กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 342 ไม่มีวันปล่อยมือ (1)
ตงฟางเจ๋อร้องครวญ เซถอยไปหลายก้าว กระอักโลหิตสีแดงสดออกมา
นางฉวยโอกาสนี้พาร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ และทิ้งตัวลงอีกด้าน
นางหลอกเขาอีกแล้ว! เขาพลันหมุนกาย ถลึงตาจ้องเงาร่างบางที่เลือนรางอยู่ท่ามกลางความมืด ไม่มีผู้ใดมองเห็นความผิดหวังและหัวใจที่แตกสลายซึ่งสะท้อนอยู่ในดวงตาเขา
ซูหลีกำแหวนในมือแน่น หัวใจของนางเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ยังคงไม่อยากเชื่อว่านางสามารถชิงมันกลับมาได้อย่างราบรื่นถึงเพียงนี้! นางเพิ่งจะสวมแหวน เงาร่างของตงฟางเจ๋อก็โฉบเข้ามาปรากฏกายตรงหน้านางเหมือนภูตผี เร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน
กลิ่นอายพิโรธแผ่กำจายอยู่รอบกายบุรุษตรงหน้า เขาลงมือรวดเร็วดั่งพายุ แต่ละกระบวนท่าหมายจะสกัดจุดลมปราณทั่วกายของซูหลี เหมือนต้องการจะจับนางกลับไปทั้งอย่างนี้!
ซูหลีขับเคลื่อนลมปราณภายในจนถึงจุดสูงสุด ต่อสู้กับเขาอย่างสุดความสามารถ นางสาวเท้าถอยกรูดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ถูกเขาบีบให้จนมุมอีกครั้ง ลมหายใจถี่กระชั้น ลมปราณป่วนพล่าน คล้ายเกิดการปะทะกันของพลังภายในร่าง แต่ตงฟางเจ๋อกลับไม่มีท่าทีที่คิดจะหยุด!
เงาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวกลางอากาศ เหมือนดั่งตาข่ายสีดำขนาดใหญ่ที่คลอบคลุมนางไปทั้งตัว
พลันนั้น เหมือนมีบางอย่างตกลงมาจากตัวเขา แต่เพราะมืดมากจึงแยกไม่ออก เขาพุ่งตรงเข้ามาหาซูหลี นางไม่เหลือที่ให้ถอยหนี จึงยกดาบสั้นขึ้นและแทงออกไปเต็มแรงตามสัญชาตญาณ
“อย่า!!!” ตงฟางเจ๋อตะโกนด้วยความตกใจ เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้า แต่กลับสายไปเสียแล้ว
เสี้ยววินาทีที่ดาบสั้นแทงของสิ่งนั้น ซูหลีจึงเพิ่งมองเห็นว่านั่นคือตุ๊กตารูปคนที่แกะสลักจากไม้จันทน์สีดำขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่ง ใบหน้าของตุ๊กตาถูกแกะสลักอย่างงดงามราวกับมีชีวิต แม้แต่นิ้วมือทั้งสิบก็ยังประณีตอย่างไม่มีที่ติ สมบูรณ์แบบจนน่าทึ่ง
นั่นคือตุ๊กตาไม้รูปคนตัวแรกที่เขาแกะสลักด้วยมือตนเอง ตุ๊กตาไม้เสมือนมนุษย์จริงๆ ของนาง และเป็นของที่นางเคยรักและหวงแหนที่สุด
สมองของซูหลีขาวโพลนไปหมด นางได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นข้างหู
ตุ๊กตาไม้จันทน์สีดำเนื้อแข็ง ถูกดาบสั้นที่นางแทงออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดจู่โจมจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศในชั่วพริบตา
นางเบิกตากว้าง ทว่าท่ามกลางความมืด นางเห็นเพียงดวงตาเปล่งประกายของเขาในยามนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเหลือเชื่อ
ที่แท้สิ่งที่คอยปกป้องอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก หรือสิ่งอื่นใด สุดท้ายก็ต้องมีวันที่ดับสูญอยู่ดี
เนิ่นนานที่ในห้องโถงเงียบงันไร้เสียง
ประตูห้องโถงของศาลฉีเซียงถูกคนกระแทกเข้ามาอย่างแรง แสงสว่างจากภายนอกสาดส่องเข้ามาอย่างกะทันหัน
บนพื้นทุกอย่างล้มระเนระนาด ขาโต๊ะและเก้าอี้กระจัดกระจายเต็มพื้น
ไม่มีฉากสะเทือนใจอย่างที่ทุกคนจินตนาการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ทั้งสองยืนอยู่ในห้องโถงในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนไร้บาดแผล
เงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น เขาก้มหน้าเล็กน้อย จ้องมองเศษชิ้นส่วนที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย
ครั้นได้ยินเสียง ซูหลีก็เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง ทว่าสิ่งที่มองเห็น กลับเป็นดวงตาที่เหลือเพียงความเจ็บปวดรวดร้าวของเขาเท่านั้น
หัวใจของนางถูกความเจ็บปวดจู่โจมอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นสะท้าน นางรู้ดี การแว้งกัดของลมปราณภายในที่พยายามข่มกลั้นมานานเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งแล้ว นางกัดฟันแน่น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด แล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องโถงเร็วๆ
“ฝ่าบาท!!!” เสียงเรียกของเซิ่งฉินและเซิ่งเซียวดังมาจากข้างหลัง ความเจ็บปวดกลืนกินนางในพริบตา หยางเซียวเดินตามนางออกมา สังเกตได้ว่าสถานการณ์ของนางไม่สู้ดีนัก จึงเข้าไปอุ้มนาง แล้วพุ่งตัวออกจากศาลฉีเซียงทันที
การเจรจาสงบศึกระหว่างสองแคว้นถูกระงับลงชั่วคราว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นอีก วันนั้น หลังจากที่หยางเซียวช่วยปรับลมปราณอันปั่นป่วนของซูหลีให้สงบลง ระหว่างทางกลับ นางไม่เปิดปากพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว หยางเซียวและพวกหวั่นซินเห็นเช่นนั้น ก็ไม่กล้าถามมากความอีก ครั้นเดินทางกลับมาถึงกองทัพ ซูหลีตรงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน หลังกลับออกมาก็เพียงกล่าวกลับหวั่นซินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เก็บสัมภาระเสีย วันพรุ่งนี้ออกเดินทางไปยังลัทธิธิดาเทพ”
วันต่อมา ฟ้าเพิ่งจะสาง บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังลัทธิธิดาเทพ กลับมีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่ ด้านหลังมีบุรุษสามคนขี่ม้าตามมา คือพวกเซี่ยงหลีนั่นเอง ซูหลีที่อยู่ในรถม้ายังคงเงียบงันไม่พูดจาเช่นเดิม นางกำแหวนที่ชิงกลับมาจากตงฟางเจ๋อไว้แน่นจนเจ็บฝ่ามือ ของสิ่งนี้เดิมก็เป็นของนางอยู่แล้ว ยามนี้ของกลับมาสู่มือผู้เป็นเจ้าของก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่เหตุใดนางจึงเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้? ในสมองมีแต่ภาพสายตาของเขาในวินาทีที่ตุ๊กตาไม้ถูกทำลาย
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู…ตัดสินใจจะเป็นธิดาเทพจริงๆ หรือเจ้าคะ?” ในที่สุดหวั่นซินก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ซูหลีไม่ตอบคำถาม ทว่าสายตาไม่แยแสต่อสิ่งใดของนางที่ทอดมองออกไปข้างนอก เหมือนบ่งบอกคำตอบในใจนางอย่างชัดเจนแล้ว
หวั่นซินอดขมวดคิ้วไม่ได้ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ยาไร้รักเป็นยาวิเศษของราชวงศ์เปี้ยน ทันทีที่กิน หากภายหน้าต้องการแก้ฤทธิ์ของมัน เกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก”
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย “ข้าตัดขาดจากความรักแล้ว มันทำอันใดข้าไม่ได้หรอก”
หวั่นซินกลับกล่าวด้วยความกังวล “แต่ตงฟางเจ๋อเริ่มสงสัยแล้ว แม้พยายามหยั่งเชิงหลายครั้งแต่ก็ไร้ผล เกรงว่าเขาจะไม่ยอมรามือง่ายๆ…”
“แล้วอย่างไรเล่า?” ซูหลีพูดตัดบท สายตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งพันปี “ข้าเคยบอกแล้ว ต่อจากนี้อย่าพูดถึงเขาให้ข้าได้ยินอีก”
