กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 343 ไม่มีวันปล่อยมือ (2)
เหล่าคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ในวิหารต่างพากันตกตะลึง เงียบงันไร้เสียง
สายตาของสองผู้อาวุโสแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สตรีนางนี้สวมหน้ากาก จึงทำให้มองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง แต่ทว่า บุคลิกสูงส่งนี้ กลับทำให้ทั้งสองนึกถึงธิดาเทพที่เคยสืบทอดตำแหน่งเมื่อยี่สิบปีก่อนขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือความรู้สึก พวกนางทั้งสองต่างคล้ายกันจนน่าตกใจ
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของทุกคน ซูหลีเดินตรงไปยังแท่นบูชา สายตาไม่วอกแวก นางหยุดเดินตรงหน้าตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะหมุนกายหันกลับมา วินาทีนั้น รัศมีเจิดจรัสพลันแผ่กำจายรอบกายนาง ทุกคนมองเห็นเป็นตาเดียว เหมือนดั่งเทพธิดาลงมาจุติ พาให้ผู้พบเห็นตะลึงพรึงเพริด
“ชุดนี้เหมาะกับนางมากกว่าชุดฮองเฮา” เซี่ยงหลีกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ เจียงหยวนเหล่มองเขาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
ฉินเหิงกล่าวเสียงเบา “ไม่แน่เสมอไป ข้ากลับรู้สึกว่านางเหมาะสมจะเป็นมารดาแห่งแผ่นดินมากกว่า”
หวั่นซินขมวดคิ้ว รีบส่งสัญญาณตักเตือน ทั้งสี่คนปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมจริงจัง ก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้า แล้วแบ่งกลุ่มเดินไปยืนขนาบสองข้างของตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์
เสวียนจิ้งกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวเสียงขรึม “ทุกคนจงฟัง จงคำนับธิดาเทพแห่งลัทธิเรา!”
เสียงฮือฮาพลันดังมาจากกลุ่มคน ไม่มีผู้ใดคำนับตามคำสั่ง ชายหนุ่มที่ท่าทางเหมือนดาบซ่อนคมผู้หนึ่งก้าวออกมา กล่าวโต้แย้งว่า “ช้าก่อน! ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง ข้าน้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสก่อนสักเรื่องขอรับ”
ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งชะงัก เงยหน้ากล่าวว่า “หัวหน้าสำนักเขามรกตเชิญกล่าว”
“นับตั้งแต่สิบแปดปีก่อนที่ธิดาเทพแปรพักตร์ ลัทธิเราก็ไร้ผู้นำ กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง วันนี้ได้มารวมตัวกันที่นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่า ทุกคนล้วนทราบกันดี ธิดาเทพของลัทธิเราล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกและฝึกฝนอย่างหนักโดยธิดาเทพรุ่นก่อนเสมอ หลังจากได้รับการยอมรับจากทุกคนในลัทธิ จึงจะดำเนินการสืบทอดตำแหน่งต่อหน้าสหายทุกท่าน แต่วันนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองมิรู้พาสตรีนางนี้มาจากที่ใด พวกเราไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร และไม่รู้ประวัติความเป็นมาของนาง ก็จะให้พวกเราคำนับนางเป็นธิดาเทพ และฟังคำสั่งของนาง เป็นเรื่องที่ทำใจให้เลื่อมใสศรัทธาได้ยากยิ่ง!”
ครั้นวาจานี้กล่าวออกไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนก็ดังขึ้นทันที
“ถูกต้องแล้ว!” บุรุษวัยกลางคนผู้มีกรามกว้างและหนวดเครายาวเฟื้อยก้าวเท้าออกจากแถว ยกนิ้วชี้ไปที่ซูหลี แล้วตะโกนเสียงดัง “พวกเราตระหนักดีถึงความกระตือรือร้นของผู้อาวุโสทั้งสองท่าน แต่ธิดาเทพของลัทธิเรา มิใช่ตำแหน่งที่จะให้ใครก็ได้มาสืบทอด! สตรีนางนี้ นางเป็นใครมาจากไหนกันแน่? มีคุณสมบัติและความสามารถใดที่จะเป็นผู้นำของลัทธิเรา และออกคำสั่งกับทุกคนได้? ข้าเฉิงฟั่ง ไม่ขอยอมรับ!”
