุกอย่างเปิดเผย ซูหลีกลับสงบนิ่งและใจเย็นลง
ถึงแม้แผนการของเขาจะชั่วร้ายและโหดเหี้ยมมาก แต่องค์รัชทายาทที่หลังจากแคว้นของตนเองล่มสลายไปแล้วมาแฝงตัวอยู่ในแคว้นศัตรูหลายปี อดทนเพื่อแผนการใหญ่ ยามนี้เดินมาถึงทางตัน ยังสามารถเอ่ยคำว่า ‘เลื่อมใส’ ต่อหน้าศัตรูที่ทำให้ความพยายามทั้งหมดของตนเองพังทลายลงได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้
ครั้นเอ่ยถึงคดีหลีซู หลีเฟิ่งเซียนปวดใจ กัดฟันกล่าวว่า “ยามนั้นคนที่นำทัพบุกถล่มแคว้นของเจ้าคือข้า เจ้ามีความแค้นใดก็ควรมาสะสางกับข้า! ข้าทำศึกสงครามมาตลอดชีวิต ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน รู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องถูกกรรมตามสนอง แต่ภรรยาและบุตรสาวของข้าล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าไม่ควรใช้วิธีอันโหดเหี้ยมถึงขนาดนั้นกับพวกนาง!”
“ผู้บริสุทธิ์? ฮ่าๆๆๆ” จั้นอู๋จี๋แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะของเขาเย็นชาและน่ากลัว เขาตะโกนเสียงเกรี้ยว “พวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วข้าไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? บิดามารดา ท่านน้า น้องสาว และคนในชนเผ่าของข้าไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรอกหรือ? เหล่าชาวบ้านและทหารแคว้นหวั่นไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรือ? พวกเจ้าเห็นว่าตนเองเป็นแคว้นใหญ่ บุกยึดแคว้นเล็กๆ ไปทั่ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตามแก้แค้นในภายหลัง ทุกครั้งที่บุกยึดแคว้น พวกเจ้าก็จะฆ่าล้างคนในราชวงศ์ของพวกเขาจนสิ้น!…หากมิใช่ท่านน้าเยวี่ยหยางของข้ายอมแบกรับความอัปยศอดสู เป็นฝ่ายยอมจำนนก่อน ราชวงศ์หวั่นของพวกข้าก็คงสูญสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ข้ามีหรือจะรอดมาได้เยี่ยงนี้!”
สายตาเกลียดแค้นและเจ็บปวด พลันกดดันให้บรรยากาศในตำหนักหนักอึ้งขึ้นมาทันที อารมณ์บนดวงหน้างดงามของหยางเสวียนเปลี่ยนแปลงไปตามน้ำเสียงของเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่น ขอเพียงสามารถแก้แค้นและฟื้นฟูแคว้นได้ แค่ฆ่าคนไม่กี่คนจะเป็นอะไรไป? หากจะโทษก็ต้องโทษที่พวกนางเป็นภรรยาและบุตรสาวของเจ้าหลีเฟิ่งเซียน จึงต้องรับกรรมแทนเจ้าเช่นนั้น!” เอ่ยจบ เขาก็หัวเราะเสียงเกรี้ยวกราด หลีเฟิ่งเซียนได้ยินก็รู้สึกเคียดแค้นและเศร้าโศก ใบหน้าซีดขาวสลับแดงก่ำ
ซูหลีหน้าเครียด ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว กล่าวว่า “ความตายมาเยือนแล้วเจ้าก็ยังไม่สำนึกอีก! ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ควรเข้าใจหลักเหตุผลที่ว่าไม่ชอบสิ่งใด ก็จงอย่าได้กระทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น!”