หวั่นซินรีบหุบปาก หยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ พวกเขายังคงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงต้องแกล้งตายเพื่อหนีออกจากแคว้นเฉิง บางทีคนอื่นอาจคิดว่าเป็นเพราะองค์หญิงเจาหวา แต่หวั่นซินกลับรู้ว่าไม่ใช่ นางเคยลองถามถึงเหตุผล แต่ปฏิกิริยาตอบกลับที่นางได้รับกลับทำให้นางใจสั่นมาจนถึงทุกวันนี้ นางไม่เคยเห็นซูหลีเป็นอย่างนั้นมาก่อนเลยสักครั้ง
หวั่นซินถอนหายใจเงียบๆ หากตัดขาดจากความรักแล้วจริงๆ หากปล่อยวางได้แล้วจริงๆ เหตุใดคนผู้นั้นจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใจของนางไม่อยากกล่าวถึงอีก
รถม้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงตีนเขาชื่อเหลียน ก็มีคนออกมานำทางทันที ที่แท้ผู้อาวุโสทั้งสองได้รับพระราชสาสน์จากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่าวันนี้จำเป็นจะต้องจัดเตรียมพิธีสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ จึงเร่งแจ้งข่าวไปยังเหล่าหัวหน้าแปดสำนักย่อยให้เดินทางมายังแท่นบูชาหลักให้ตรงเวลา
ซูหลีค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปในทางเข้าแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพ หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย ทางเข้าแท่นบูชาหลักที่แท้จริงกลับซ่อนอยู่ในยอดเขา มิน่าเล่ายามนั้นพวกเขาจึงหาทางเข้าไม่เจอ
ณ ลานกว้างในแท่นบูชาหลัก เหล่าคนที่มีตำแหน่งสำคัญจากแปดสำนักย่อยได้รวมตัวกันอยู่ที่นั่นแต่แรกแล้ว ทั้งหมดมีจำนวนหลายร้อยคน ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสองคน คนหนึ่งคิ้วยาวดวงตาเรียว เส้นผมตรงขมับหงอกขาว ท่าทางมีกำลังวังชา อีกคนหนึ่งคิ้วกว้างดวงตาเหลี่ยม ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ท่าทางน่าเกรงขาม ทั้งสองล้วนอายุห้าสิบกว่า ครั้นยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ดูน่ายำเกรงยิ่งนัก ด้านหลังพวกเขาคือหัวหน้าจากแปดสำนักย่อยที่เดินตามมาติดๆ
ซูหลีเดินลงจากรถม้า ผู้อาวุโสทั้งสองมองเห็นแหวนหยกขาวบนนิ้วมือนางตั้งแต่แวบแรก ใบหน้าพลันเคร่งขรึมจริงจัง รีบค้อมกายทำความเคารพ
“เสวียนจิ้ง เสวียนฟง และคณะศิษย์ในลัทธิ ขอต้อนรับธิดาเทพสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพของลัทธิเรา!”
เหล่าหัวหน้าจากแปดสำนักย่อยต่างก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าสตรีสวมหน้ากากผู้นี้เป็นใครมาจากไหน กลับสามารถทำให้สองผู้อาวุโสที่ขัดแย้งกันมานานหลายปี และมักมีความเห็นไม่ลงรอยกันเสมอ ยกย่องให้นางเป็นธิดาเทพอย่างพร้อมใจกันเช่นนี้ได้!
ซูหลีก้าวออกไป ชายที่มีเส้นผมหงอกขาวตรงขมับก็คือผู้อาวุโสเสวียนจิ้งที่จับตัวท่านน้าจิ้งหวั่นกลับมา! สายตาของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางกวาดมองเขาอย่างเรียบเฉย “ลำบากพวกท่านแล้ว” เอ่ยจบก็เดินขึ้นเขาไปทันที พวกหวั่นซินรีบเดินตามไปติดๆ
สองผู้อาวุโสอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินตามไป
ในวิหาร ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ซูหลีเพิ่งจะเดินเข้าไปในวิหาร ก็มีคนนำทางนางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เดินออกมาจากวิหาร แต่งกายอย่างเหมาะสมเรียบร้อยแล้ว เสื้อคลุมผ้าต่วนสีขาวเจิดจรัสยิ่งกว่าหิมะ ปิ่นปักผมหยกรัดเกล้าเงินประณีตงดงามไร้ที่ติ ขับเน้นให้บุคลิกของนางสูงส่งสง่างาม และดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
………………………………………………………….