กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 339.3 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (3)
สองคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด พวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่มีผู้ใดบีบบังคับหม่อมฉันจริงๆ เพคะ” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง “หากไม่ทำเช่นนี้ กำลังภายในสองขุมในตัวหม่อมฉันจะยิ่งแว้งกัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประวิงเวลาออกไปก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น”
หน้าอกของหยางเจิ้นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้อีกแล้ว?! สิบแปดปีก่อนเป็นเช่นนี้ สิบแปดปีต่อมาก็ยังเป็นเช่นนี้?! ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ สายตาเหี้ยมเกรียมราวกับจะกินคน กลับทำได้เพียงกัดฟันแน่น เจ็บปวดใจจนพูดอะไรไม่ออก ความโกรธขึ้งไร้ที่ระบาย เขาพลันซัดฝ่ามือออกไป ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าวพลันหักโค่นลงมา!
เซียวอ๋องระเบิดโทสะ อานุภาพรุนแรง พาให้ผู้พบเห็นอกสั่นขวัญแขวน เหล่าทหารในกองทัพต่างพากันก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ใบหน้าหยางเซียวซีดเผือดเล็กน้อย สีหน้าหนักใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากที่เขารู้จักซูหลีมา นางไม่มีทางตกลงง่ายๆ เช่นนี้แน่! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีความสามารถที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้!
นางกลับดูใจเย็นถึงเพียงนี้ ใจเย็นจนทำให้คนอื่นตกใจ ราวกับคนที่จะเป็นธิดาเทพไม่ใช่ตัวนางเองอย่างไรอย่างนั้น!
“เจ้ามากับข้า!” หยางเซียวกล่าวเสียงเข้ม รั้งแขนนางแล้วมุ่งหน้าออกไปยังป่าทึบนอกกองทัพ
ต้นไม้หนาทึบบดบังแสงแดดเจิดจ้าเหนือศีรษะ ครั้นมาถึงจุดลับตาคน หยางเซียวจึงค่อยหยุดฝีเท้า หันกลับมาจ้องตานาง แล้วพูดเกลี้ยกล่อมนางอย่างไม่ยอมแพ้ “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก จากที่ข้ารู้มา ยาไร้รักยังไม่มีวิธีใดแก้ฤทธิ์ของมันได้ ทันทีที่เจ้ากินมัน ก็หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถ…”
“แล้วมันไม่ดีอย่างไรเล่า?” นางย้อนถามด้วยท่าทางสงบนิ่งสุดแสน “ชั่วคราวมิได้หมายถึงตลอดไป”
หน้ากากสีเงินสะท้อนแสงเยือกเย็น นัยน์ตาสีดำขลับแฝงแววเย็นชา และไม่แยแสต่อสิ่งใด
เขาถอนหายใจแรงๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “เจ้ารับปากเสด็จพ่อแล้วหรือ?”
“เช่นนั้นท่านบอกข้าทีว่ามีวิธีใดดีกว่านี้หรือไม่?” นัยน์ตากระจ่างชัดที่อยู่ด้านหลังหน้ากากสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ ราวกับบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนางได้อีกแล้ว
หยางเซียวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คิ้วเข้มขมวดแน่น สายตาสะท้อนแววเจ็บปวด เพราะตงฟางเจ๋อ นางถึงกับละทิ้งความหวังในเรื่องความรักไปแล้ว! ไม่เหลือโอกาสให้ตนเองแม้แต่น้อย นางสิ้นหวังจนถึงเพียงนี้แล้วหรือ? ความตระหนักรู้นี้ ทำให้หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอย่างแรง ราวกับอ่อนแรงไปทั้งตัว เขาเซถอยหลังหนึ่งก้าว ไปยืนพิงต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง
แสงตะวันส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นจุดๆ เงาร่างบอบบางของนางยืนอยู่ท่ามกลางเงามืดของกิ่งไม้ ยิ่งขับเน้นให้ดูผอมบาง ยังจำได้หลายเดือนก่อนตอนพบนางที่แคว้นเฉิง นางเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบยอดเยี่ยม เล่นงานเขาต่อหน้าธารกำนัลจนหมดรูป! แต่สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้ ใบหน้าซีดเซียวสงบนิ่ง เงียบขรึมพูดน้อย คล้ายสูญสิ้นซึ่งความยินดีทั้งปวงไปแล้ว ตงฟางเจ๋อทำร้ายนางถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
หัวใจของเขาเจ็บแปลบเล็กน้อย หยางเซียวเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าตัวนาง ซูหลีกลับถอยหลังอย่างระแวดระวัง มองดูใบหน้าสับสนของเขา แล้วกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “ท่านสงสารข้า?”
