กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 337.1 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (1)
หยางเจิ้นวางจดหมายลงบนโต๊ะ ใบหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้งเคียด “พวกเราซุ่มโจมตีขนาดนั้น แต่แคว้นเฉิงกลับเสนอการเจรจาสงบศึกอีกครั้ง อีกฝ่ายต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ขุนพลอวี๋ตะโกนอย่างเดือดดาล “ทำเกินไปแล้ว คิดจะรบก็รบ คิดจะสงบศึกก็สงบศึกเช่นนั้นหรือ? เห็นแคว้นเปี้ยนของเราเป็นอะไรกัน?”
“ตงฟางเจ๋อ ฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นเฉิง หลานเคยพูดคุยกับเขาไม่กี่ครั้ง คนผู้นี้ความคิดยากแท้หยั่งถึง เขาไม่เคยกระทำสิ่งใดโดยไร้จุดประสงค์” หยางเซียวแสร้งพูดต่อโดยไม่ตั้งใจ ทว่ากลับเหลือบมองซูหลีด้วยสายตาแฝงความหมายเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าแม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด ก็ยังมิอาจรู้ความคิดของเขา”
ความหมายแฝงในประโยคนี้ ซูหลีเข้าใจดี แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หัวใจกลับหนักอึ้ง นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสาเหตุที่ตงฟางเจ๋อเสนอเจรจาสงบศึกอีกครั้งอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน เหตุใดเขาจึงยังไม่ตัดใจอีก? ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่าน ยามนี้เขาเป็นฝ่ายเสนอเจรจาสงบศึกก่อน กลับเป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าใกล้เขาอีกครั้ง มิเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อใดนางจะเอาแหวนหยกขาวกลับคืนมาได้
นางหมายจะเอ่ยปาก รองขุนพลผู้หนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากนอกกระโจม แล้วรายงานด้วยเสียงเร่งรีบ “ทูลท่านอ๋อง รายงานด่วนจากชายแดนพ่ะย่ะค่ะ! กำลังทหาร ณ ด่านชายแดนเฟิ่งถงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผิดวิสัยทหารรักษาการณ์ทั่วไป สายลับรายงานมาว่า มีร่องรอยของกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งมีกำลังทหารโดยรวมประมาณห้าหมื่นนาย มุ่งหน้าเข้าใกล้ด่านชายแดนเฟิ่งถงอย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างกายที่กำลังเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านของหยางเซียวพลันแข็งค้าง ครั้นได้ยินก็ลุกพรวดด้วยความตกใจ “ว่าอย่างไรนะ?”
ด่านชายแดนเฟิ่งถงอยู่ภายในอาณาเขตของแคว้นติ้ง เป็นด่านชายแดนสำคัญของแคว้นเปี้ยนและแคว้นติ้ง อยู่ห่างจากแคว้นเปี้ยนเพียงหนึ่งร้อยกว่าลี้เท่านั้น ยามนี้แคว้นเฉิงยกทัพมาบุก กำลังทหารทั้งหมดของแคว้นเปี้ยนล้วนรวมพลอยู่ที่เขตชายแดนแห่งนี้ ณ ด่านชายแดนเฟิ่งถงมีเพียงทหารรักษาการณ์ปกติอยู่เท่านั้น หากจู่ๆ แคว้นติ้งบุกโจมตีเข้ามาจริงๆ จะต้องสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน!
หยางเจิ้นนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยความสงสัย “แคว้นติ้งและแคว้นเฉิงมีสายสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด หรือว่าพวกเขาร่วมมือกัน?”
หยางเซียวหรี่ตา หันมองแผนที่ที่แขวนไว้ตรงกลางกระโจม “นอกเสียจากว่า…พวกเขาต้องการส่งเสียงบูรพาบุกตีประจิม? แสร้งทำเป็นเสนอการเจรจาสงบศึกเพื่อประวิงเวลา?”
ครั้นได้ยินสารนี้ ซูหลีเองก็อดแปลกใจไม่ได้ จากความเข้าใจของนาง ยามนี้แคว้นติ้งมิได้มีความทะเยอทะยานในการพิชิตแผ่นดินใต้หล้า เหตุใดจู่ๆ จึงเลือกรวมพละกำลังทหารที่ด่านชายแดนเฟิ่งถงในเวลานี้? หรือว่า ต้องการสร้างความวุ่นวายให้โลกนี้จริงๆ?
