กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 328 พานพบอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด! (1)
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางเคยชินกับหยางเซียวที่มีนิสัยขี้เล่นไม่จริงจัง นึกไม่ถึงยามสั่งการทหารสามพันนาย เขากลับน่าเกรงขามไม่แพ้ฮูเอ่อร์ตูเลยแม้แต่น้อย คนผู้นี้ถึงแม้ยังอายุน้อย แต่กลับเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง
“เหล่าขุนพลจงฟัง บุกเข้าไปในประตูคุนทางทิศใต้!” ซูหลีตะโกนเสียงเข้ม เงาร่างเก้าสายโฉบผ่านดั่งวิหคบิน พริบตาเดียวก็หายลับเข้าไปด้านหลังหินก้อนใหญ่
“ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทำลายตำแหน่งหลี” เสียงกระจ่างใสและเย็นชาออกคำสั่ง เสียงระเบิดเก้าครั้งพลันดังมาจากทิศทางที่ต่างกัน จากนั้นยังมีเสียงอาวุธปะทะกันดังตามมา เห็นได้ชัดว่าเหล่าคนที่ทำลายตำแหน่งค่ายกลถูกลอบโจมตี ซูหลีลอบคิด ด้านหลังหินก้อนใหญ่ที่สร้างค่ายกลไว้จะต้องมีคนซุ่มโจมตีอยู่แน่นอน ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขาเก้าคน น่าจะรับมือกับทหารปลายแถวเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ฮูเอ่อร์ตูเงื้อกระบี่ฟันทหารแคว้นเฉิงที่อยู่ด้านหลังตำแหน่งค่ายกล ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจคิดว่าในจำนวนพวกเขาเก้าคน หากมีคนใดคนหนึ่งมิอาจสังหารศัตรูได้ภายในดาบเดียว ก็จะเท่ากับทำเสียเรื่องทั้งหมด? เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รวบรวมสมาธิ เงี่ยหูฟังเสียงอย่างตั้งใจทันที
ผ่านไปไม่นาน เสียงของสตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทำลายตำแหน่งกาน…”
ทั้งเก้าคนเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ผ่านไปไม่นานก็จัดการคนที่เฝ้าอยู่ด้านหลังตำแหน่งค่ายกล และทำลายค่ายกลได้อย่างง่ายดาย พริบตาเดียวเหล่าทหารแคว้นเฉิงที่อยู่ด้านในประตูทั้งเก้าก็พลันล้มตายไปมากกว่าครึ่ง
เวลานี้เองเสียงหนาทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังมาจากนอกค่ายกล “ผู้ใดอยู่ในค่ายกล? เหตุใดจึงรู้วิธีทำลายค่ายกลลับของแคว้นเฉิงเรา?”
ครั้นได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของเหล่าคนที่อยู่ในค่ายกลพลันเปลี่ยนสี ซูหลีเงยหน้าด้วยความตกตะลึง สายตาแปรเปลี่ยนไปทันที
เสียงนี้…
นางได้ยินเสียงนี้มาสิบกว่าปี ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับเสียงนี้ไปมากกว่านางแล้ว! ผู้ที่นำทัพทหารแคว้นเฉิงในครานี้มิใช่หยวนเซี่ยงแม่ทัพทหารม้าคนใหม่หรือ? เหตุใดเสด็จพ่อหลีเฟิ่งเซียนของนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?! ยามนี้นางเข้ามาในค่ายกลแล้ว ค่ายกลถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง หากถอยก็ต้องตาย หากเดินหน้าก็จำต้องปะทะกับกองทัพของเสด็จพ่ออย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
สายตาของซูหลีจ้องมองไปยังหลีเฟิ่งเซียนที่อยู่บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งกำลังนำทหารมุ่งหน้ามาทางนี้ แม้อยู่ห่างไกลออกไป และมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัก แต่นางกลับรู้ดี ยามนี้เสด็จพ่อของนางบันดาลโทสะแล้ว
ไม่! นางต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
“ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำลายตำแหน่งข่าน เกิน เจิ้น และซวิ่น โดยเร็ว!” น้ำเสียงเย็นชาแฝงแววตึงเครียด ทำให้ทุกคนตกตะลึง ก้าวสุดท้ายแล้ว! และก็เป็นก้าวที่ยากที่สุด จะสำเร็จหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับก้าวนี้!
