กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 365 บุรุษลึกลับ (3)
เซี่ยฝูอันผู้นี้ ช่างลึกลับยิ่งนัก…
สองวันต่อมา ซูหลีกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในตำหนัก เซี่ยฝูอันก็มาเข้าพบนางที่ตำหนักเซิ่งซิน
“ข้าน้อยคารวะธิดาเทพ!” เขาค้อมกายคารวะนาง สีหน้ายังคงซีดขาวเล็กน้อย แต่ดูกระฉับกระเฉงขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่าวิชาแพทย์ของเจียงหยวนร้ายกาจมากจริงๆ ไม่ถึงสามวัน เขาก็สามารถสะกดพิษเย็นในร่างกายเซี่ยฝูอันได้สำเร็จแล้ว
ซูหลีปิดหนังสือในมือ แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องมากพิธี รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
เซี่ยฝูอันกล่าว “ไม่เป็นไรมากแล้วขอรับ ข้าน้อยกลับมาแข็งแรงเร็วเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะความเมตตาของท่านธิดาเทพ”
ซูหลีกล่าว “ทูตวิญญาณเป็นคนช่วยเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
เซี่ยฝูอันแย้มยิ้ม “ถึงแม้ทูตวิญญาณมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม แต่กลับมีนิสัยเย่อหยิ่ง หากไม่มีคำสั่งของท่านธิดาเทพ เขามีหรือจะยื่นมือเข้าช่วย บุญคุณของท่านธิดาเทพ ข้าน้อยจะจดจำขึ้นใจ”
เขาคล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หลายวันนี้สำนักเมฆาขาวจะออกไปซื้อของ ลูกท้อในคราวนั้น องค์ชายสี่โปรดปรานมาก จะให้ซื้อกลับมาด้วยหรือไม่ขอรับ?”
ซูหลีเงยหน้ามองเขาคล้ายไม่ใส่ใจนัก “นั่นไม่ใช่ลูกท้อธรรมดา”
เซี่ยฝูอันกล่าว “ขอรับ ข้าน้อยได้ยินมาว่านั่นเป็น ‘ไข่มุกนิล’ ที่มีเฉพาะในแคว้นเฉิง นึกไม่ถึงว่าฉินเซิงจะตาดี ออกไปซื้อของครั้งแรกก็ได้ของดีเช่นนี้กลับมาด้วย เขายังนัดหมายกับพ่อค้าแผงลอยผู้นั้น ว่าหากเจ้านายชอบกินจะกลับไปหาเขาอีก”
ซูหลีสะดุดใจ จากที่ฉินเหิงสืบมา พ่อค้าแผงลอยผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย แล้วฉินเซิงจะไปซื้อมาจากที่ใด? อีกทั้งนางยังจำได้แม่น ผู้ที่รับผิดชอบซื้อของในสำนักเมฆาขาวไม่ใช่ฉินเซิง
“ผู้ที่รับหน้าที่ซื้อของในสำนักเมฆาขาวเปลี่ยนคนแล้วหรือ?”
“ผู้รับผิดชอบคนก่อนของสำนักเมฆาขาวเกิดอุบัติเหตุ หัวหน้าสำนักหลินจึงให้ฉินเซิงเป็นผู้ทำหน้าที่แทนขอรับ”
ซูหลีครุ่นคิด พ่อค้าแผงลอยผู้นี้ลึกลับมาก จู่ๆ ก็ปรากฏตัว จากนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ วางแผงขาย ‘ไข่มุกนิล’ ที่ตลาดเพียงครั้งเดียว ก็ถูกฉินเหิงที่ออกไปซื้อของครั้งแรกพบเข้าพอดี ใช่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือไม่ ยามนี้สองแคว้นเปิดศึก สถานการณ์คับขัน ผู้ใดจะกล้าเสี่ยงชีวิต หอบ ‘ไข่มุกนิล’ ไม่กี่จินที่กินได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์แคว้นเฉิงมาขายถึงแคว้นเปี้ยนกัน?