หยางเซียวครุ่นคิด รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบกล่าวเสียงเข้ม “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำต้องทูลให้เสด็จพ่อทราบโดยเร็วที่สุด!”
นกพิราบส่งสารนำจดหมายบินกลับไปยังเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน กลับไร้ซึ่งสารตอบกลับจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ศึกสงครามอาจปะทุได้ทุกเมื่อ หยางเจิ้นและหยางเซียวต่างก็ร้อนอกร้อนใจ ส่งจดหมายทูลถามพระราชวินิจฉัยอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับไม่มีจดหมายตอบกลับ กระทั่งหลายวันผ่านไป บนถนนหลวงของเขตชายแดน พลันปรากฏกองทัพที่มีกำลังทหารประมาณหนึ่งพันนาย เคลื่อนพลเข้ามาอย่างฮึกเหิมองอาจ โดยมีรถม้าหรูหราคันหนึ่งถูกรายล้อมไว้ตรงกลาง ผู้มาก็คือฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผู้สวมอาภรณ์นอกเครื่องแบบออกตรวจการนั่นเอง
ครั้นกองทัพชายแดนได้รับรายงาน ทุกคนก็ตกตะลึง รีบยืนเรียงแถวต้อนรับขบวนเสด็จทันที
ฮ่องเต้ไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทางมานานหลายวัน เขาเดินตรงเข้ามาในกระโจมพร้อมกับกลุ่มคน นั่งลงบนที่นั่งสูงสุด แล้วจึงค่อยกล่าวเสียงเข้มว่า “สถานการณ์ ณ ด่านชายแดนเฟิ่งถงมีการเปลี่ยนแปลงใดหรือไม่?”
หยางเจิ้นรายงานเสียงขรึม “ยามนี้ดูเหมือนว่าแคว้นติ้งมีจุดประสงค์เพียงแค่เพิ่มกำลังทหารรักษาการณ์เท่านั้น ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับรายงาน ก็รีบสั่งให้ขุนพลอวี๋ซื่อเหอนำกำลังทหารยอดฝีมือหนึ่งหมื่นนายมุ่งหน้าไปยังด่านชายแดนเฟิ่งถงทันที เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รับคำว่า “อือ” พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ซูหลีที่อยู่ด้านหนึ่งลอบพิจารณาเขาเงียบๆ ยามนี้ ใบหน้าชราของฮ่องเต้ปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยล้า ระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่เขากลับมาถึงเร็วเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ร้อนใจกับสถานการณ์ในยามนี้เช่นกัน
“แคว้นเฉิงเสนอการเจรจาสงบศึก ฝ่าบาททรงมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” หยางเจิ้นถาม แคว้นเฉิงส่งสารเจรจาสงบศึกมาหลายวันแล้ว แต่กลับยังไม่มีการตอบกลับจากพวกเขา
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะมองหน้าทุกคนแล้วย้อนถามว่า “ทุกท่านคิดว่าควรทำเช่นไร?”
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างมองเห็นแววลำบากใจในสายตาของอีกฝ่าย เดิมทีศัตรูในการรบครานี้มีเพียงแคว้นเฉิงเท่านั้น ยามนี้แคว้นติ้งกลับตั้งท่าพร้อมรบทุกเมื่อ สถานการณ์ยากจะรับมือจริงๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่า สมควรเจรจาสงบศึกเพคะ” ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบ ซูหลีก็เอ่ยปากอย่างแช่มช้า
“เพราะเหตุใด?” ฮ่องเต้ถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
สตรีที่อยู่ด้านหลังหน้ากากสีเงิน ท่าทางสงบนิ่ง น้ำเสียงไม่แสดงออกถึงความกังวลแตกตื่น เพียงอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด “ยามนี้แผ่นดินแบ่งออกเป็นสาม กำลังทหารของแคว้นเฉิงแข็งแกร่งที่สุด กำลังทรัพย์ของแคว้นติ้งอุดมสมบูรณ์ และในทั้งสองด้านนี้ แคว้นเปี้ยนล้วนเป็นรอง ข้อได้เปรียบเดียวที่เรามี ก็คือประสบการณ์รบอันช่ำชอง และเหล่านักรบผู้เหี้ยมหาญชาญชัย ทว่า กลับไม่เหมาะสมกับการทำศึกเป็นเวลานาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อต้องทำศึกกับสองแคว้นเช่นในยามนี้”