เสียงระเบิดดังอย่างต่อเนื่อง หินก้อนใหญ่แตกกระเจิง ประตูค่ายกลถูกเปิด ยอดฝีมือเก้าคนกระโดดออกจากค่ายกลพร้อมกัน หยางเซียวผิวปากส่งสัญญาณ เหล่าทหารแคว้นเปี้ยนคำรามเสียงดังลั่นฟ้า ก่อนจะวิ่งกรูกันออกมาดั่งคลื่นน้ำซัดสาด
หลีเฟิ่งเซียนที่ยืนอยู่ห่างออกไปตวาดเสียงเกรี้ยว “ขวางเอาไว้! ห้ามปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ฮูเอ่อร์ตูกล่าวเสียงขึ้งเคียด “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก! ฉากหน้าส่งหยวนเซี่ยงผู้ไร้ประสบการณ์ด้านศึกสงครามมานำทัพ เบื้องหลังกลับมีเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนผู้มีประสบการณ์การรบอันโชกโชนคอยสั่งการ! หยวนเซี่ยงแสร้งทำเป็นพ่ายศึก ล่อให้ข้าเข้ามาติดอยู่ในป่าควันพิษ แล้วให้หลีเฟิ่งเซียนสร้างค่ายกลไว้ด้านนอก เป็นจอมแผนการดังคาด!” ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธกรุ่น ในใจกลับอดรู้สึกเลื่อมใสไม่ได้
ซูหลีเพ่งสายตามอง ก็เห็นหลีเฟิ่งเซียนเร่งม้าศึกนำกองทัพใหญ่ล้อมกรอบเข้ามาที่ปากทางเข้าป่าหิน บนเนินเขาด้านหลังเขา พลันมีกำลังทหารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกอง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดมิได้สวมชุดเกราะ เขาสวมชุดฮั่นฝูสีดำ ทับด้วยเสื้อคลุมสีหมึกตัวใหญ่ หมวกขนาดใหญ่ปกคลุมใบหน้าทั้งดวงของเขาไว้ใต้เงามืด มองไม่เห็นโฉมหน้าของเขาแม้แต่น้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด ครั้นเห็นเงาร่างสูงใหญ่นั้น หัวใจของซูหลีพลันเต้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
“กำลังทหารฝั่งขวาค่อนข้างบางตา พวกเราบุกออกไปทางนั้นกัน” สายตาคมปลาบของฮูเอ่อร์ตูตวัดมองไปยังจุดหนึ่งอย่างแม่นยำ เขากล่าวเสียงต่ำ หมายจะโบกมือออกคำสั่ง ซูหลีกลับพูดแทรกขึ้นก่อน “ไม่ได้! ไปทางภูเขาลูกนั้น” เสียงของนางตึงเครียด ทั้งร้อนใจและเกรี้ยวกราด ออกคำสั่งอย่างเข้มงวด ไม่เหลือช่องให้เจรจา
ฮูเอ่อร์ตูอึ้งงัน นางพาคนมาช่วยพวกเขาแก้พิษ แล้วยังช่วยพวกเขาทำลายค่ายกลหนีออกจากหุบเขา เดิมทีเขารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ยามนี้นางกลับละทิ้งโอกาสที่จะฝ่าวงล้อมออกไปแล้วหันไปเลือกเส้นทางภูเขาที่อันตราย เห็นชัดว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด เขาไม่เห็นชอบด้วย อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ทางนั้นไม่มีถนน!”
ซูหลีเอ่ยเสียงเย็น “ถนนเกิดขึ้นได้เพราะคนเดิน”
ฮูเอ่อร์ตูหมายจะโต้แย้ง กลับถูกหยางเซียวกดไหล่ไว้ก่อน สายตาของหยางเซียวไหวระริก ยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ฟังนางเถิด”
องค์ชายสี่นำทัพมุ่งหน้าไปยังป่าฝั่งขวา เหล่าทหารแคว้นเปี้ยนรีบวิ่งตามไป ไม่กล้าเอ่ยปากมากความ
ซูหลีโฉบกายขึ้นกลางอากาศ แล้วทิ้งตัวลงบนเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ภูเขา ก่อนจะออกวิ่งด้วยความเร็ว นางหันกลับไปมองหลีเฟิ่งเซียนที่อยู่นอกป่าหินซึ่งกำลังควบม้าใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็ว ชุดเกราะนักรบสีดำยังคงดูน่าเกรงขาม ใบหน้ากลับเริ่มปรากฏร่องรอยแห่งความชรา ไม่ได้ห้าวหาญชาญชัยเหมือนตอนที่นางยังเป็นเด็ก มีเพียงความอ้างว้างและความเศร้าสลดเต็มดวงตา นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นในหัวใจ
เงาร่างสีดำบนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลพลันก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาคมปลาบและร้อนรุ่มจ้องตรงมาที่นาง
หลีเฟิ่งเซียนเห็นว่าค่ายกลถูกทำลาย ทหารแคว้นเปี้ยนเลือกหนีโดยใช้เส้นทางภูเขาอันตราย พลันรู้สึกประหลาดใจยากจะควบคุมสติ ทหารผู้หนึ่งอดตะโกนเรียกเขาไม่ได้ “ท่านอ๋อง!”