หยางเซียวอึ้งไปเล็กน้อย กลางหว่างคิ้วคมเข้มปรากฏแววเศร้าโศกรางๆ “ข้าเปล่า ข้าเพียงแต่…ไม่อยากให้เจ้าตัดสินใจเรื่องที่จะทำให้เจ้าเสียใจในภายหลัง โดยใช้อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น”
ซูหลีแค่นหัวเราะ “สิ่งที่ข้าเลือก ข้าย่อมต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง! ไม่รบกวนองค์ชายสี่ให้ต้องเป็นห่วง!”
“เจ้า!” สีหน้าของหยางเซียวพลันแปรเปลี่ยน เขาข่มกลั้นอารมณ์แล้วจ้องหน้านาง ซูหลีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย คางกลมมนสะท้อนความแข็งกร้าวที่ไม่มีทางสั่นไหว หัวใจของเขากลับหวั่นไหวโดยไม่รู้สาเหตุ เพลิงโทสะพลันดับหายไปจนสิ้น เขาทำตัวไม่ถูก อ้าปากหมายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปทั้งอย่างนั้น
ครั้นเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ซูหลีพลันใจอ่อน เบนหน้าหนี อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ “ข้ารู้ว่าท่านหวังดีกับข้า แต่เรื่องของข้า ข้าขอตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่อยากให้ผู้ใดยื่นมือเข้ามายุ่ง”
น้ำเสียงหนักแน่นของนางได้บ่งบอกคำตอบสุดท้ายอย่างชัดเจนแล้ว หยางเซียวพยักหน้าเงียบๆ รู้ดีว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมให้นางเปลี่ยนใจได้
“นี่ก็ค่ำแล้ว กลับกองทัพกันเถิด” ซูหลีเงยหน้ามองท้องฟ้าเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปอย่างสงบเยือกเย็น
หยางเซียวเดินตามนางกลับกองทัพ คืนนั้น ฮ่องเต้ส่งคนตอบจดหมายกลับไปให้กองทัพแคว้นเฉิง นัดหมายให้เจรจาสงบศึกกันอีกครั้งในสามวันให้หลัง
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หมู่บ้านตังอวี๋ในยามเช้าตรู่ถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนเล็กๆ แผ่นดินและผืนฟ้าราวกับถูกกลืนเป็นหนึ่งเดียว ด้านนอกของศาลฉีเซียงเต็มไปด้วยเหล่าทหารจากแคว้นเปี้ยนและเฉิงที่ยืนเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด แต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียด สายตาระแวดระวังจ้องตรงไปยังเบื้องหน้า ต่างอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ม้าฝีเท้าเยี่ยมสิบตัววิ่งฝ่าละอองฝนเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมาถึงด้านนอกศาลฉีเซียง หยางเซียวกระโดดลงจากม้าด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนเป็นคนแรก ต่อมาก็ยังคงเป็นซูหลี พวกหวั่นซินสี่คน และเหล่าองครักษ์อีกห้าคน
หยางเซียวกวาดตามองศาลฉีเซียงรอบหนึ่ง แล้วเดินไปยืนข้างซูหลี เอื้อมแขนยาวๆ ออกไปวางบนไหล่ซูหลีอย่างซุกซน ยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “วิธีที่ทูตนารีเสนอยอดเยี่ยมดังคาด มีทหารจำนวนมากเฝ้าประตูอยู่อย่างนี้ แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ยังเล็ดลอดเข้ามาไม่ได้!”
