กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 359 ดวงตาอันคุ้นเคย (3)
ไม่รอให้ซูหลีเอ่ยปาก เขาร้อง “โอ้” ด้วยความเสียใจ “แย่จริงเชียว ทำเจ้าเลอะน้ำเสียแล้ว! ข้าเช็ดให้เอง” เอ่ยจบก็ยื่นมือจะช่วยนางเช็ด แต่จู่ๆ กลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองเปียกน้ำไปทั้งตัว มีแต่จะทำให้เสื้อผ้านางเปียกมากขึ้นเท่านั้น เขากวาดตามองรอบตำหนักหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดที่สามารถนำมาใช้เช็ดน้ำได้
ผ้าเช็ดหน้าเนื้อไหมผืนหนึ่งยื่นมาตรงหน้าซูหลีได้ถูกเวลา เนื้อผ้านุ่มลื่น สีขาวสะอาดดั่งหิมะ ด้านหนึ่งของผ้าเช็ดหน้ามีลวดลายปักอยู่ ฝีมือประณีต เป็นของคุณภาพดีที่หาได้ยาก
ซูหลีอึ้งงัน ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นมุมหนึ่งของกำแพงวัง มีต้นเหมยหลายต้น ใต้ต้นไม้ มีสตรีร่างบางยืนอยู่ แผ่นหลังของนางดูอ้างว้างเดียวดาย…สายตาของนางพลันแปรเปลี่ยน ภาพนี้กลับเหมือนทิวทัศน์สวนต้องห้ามในตำหนักบูรพาของแคว้นเฉิงมาก!
“เอ๋ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้สวยจัง!” หยางเซียวรับผ้าเช็ดหน้าไป แล้วจ้องมองอย่างละเอียด เขามองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันแย้มยิ้มกล่าวว่า “ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ดูพิเศษมาก ดูคุ้นตานัก เจ้าไปเอามาจากที่ใด?”
วาจาของเขาแฝงความหมาย ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ท่านคงต้องถามผู้ดูแลเซี่ยเอง” แม้เสียงของนางจะราบเรียบคล้ายไม่แยแส แต่ในใจกลับเครียดขรึม ผ้าไหมผืนนี้พิเศษมาก เป็นของที่ทำขึ้นในแคว้นติ้ง และไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป เช่นเดียวกับไข่มุกนิล ส่วนมากมักจะถวายให้เชื้อพระวงศ์ในแคว้นเฉิงใช้ ครอบครัวทั่วไปแม้จะมี ก็ต้องเป็นครอบครัวที่มีฐานะไม่ธรรมดา เช่นนั้นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้…เซี่ยฝูอันได้มาจากที่ใดกัน?
นางหันไปมองเขาเล็กน้อย แต่กลับบังเอิญสบตากับเซี่ยฝูอันเข้าพอดี คล้ายสัมผัสได้ถึงความสงสัยของซูหลี เขาจึงกล่าวเสียงเบา “คนของสำนักเมฆาขาวที่รับผิดชอบจัดซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน เล็งเห็นความพิเศษของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ นึกไม่ถึงว่าองค์ชายสี่เองก็มีความรู้ด้านการทอผ้าด้วยเช่นกัน?”
หยางเซียวเหล่มองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหยดน้ำบนเสื้อผ้าซูหลี ผ้าไหมสีขาวดังหิมะ และดอกเหมยสีแดงสดบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ทำให้ซูหลีรู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก นางตีมือเขาออก แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่ายุ่มย่าม”
“ตำหนิข้าอีกแล้ว” เขาจ้องหลังมือตนเองที่ถูกนางตีจนแดง ถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าดุเช่นนี้ ระวังจะไม่มีผู้ใดกล้าสู่ขอเจ้าเล่า!”
ซูหลีเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ากินยาไร้รัก และตัดขาดจากเรื่องความรักไปนานแล้ว!” ความหมายของนาง คือนางไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดอีกแล้ว
ครั้นนึกถึงยาไร้รัก จนถึงตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา สีหน้าของหยางเซียวค้างเติ่ง แลดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“ท่านธิดาเทพเข้าใจผิดแล้ว” สายตาของเซี่ยฝูอันไหวระริกเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ยาไร้รัก มีฤทธิ์ระงับความเสน่หาเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ตัดขาดจากความรักแต่อย่างใด หากท่านธิดาเทพต้องการใช้มันตัดขาดจากความรัก ก็แสดงว่าท่านธิดาเทพยังแก้ไขเรื่องราวในใจไม่ได้ ยากจะตัดขาดจากความรัก”
ประโยคนี้ จู่โจมหัวใจของซูหลีทันที นางสะท้านใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเขาโดยพลัน
สีหน้าของเซี่ยฝูอันเรียบเฉยเป็นปกติ สายตากลับมีแววคมปลาบพาดผ่าน
ซูหลีจ้องหน้าเขาไม่พูดอะไร จำต้องยอมรับว่าเขาพูดไม่ผิดสักนิดเดียว เดิมทีนึกว่าจะสามารถอาศัยฤทธิ์ของยาไร้รัก ช่วยตัดขาดความผูกพันที่มีต่อตงฟางเจ๋อได้ แต่เหตุการณ์ในห้องลับ กลับทำให้นางเข้าใจความจริงเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่าง นางไม่เคยลืมเขาเลยสักครั้ง และยังคงยากจะควบคุมความรู้สึกของตนเอง
เรื่องที่ซ่อนไว้ในใจไม่อยากให้ผู้ใดรับรู้ กลับถูกเขาเปิดโปงเช่นนี้ ซูหลีตึงเครียด พลันบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกงุ่นง่านใจ จึงกล่าวเสียงเย็นชา “ผู้ดูแลเซี่ย อย่าถือตนว่าเป็นคนฉลาด แล้วคาดเดาความคิดของข้าส่งเดช!”
เซี่ยฝูอันกล่าวเสียงขรึม “ข้าน้อยมิกล้า เพียงเป็นห่วงสุขภาพของท่านธิดาเทพเท่านั้น หากท่านธิดาเทพยังมิอาจตัดขาดความรักจริงๆ…”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” นางตัดบทเขาทันที ไม่รู้เพราะเหตุใด วาจาของเขากลับทำให้นางควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ “พึงระลึกฐานะตนเองไว้ด้วย!”
เซี่ยฝูอันชะงักงัน ค้อมกายกล่าวว่า “ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว ท่านธิดาเทพโปรดอภัย”
จู่ๆ ในตำหนักก็เงียบกริบ บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นกดดัน
หยางเซียวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาหันมาแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลนัก แม้เป็นยาพิษที่ร้ายแรงแค่ไหน ก็ต้องมีหนทางรักษาอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือ?”
นางกระดกคิ้ว “ประใยคใด?”
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มกายเข้าไปกระซิบข้างหูนางเสียงเบา “ถ่านที่มอดดับไปแล้ว…ยังลุกไหม้ขึ้นมาได้อีกครั้งเลย”
กลีบปากของเขาคลี่ออกเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น กลีบปากของเขาแทบจะชิดใบหูนาง ลมหายใจอุ่นๆ จากปากเขามีกลิ่นไข่มุกนิลผสมอยู่ เป่ารดเข้ามาในรูหูนาง ให้ความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ซูหลีตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ขมวดคิ้วแล้วเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เขากลับเคลื่อนตัวตามติดเหมือนเงา ยังคงยิ้มร่าแล้วถามซักไซ้ “ทำไมเล่า เจ้าไม่เชื่อหรือ?”
ซูหลีไม่ตอบคำถาม คนเจ้าเล่ห์เช่นเขาพูดสิ่งใดก็มักชอบทำหน้าทะเล้น ยากจะแยกแยะว่าประโยคใดพูดจริง ประโยคใดพูดเล่น
เซี่ยฝูอันยืนมองท่าทางสนิทสนมของทั้งสอง สายตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย เอ่ยปากเตือนเสียงราบเรียบ “เสื้อผ้าเปียกจะทำให้ร่างกายหนาวเย็น องค์ชายสี่ควรรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ป่วยเป็นไข้อีกครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ”
ช่าง ไร้ ไหว พริบ!