เขาโบกมือออกคำสั่งอย่างเย็นชา พลางมองดูเงาร่างบอบบางท่ามกลางกลุ่มคนที่จู่ๆ ก็หันกลับมามอง ในใจสับสนวุ่นวายอยู่นานยากจะสงบ
กองทัพแคว้นเปี้ยนวิ่งขึ้นภูเขาสูงชัน กองทัพแคว้นเฉิงกลับไม่ไล่ตามมา ฮูเอ่อร์ตูจึงค่อยคลายใจ
หยางเซียวมองซูหลีอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลยุทธ์ของเจ้าเสี่ยงมากจริงๆ แต่ข้าเลื่อมใสในตัวเจ้ายิ่งนัก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลีเฟิ่งเซียนจะไม่ตามมา?!”
ซูหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “แค่โชคดีเท่านั้น”
โชคดีหรือ? บางทีหลีเฟิ่งเซียนอาจเห็นว่าเส้นทางสูงชัน กลัวว่าจะถูกซุ่มโจมตี หรือบางที เขาอาจแค่ตกตะลึงที่ค่ายกลถูกทำลายอย่างง่ายดาย จึงไม่กล้าวู่วามไล่ตามมา?
สายตาของหยางเซียวไหวระริก เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ดีๆๆ เจ้าทำให้ข้าโชคดีไปด้วยไม่น้อย วันนี้ที่กองทัพแคว้นเปี้ยนของเรารอดพ้นมาได้อย่างราบรื่น ล้วนอาศัยโชคของเจ้าทั้งนั้น”
ซูหลีมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร หยางเซียวเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากความอีก ฮูเอ่อร์ตูที่เดิมไม่เห็นชอบด้วย ยามนี้ครั้นเห็นทุกคนรอดมาได้อย่างปลอดภัยไร้ความเสียหาย ก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน กองทัพทหารพักจัดระเบียบครู่หนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางไปยังเขตชายแดนอย่างรวดเร็ว
ครั้นเดินทางมาถึงเขตชายแดน เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงกลางดึกสงัดแล้ว หยางเจิ้นกับคนอื่นๆ ครั้นเห็นหยางเซียวพาฮูเอ่อร์ตูและเหล่าทหารกลับมาต่างก็ยินดีอย่างยิ่ง พวกเขาจัดงานเลี้ยงเพื่อตอบแทนเหล่าทหาร ซูหลีปฏิเสธน้ำใจของหยางเจิ้น ขอตัวกลับกระโจมไปพักผ่อน ยามนี้ความคิดของนางสับสนวุ่นวาย จึงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว
หวั่นซินพิจารณาเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมา นิสัยของคุณหนูเย็นชามากขึ้น นางเงียบขรึมขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีกำแพงสูงก่อตัวขึ้นในใจ ทำให้ผู้คนยากจะเข้าใกล้ ทว่านัยน์ตาเย็นชาที่ดูเหมือนไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ คู่นั้นกลับสะท้อนแววเจ็บปวดและกลัดกลุ้มรางๆ นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็อดถามไม่ได้ “คุณหนูกังวลเรื่องใดอยู่หรือเจ้าคะ?”
ซูหลีส่ายหน้า เงียบงันไม่พูดจา
หวั่นซิ่นหดหู่เล็กน้อย ทอดถอนใจคราหนึ่ง “การทำลายค่ายกลครั้งนี้ พวกเราทำไปเพราะสถานการณ์บังคับ คุณหนูไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ใบหน้าของซูหลีชะงักไปเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงไม่พูดอะไร
พลันนั้น เงาร่างสายหนึ่งโฉบไหวผ่านด้านนอกกระโจมไป หวั่นซินตวาดถามเสียงต่ำ “ใครน่ะ?”
ไม่มีเสียงตอบรับ นางหันไปมองซูหลีทันที ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย หวั่นซินจึงรีบพุ่งตัวออกจากกระโจมไล่ตามเงาร่างสายนั้นไป
ภายในกระโจมกลับมาเงียบงันอีกครั้ง
ซูหลีนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ หวนนึกถึงใบหน้าที่เริ่มชราของเสด็จพ่อเมื่อกลางวัน ความขมขื่นและความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายแผ่ปกคลุมหัวใจนาง ตั้งแต่เล็กจนโต เสด็จพ่อเห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า รักและหวงแหนนางเป็นที่สุด ทั้งดีดพิณ เดินหมาก อ่านตำรา เขียนหนังสือ แต่งกลอน และร่ายระบำ เสด็จพ่อหาอาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นเฉิงมาสอนนางเสมอ แต่การเย็บปักถักร้อยที่สตรีพึงทำ นางกลับไม่สนใจใคร่เรียน เสด็จพ่อเองก็ไม่เคยฝืนใจนาง ตามใจนางทุกเรื่อง เพราะกลัวว่านางจะน้อยเนื้อต่ำใจ…ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางคาดคิด ว่าเสด็จพ่อที่รักและทะนุถนอมนางถึงเพียงนี้ กลับไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของนาง!
……………………………………………………..