เนื่องจากครั้งก่อนแคว้นเปี้ยนลอบวางกำลังทหารซุ่มโจมตี การเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจึงระมัดระวังเรื่องสถานที่และขอบเขตมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายซูหลีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายส่งกำลังทหารมารักษาการณ์ที่หมู่บ้านตังอวี๋ เมื่อใดที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ก็ให้สังหารได้ทันที ทั้งสองฝ่ายต่างคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดีแล้ว หากมีเรื่องใดผิดปกติย่อมสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย ครั้นนางเสนอเงื่อนไขนี้ออกไป ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นด้วยทันที
ซูหลีไม่สนใจเขา รีบหมุนกายหลบแขนเขาทันที แล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องโถงในศาล แขนของเขาพลันลื่นไถลลงมา
หยางเซียวไม่ถือสา รีบเดินตามไปติดๆ จูงมือนาง แล้วร้องโวยวาย “นี่ เจ้ารอข้าด้วยสิ”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค ประตูใหญ่ของศาลฉีเซียงก็พลันเปิดออกดัง ‘แอ๊ด’
ด้านในห้องโถง บุรุษเงาร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทองผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น สองข้างกายมีองครักษ์ประจำกายยืนอยู่ พวกเขาก็คือเซิ่งฉินและเซิ่งเซียว องครักษ์ผู้แข็งแกร่งนั่นเอง!
ซูหลีชะงักฝีเท้าทันที ผู้มา…กลับเป็นตงฟางเจ๋อ! แล้วเสด็จพ่อเล่า?!
ครั้นได้ยินเสียง ตงฟางเจ๋อค่อยๆ หมุนกายหันกลับมา แสงสลัวสาดส่องใบหน้างดงามของเขา ยิ่งขับเน้นให้เครื่องหน้าทั้งห้าดูลึกล้ำเย็นชากว่าเดิม ท่ามกลางเงามืดรางๆ มีเพียงนัยน์ตาดำขลับของเขาเท่านั้นที่เปล่งประกายดั่งดวงดารา เปล่งประกายจนกระชากเอาดวงวิญญาณของผู้พบเห็นออกจากร่าง
นางสบตากับเขาอย่างไม่ตั้งใจ โลกทั้งใบพลันเงียบงันไร้เสียง มีเพียงเสียงละอองฝนกระทบพื้นเบาๆ ที่เลือนรางจนแทบไม่ได้ยิน
เขาเพ่งมองหน้ากากสีเงินของซูหลี ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาก็เลื่อนลงด้านล่างโดยสัญชาตญาณ จดจ้องมองมือของทั้งสองที่เกาะกุมกันแน่น เขาจ้องมองอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตา แววเย็นชาค่อยๆ ปรากฏในดวงตาดำขลับ
ซูหลีตั้งสติ รีบกวาดมองด้านในห้องโถงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ด้านหลังเขานอกจากเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวแล้ว ก็มีองครักษ์ชุดเกราะสีดำแปดคน ไร้เงาร่างของเสด็จพ่อ!
“ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงๆ แคว้นเฉิงไม่มีผู้อื่นแล้วหรือ? จำต้องให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเสด็จมาเจรจาสงบศึกด้วยตนเองเช่นนี้?”
หยางเซียวทำท่าทางตกตะลึง แต่วาจากลับแฝงแววเสียดสีอย่างไม่รู้จบ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเย็นชาดุจน้ำแข็ง เขาจับมือซูหลีแน่นยิ่งขึ้น
ซูหลีรู้สึกไม่พอใจโดยไม่รู้สาเหตุ ถอยหลังหนึ่งก้าว สลัดพันธนาการจากมือเขาอย่างแนบเนียน
หยางเซียวเดินไปยืนตรงหน้าตงฟางเจ๋ออย่างองอาจผ่าเผย แล้วนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ตงฟางเจ๋อเองก็นั่งลงด้วย สายตาคมปลาบจ้องพิจารณาคนของเฉินเหมินอย่างละเอียด แล้วค่อยกล่าวอย่างแช่มช้า “องค์ชายสี่ฐานะสูงส่ง กลับมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนในสำนักเฉินเหมิน ข้าเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อยเช่นกัน”
……………………………………………..