“ข้าไม่เข้าใจ!” อารมณ์ของเขาพลันพลุ่งพล่าน เขาจ้องหน้านาง แล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องมาพูดหลักการและเหตุผลเหล่านั้นกับข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์! เจ้าไม่เคยลิ้มลองรสชาติของการสูญเสียครอบครัวและแคว้นบ้านเมือง เจ้าไม่มีวันเข้าใจว่ายามเห็นคนในครอบครัวหลั่งเลือดดั่งสายน้ำ ยามเห็นศพของเหล่าขุนนางและทหารที่ปกป้องเทิดทูนเจ้ากองสูงเท่าภูเขาเลากา มันรู้สึกเช่นไร! ความเกลียดแค้นที่แทบทำให้คลั่ง แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น เจ้าเข้าใจหรือไม่? หากไม่เข้าใจก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์หรือตำหนิการกระทำของข้า! ข้ามั่นใจ หากวันหนึ่งเจ้าได้ลิ้มลองรสชาติความรู้สึกเช่นนั้นบ้าง ข้าเชื่อว่าเจ้าก็ต้องเลือกที่จะแก้แค้นเหมือนข้า!”
ทุกคนเงียบกริบ ภาพสงครามที่โลหิตไหลดั่งสายน้ำและมีกองศพสูงเท่าภูเขา หากไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง คนทั่วไปก็มิอาจจินตนาการได้
หลีเฟิ่งเซียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด โลกเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว! แคว้นหวั่นของพวกเจ้าเป็นแคว้นเล็กๆ ถึงแม้ไม่มีแคว้นเฉิงของเรา ช้าเร็วก็ต้องถูกแคว้นอื่นรุกรานอยู่ดี!”
“เจ้าพูดถูก! โลกเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ แย่งชิงทรัพย์สมบัติและบุกยึดดินแดน มีศึกสงครามเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผู้บริสุทธิ์ต้องตายตกตามกันไปมากมาย! หากต้องการบรรลุเป้าหมาย ก็ต้องยอมทำทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงวิธีเท่านั้น มิเช่นนั้นคนที่ต้องตายอย่างโหดร้ายและทารุณก็คือตัวข้าเอง!” จั้นอู๋จี๋หัวเราะด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ฉะนั้นทุกอย่างที่ข้าทำ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “โลกใบนี้โหดร้ายมากจริงๆ แต่ทุกคนควรมีหลักการในการใช้ชีวิตของตนเอง” ก็เหมือนกับนางที่เคยผ่านความเจ็บปวดมา และมีจิตตั้งมั่นที่จะแก้แค้น แต่นางก็แก้แค้นคนที่เป็นศัตรูของนางเท่านั้น ไม่มีทางคร่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์แน่นอน มิเช่นนั้น นางจะแตกต่างจากคนร้ายได้อย่างไร? แต่โลกใบนี้มีคนมากมายหลากหลายรูปแบบ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง คนบางคนไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่นแม้แต่น้อย
หัวใจของนางพลันเย็นเยียบ นางเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็คือคนร้ายในคดีหลีซู ในเมื่อวันนี้ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลอะไร ก็ต้องชดใช้ต่อการกระทำของตนเอง!” เอ่ยจบ นางก็ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คมกริชวาววับในมือจั้นอู๋จี๋กดลึกเข้าไปอีกหนึ่งส่วน ลำคอของฮ่องเต้มีเลือดไหลทะลักออกมา
ทุกคนตกตะลึง
จั้นอู๋จี๋ข่มขู่ “หากเจ้ากล้าเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะฆ่าเขา ถอยไป!”
ซูหลีหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดจะใช้ชีวิตของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้าข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
ครั้นนางกล่าววาจานี้ออกไป เสียงสูดหายใจพลันดังมาจากรอบกาย ทุกคนตื่นตะลึง เงยหน้ามองมาที่นาง เหมือนไม่อยากเชื่อว่านางจะกล้ามองข้ามชีวิตของฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัล และกล่าววาจาเนรคุณเช่นนี้ออกมา!
“ซูหลีสามหาว!” ซูเซียงหรูที่เงียบมาโดยตลอดเหงื่อเย็นผุดพรายบนหน้าผาก ครั้นเห็นสีหน้าของฮ่องเต้บึ้งตึง ก็รีบก้าวออกมาตำหนิซูหลีเสียงเกรี้ยว “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน! ยังไม่รีบคุกเข่าขอรับโทษจากฝ่าบาทอีก!”
…………………………………………………………