หยางเซียวเหล่มองเขาอย่างเคืองๆ เซี่ยฝูอันทำเหมือนไม่เห็น เรียกเซี่ยถงเข้ามา กำชับให้เขาไปเตรียมของใช้สำหรับอาบน้ำ ผ่านไปไม่นาน เซี่ยถงก็เข้ามาเชิญหยางเซียวไปอาบน้ำ
เสื้อผ้าอาภรณ์เปียกชุ่มห่อหุ้มอยู่บนกาย ทั้งหนักทั้งหนาว รู้สึกไม่สบายตัวมากจริงๆ หยางเซียวแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “อาหลี ข้าไปอาบน้ำก่อน อีกเดี๋ยวค่อยมาหาเจ้า”
“มีเรื่องใดหรือ?”
“อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” เขายิ้ม แล้วทิ้งปริศนาไว้ให้นางสงสัย
พระจันทร์ค่อยๆ ลอยเด่นกลางนภา ดวงดาวสว่างไสว ลมพัดเย็นสบาย ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพเข้าสู่ความเงียบงัน รออยู่นาน หยางเซียวก็ยังไม่มา ซูหลีจึงเตรียมตัวเข้านอน
ขณะกำลังจะดับเทียน ก็ได้ยินเสียงหยางเซียวดังมาจากนอกหน้าต่าง “เอ๋ เจ้าจะนอนแล้วหรือ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าจะมาหาเจ้า อย่าเพิ่งนอน ข้าจะพาเจ้าไปฝึกวรยุทธ์” พูดไป ตัวคนก็เดินเข้ามาในตำหนัก
ซูหลีกล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านรู้หรือว่าควรฝึกเช่นไร?” จนถึงตอนนี้ นางได้อ่านตำราโบราณในตำหนักเซิ่งซินทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบตำราเล่มไหนที่เกี่ยวกับวิชายี่วายุและคัมภีร์เมฆาลอยเลย
หยางเซียวยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “ตามข้ามา”
เขาจูงมือซูหลีออกจากตำหนักเซิ่งซิน เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา ผ่านไปไม่นาน ก็มาถึงจุดที่ลับตาและเงียบที่สุดในวิหารกลางน้ำ
ซูหลีเคยมาที่นี่ ตอนนั้นนางประหลาดใจเล็กน้อย อาคารวิหารในแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพล้วนงดงามตระการตา ฝีมือเหนือธรรมชาติ เหตุใดจึงมีสถานที่ที่ผุพังเก่าแก่และรกร้างเช่นนี้อยู่ด้วย
บานประตูเป็นรอยกระดำกระด่าง สีแดงบนประตูหลุดลอก ด้านในประตูกลับไม่มีถนน มีเพียงระเบียงทางเดินสภาพทรุดโทรมที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ทอดยาวไปกลางทะเลสาบปี้หู และสิ้นสุดแต่เพียงเท่านั้นราวกับถูกตัดครึ่ง
หยางเซียวล้วงภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ซูหลีหันมอง เห็นสัญลักษณ์หลายจุดอยู่บนนั้น น้ำหมึกยังดูใหม่อยู่ นางเองก็ล้วงภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อเช่นกัน เป็นภาพวาดบ่งบอกตำแหน่งอาคารที่เหมือนกันทุกประการ แต่แผ่นที่อยู่ในมือเขา กลับมีศาลากลางน้ำเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแห่ง ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางทะเลสาบปี้หูอันเวิ้งว้างตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าทะเลสาบแห่งนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่
“รอข้าอยู่นี่” หยางเซียวยัดภาพวาดใส่มือนาง แล้วกระโดดลงไปในทะเลสาบ ก่อนจะว่ายไปยังทิศทางหนึ่งอย่างชำนาญ
ซูหลีก้มหน้ามองภาพวาดในมือ รอบศาลากลางน้ำมีจุดสีแดงเล็กๆ อยู่แปดจุด และหยางเซียวก็กำลังว่ายไปยังตำแหน่งเหล่านั้นอย่างชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี ไม่นาน ผิวน้ำก็กระเพื่อมไหวเสียงดัง กลไกถูกเปิดออก
นางพลันกระจ่างว่าเหตุใดเขาจึงหายหน้าไปทั้งวัน ซ้ำยังปรากฏตัวต่อหน้านางด้วยสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว ที่แท้เขาก็มายืนยันตำแหน่งกลไกของที่นี่ล่วงหน้าก่อนแล้วนี่เอง
………………………………………..