ซูหลีสะท้านใจเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นฉู่เว่ยตงหัวหน้าสำนักเขามรกต และเฉิงฟั่งหัวหน้าสำนักหมื่นหุบเขา
คำถามของเฉิงฟั่งถือเป็นคำถามแทนใจของศิษย์ทุกคนในลัทธิธิดาเทพ ชั่วขณะหนึ่ง เสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วทั้งวิหาร หัวหน้าจากอีกหกสำนักที่เหลือแม้มิได้กล่าวเสริม แต่สายตาของทุกคนก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความเคลือบแคลงในใจแล้ว
ทุกคนต่างกำลังรอคอยคำตอบเดียวกัน
ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งขมวดคิ้ว หันมองซูหลีแวบหนึ่ง เห็นเพียงสายตาของนางยังคงเยือกเย็นเรียบนิ่ง ราวกับไม่มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด เขาลอบหนักใจเล็กน้อย ก้าวออกไปข้างหน้า ยกแขนขึ้นกลางอากาศ ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง
“ข้าเข้าใจความคิดของหัวหน้าสำนักทั้งสองเป็นอย่างดี หลายปีมานี้ ลัทธิเราไร้ผู้นำมาโดยตลอด ทุกคนจึงเคยชินกับการดูแลจัดการเรื่องราวภายในสำนักกันเอง เรื่องในวันนี้ เพราะมิได้แจ้งให้ทุกท่านทราบล่วงหน้า ทุกท่านจะเคลือบแคลงสงสัยก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล” เสียงอันน่าเกรงขามของผู้อาวุโสเสวียนจิ้งดังก้องไปทั่ววิหารใหญ่
ฉู่เว่ยตงกับเฉิงฟั่งจ้องผู้อาวุโสเสวียนจิ้งด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทว่าเขายังคงพูดต่อไป “เมื่อครู่หัวหน้าสำนักเขามรกตกล่าวถูกต้อง แต่เรื่องราวในครั้งนี้มีเหตุและผล พวกข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้ ทุกท่านก็รู้ดี หลายปีมานี้ ข้ากับผู้อาวุโสเสวียนฟงมักมีความเห็นต่างกันเสมอ แต่ครั้งนี้พวกเราต่างเห็นชอบที่จะเสนอให้นางเป็นธิดาเทพของลัทธิเรา ย่อมต้องเป็นเพราะนางมีคุณสมบัติและความสามารถมากพอที่จะรับตำแหน่งธิดาเทพอย่างไรเล่า”
“ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ สิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของธิดาเทพรุ่นก่อนก็อยู่ตรงนี้แล้วอย่างไรเล่า แหวนหยกขาว ยังมีผู้ใดกล้าสงสัยอีก?!” ผู้อาวุโสเสวียนฟงกล่าวเสียงเข้ม เขาก้าวเข้าไปชูมือซูหลีขึ้น บนนิ้วมือเรียวขาวดั่งหยก แหวนยกขาววงหนึ่งกำลังส่องประกายเงางามวาววับอยู่บนนั้น
ครั้นแหวนหยกขาวปรากฏต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าของหัวหน้าจากทั้งแปดสำนักก็พลันแปรเปลี่ยน พวกเขาเงียบงันพูดอะไรไม่ออก แหวนหยกขาวเซิ่งเหลียนเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของธิดาเทพ สำหรับธิดาเทพ มันมีความหมายเหมือนตราประทับหยกของฮ่องเต้!
ยามนี้สายตาของผู้อาวุโสเสวียนฟงเคร่งขรึม ลอบตกตะลึงในใจ ธิดาเทพคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในลัทธิก็ยังไม่เอ่ยปากสักคำ แม้เผชิญหน้ากับคำถามเคลือบแคลงใจก็ยังไม่เห็นท่าทางลนลาน บุคลิกเยือกเย็นสงบนิ่งจนน่ากลัว ราศีที่ไม่อาจมองข้ามแผ่กำจายอยู่รอบกายนาง
ทันใดนั้น นางยกมือวาดกลางอากาศเบาๆ ฉู่เว่ยตงกับเฉิงฟั่งพลันสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงขุมหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามาจ่อที่ลำคอพวกเขา สองคนนี้ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ ของยุคนี้ แต่วินาทีนี้ ยามเผชิญหน้ากับพลังที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง พวกเขากลับไม่อาจหลบเลี่ยง!
หลินเหยา หัวหน้าสำนักเมฆาขาวหลุดร้องเสียงหลง “ขี่วายุ?!”
ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง ขี่วายุเป็นวิชากำลังภายในที่มีไว้ให้ธิดาเทพและภูติซ้ายขวาฝึกฝนโดยเฉพาะ จำเป็นต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก สตรีนางนี้ร่ำเรียนวิชากำลังภายในนี้ได้อย่างไร? นางเป็นใครกันแน่?
สองคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี ท่ามกลางความโกลาหลพวกเขารีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้น พลังงานที่ไล่บี้พวกเขาเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายนุ่มๆ ผืนใหญ่ โอบล้อมพวกเขาไว้จนไม่เหลือช่องว่างให้หลบหนี
ฟู่เทียนเริ่น หัวหน้าสำนักวารีใหม่พลันหลุดตะโกนออกมา “คัมภีร์เมฆาลอย!” ครั้นวาจานี้หลุดออกจากปาก แม้แต่เสวียนจิ้งและเสวียนฟงสองผู้อาวุโสก็หน้าเปลี่ยนสีไปด้วย
คัมภีร์เมฆาลอยกับขี่วายุเป็นของลัทธิธิดาเทพ ขี่วายุสามารถเปลี่ยนจากอ่อนให้เป็นแข็ง เมฆาลอยสามารถเปลี่ยนแข็งให้เป็นอ่อน สองวิชาประกอบเสริมซึ่งกันและกัน หากสามารถฝึกไปพร้อมกัน และหลอมรวมเป็นหนึ่งจนสำเร็จ วรยุทธ์ก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่หลายปีก่อนคัมภีร์เมฆาลอยได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากเปลี่ยนเจ้าของมาหลายมือในที่สุดก็ได้เบาะแส ผู้อาวุโสเสวียนจีได้รับมอบหมายให้ตามสืบ ทว่าต่อมาผู้อาวุโสเสวียนจีก็หายตัวไปหลายปีเช่นกัน เรื่องนี้จึงเงียบหายไป ผ่านไปหลายปีแล้ว ทุกคนต่างก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไปหมด นึกไม่ถึงว่าสองสุดยอดวิชากำลังภายในของลัทธิ กลับรวมอยู่ในตัวธิดาเทพที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากที่ใดไม่รู้คนนี้! ทุกคนตื่นตะลึงและสงสัย ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามส่งเดชอีก
ซูหลีค่อยๆ หดมือกลับ จ้องหน้าอันซีดขาวของหัวหน้าสำนักทั้งสอง นางถามเสียงขรึม “หัวหน้าสำนักทั้งสองท่านยังมีคำถามใดหรือไม่?”
สองคนนั้นสะดุ้ง ภายในลัทธิธิดาเทพมีการต่อสู้เกิดขึ้นมาโดยตลอด พวกเขาแบ่งแยกสูงต่ำด้วยวรยุทธ์กันแบบลับๆ พวกเขาทั้งสองถือดีว่าตนเองมีวรยุทธ์สูงส่ง นับว่าอยู่แถวหน้าจากทั้งแปดสำนักเลยก็ว่าได้ ยามนี้กลับถูกธิดาเทพคนใหม่หักหน้าต่อหน้าธารกำนัล ยังกล้าส่งเสียงอีกที่ไหนกัน? ครั้นนึกถึงตรงนี้ พวกเขาก็รีบปรับสีหน้าที่ตื่นตกใจให้เป็นปกติทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็พากันก้มหัวอย่างไม่ได้นัดหมาย แล้วกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า “ท่านธิดาเทพวรยุทธ์สูงส่ง ข้าน้อยเลื่อมใสด้วยใจจริง!”
ซูหลีกวาดมองหัวหน้าสำนักคนอื่นอย่างแช่มช้า นัยน์ตาคมปลาบเยือกเย็น มองผ่านที่ใดผู้คนต่างพากันก้มหน้า นางถามด้วยเสียงเย็นเยียบ “ผู้ใดยังมีคำถามอีกหรือไม่?”
“ข้าน้อยขอคำนับท่านธิดาเทพ!” ฉู่เว่ยตงและเฉิงฟั่งรีบก้าวออกไปคุกเข่าคารวะ ครานี้ คนอื่นๆ ในลัทธิที่ยังลังเลไม่แน่ใจต่างพากันคุกเข่าตามพวกเขาทันที
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงร้องสรรเสริญดังก้องไปทั่ววิหารใหญ่ สั่นสะท้านไปทั่วพงไพร คนที่เหลือต่างพากันคุกเข่าอย่างเงียบงัน
ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งกางหนังสือสืบทอดตำแหน่ง หมายจะอ้าปากอ่าน ซูหลีกลับกล่าวว่า “ไม่จำเป็นแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าเป็นผู้นำของลัทธิธิดาเทพ ให้ยกเลิกตำแหน่งภูติซ้ายและภูติขวา แล้วเปลี่ยนเป็นสี่ทูตแห่งแท่นบูชาหลักแทน”
“ทูตนารี ทูตวิญญาณ ทูตมั่งคั่ง และทูตกระบี่จงก้าวออกมา” หวั่นซิน เจียงหยวน เซี่ยงหลี และฉินเหิงพากันก้าวออกมาเมื่อได้ยินนางขานเรียก
………………………………………….