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร? หรือจะบอกว่าแคว้นเปี้ยนเรากลัวพวกเขาเช่นนั้นหรือ?” ขุนพลอวี๋ไม่พอใจคำพูดของซูหลี รีบโต้แย้งด้วยความเดือดดาลทันที “พวกเขาต้องการเจรจาสงบศึกงั้นหรือ? มีสิทธิ์อันใดกัน?”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หม่อมฉันคิดว่า ผู้ชาญฉลาดสมควรปรับตัวไปตามสถานการณ์ และเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตนเอง จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด หยุดสงคราม ไม่ได้หมายความว่าหวาดกลัวพวกเขา ที่สำคัญกว่าคือทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แล้วค่อยเลือกจังหวะที่ดีที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองในภายหน้า…แค่กๆ” นางยังพูดไม่ทันจบ ก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก อดขมวดคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่ที่ท่านน้าจิ้งหวั่นถ่ายทอดกำลังภายในให้นาง จนถึงตอนนี้วิชาคัมภีร์เมฆาลอยและขี่วายุยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่ง และก่อนหน้านี้ไม่นาน ภายใต้สถานการณ์คับขัน นางก็ได้ระเบิดพลังอันน่าตกใจถึงสองครั้งติดกัน ทำให้ได้รับบาดเจ็บภายใน ส่งผลให้เกิดอาการเลือดลมไหลเวียนไม่สมดุลเป็นพักๆ เช่นในตอนนี้
เดิมทีฮ่องเต้กำลังตั้งใจฟัง ครั้นเห็นซูหลีไม่สบาย หัวใจพลันสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นัยน์ตาชราค่อยๆ ขรึมลง เขาจ้องมองซูหลีอย่างครุ่นคิด
หยางเซียวรีบจ้ำเดินมายืนข้างกายนาง เอื้อมมือประคองนาง ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “อาหลีน้อย เจ้าเป็นอะไรไป?”
หยางเจิ้นเองก็รีบเดินเข้ามาหา แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วง “เจ้าไม่สบายหรือ? เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ซูหลีส่ายหน้า รีบหยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้อ นางกินยาที่ช่วยสงบสมาธิหลายเม็ด ปรับลมหายใจให้สมดุล แล้วจึงค่อยกล่าวเสียงเบา “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
น้ำเสียงของนางเรียบนิ่ง อาการผิดปกติเมื่อครู่ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา ซูหลีพูดสิ่งที่ยังพูดไม่จบต่อ “ในเมื่ออีกฝ่ายมีใจอยากเจรจาสงบศึก เช่นนั้นก็รอดูว่าพวกเขาจะเสนอเงื่อนไขใดให้เราได้บ้าง”
ถึงแม้นางจะกล่าววาจาฟังดูดี แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายที่นางคิดจริงๆ ทว่าสิ่งที่นางพูดกลับเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ด้วยกำลังที่แท้จริงของแคว้นเปี้ยนในยามนี้ หากต้องการฝืนรบต่อไปก็ยังพอยืนหยัดไหว ไม่ถึงกับพ่ายแพ้ยับเยิน แต่การรบในระยะยาวจะทำให้กำลังทหารเสียหาย ส่งผลให้คลังเสบียงของแคว้นว่างเปล่า แทบไม่มีผลดีใดๆ เลย เรื่องที่ซูหลีให้ความสำคัญมากที่สุดในยามนี้ ก็คือรีบทำให้การเจรจาสงบศึกในครั้งนี้สำเร็จผล และหยุดสงครามโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็เอาแหวนหยกขาวกลับคืนมา เสด็จพ่อก็จะได้กลับเมืองหลวงแคว้นเฉิงอย่างปลอดภัย
หยางเซียวค่อยๆ หดมือกลับ นัยน์ตาดำขลับกระจ่างใสของเขาจ้องมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ซูหลีสัมผัสได้ถึงสายตาคมปลาบของเขา เหมือนดั่งกระบี่คมเล่มหนึ่งที่แทงทะลุหน้ากากเงินบนหน้านาง และอ่านใจนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หยางเจิ้นหมุนกายก้าวเดินช้าๆ นิ้วมือลูบไล้ลวดลายประณีตบนแขนเสื้อยิงธนู นัยน์ตาหลุบต่ำ คล้ายกำลังพิจารณาคำพูดของซูหลีอย่างถี่ถ้วนเช่นกัน มีประกายแสงเลือนรางตรงหางตาของเขา เขาเหล่มองฮ่องเต้ครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแววเศร้าหมองที่พาดผ่านใบหน้าเขาในเสี้ยววินาทีหนึ่ง
………………………………………………