“ท่านธิดาเทพ?” เซี่ยฝูอันเรียกนางอย่างระมัดระวัง
“ในเมื่อองค์ชายสี่โปรดปราน หากเห็นก็ซื้อกลับมาสักหน่อย”
เซี่ยฝูอันรับคำ จากนั้นก็ออกจากตำหนักไป
ซูหลีจ้องผิวทะเลสาบ สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ
“หากคุณหนูกังวลว่าฉินเซิงเป็นคนของเขา มิสู้บ่าวไปทดสอบเขาสักครา” หวั่นซินเสนอความเห็น
ซูหลีนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าไปสำนักเมฆาขาวกับข้าสักครั้ง”
สำนักเมฆาขาวเป็นสำนักที่มีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของลัทธิธิดาเทพ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรายรับรายจ่ายทางการคลัง เช่น การขนส่งทรัพยากร การซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่รับผิดชอบโดยหัวหน้าสำนักหลินเหยา สำนักนี้ตั้งอยู่บนภูเขาลั่วเสีย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแท่นบูชาหลัก เป็นยอดเขาที่สูงและชันที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งแปดลูก
ซูหลีและหวั่นซินเร่งฝีเท้าเดินไปตามเส้นทางลับ ไม่นานก็มาถึงสำนักเมฆาขาว โถงเวยอู่คือสถานที่ทำงานของหัวหน้าสำนักเมฆาขาว ยามปกติประตูใหญ่เปิดกว้างเสมอ วันนี้กลับปิดสนิท
ทั้งสองยังเดินไปไม่ถึงหน้าประตู ก็พลันได้ยินเสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น มีคนถูกตบหน้าอย่างแรง “เจ้าแฝงตัวเข้ามาในลัทธิเรา มีจุดประสงค์ใดกันแน่?”
เสียงของหลินเหยา!
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงหอบหายใจเบาๆ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ มีคนแฝงตัวเข้ามาในลัทธิธิดาเทพงั้นหรือ? ผู้ใดกัน? นางรีบหันไปสบตากับหวั่นซิน ก่อนจะรีบไปซ่อนตัวข้างหน้าต่าง แล้วตั้งใจฟังอย่างละเอียด
หวั่นซินเจาะบานหน้าต่างกระดาษอย่างระมัดระวัง เมื่อมองลอดรูเล็กๆ ก็เห็นหลินเหยานั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด ใบหน้าเหี้ยมเกรียม ด้านล่างมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น คนผู้นั้นตัวเล็กบอบบาง เป็นหญิงสาวนางหนึ่ง แขนของนางถูกมัดไพล่หลัง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจา
“ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ ดี! ฉินเซิง ตัดลิ้นของนางทิ้งเสีย!”
หญิงสาวนางนั้นตกตะลึง ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้า เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์!”
แวบแรกที่ได้ยินเสียงนี้ ซูหลีกับหวั่นซินตกตะลึงไปพร้อมกัน เหตุใดจึงเป็นนาง?!
ฉินเซิงรีบเดินเข้ามาจับตัวหญิงสาวนางนั้น นางดิ้นขัดขืนสุดชีวิต แต่ฉินเซิงตัวสูงใหญ่ นางจะสู้ได้อย่างไร? ฝ่ามือที่กว้างดั่งพัดใบปาล์มตวัดใส่หน้านาง หญิงสาวล้มลงไปทันที ดวงหน้าเล็กๆ บวมแดงไปครึ่งซีก นางหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด ทว่ากลับยังคงเชิดคางสูง ท่าทางเหมือนคนที่ไม่มีทางยอมจำนน นางก็คือโม่เซียง สาวรับใช้ข้างกายของซูหลี!
หลังจากที่ซูหลีนำกลุ่มคนหนีออกจากแคว้นเฉิง ก็มุ่งหน้ามาช่วยคนที่ลัทธิธิดาเทพ โม่เซียงไม่มีวรยุทธ์ ซูหลีจึงให้นางรออยู่ที่จุดนัดหมายแห่งหนึ่งของเฉินเหมิน ปลอดภัยไร้ปัญหามาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงถูกจับตัวมาที่สำนักเมฆาขาวได้เล่า?
“สุราคำนับไม่ยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!” ฉินเซิงบีบคางโม่เซียงแน่นๆ ถมึงตาจ้อง หมายจะงัดปากนาง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงตวาดเย็นชาดังขึ้น พร้อมกับเสียงประตูโถงเวยอู่ที่ถูกซัดจนกระเด็น เศษไม้กระจัดกระจายไปทั่วทิศ พลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งทำให้คนด้านในตื่นตะลึง ต่างพากันผงะถอยไปหลายก้าว
“ผู้ใดบังอาจเช่นนี้ กล้าบุกเข้ามาในสำนักเมฆาขาวของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?” ฉินเซิงตั้งสติได้คนแรก เขาตวาดเสียงเกรี้ยว
ท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวล มีคนสองคนยืนอยู่ตรงทางเข้า คนที่อยู่ด้านหน้าสวมอาภรณ์ขาวดังหิมะ เส้นผมดำขลับดั่งน้ำหมึกปลิวสยาย หน้ากากสีทองส่องประกายวิบวับ ปิดบังใบหน้าของนาง ทว่ากลับมิอาจบดบังราศีน่าเกรงขามของนางไว้ได้ นางก็คือธิดาเทพที่เพิ่งสืบทอดตำแหน่งได้ไม่นานนั่นเอง และสตรีชุดดำข้างกายนางก็คือทูตนารี หัวหน้าแห่งทูตทั้งสี่ของธิดาเทพ!
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ฉินเซิงรีบปล่อยมือจากตัวโม่เซียง เขาก้มหน้าแล้วถอยไปยืนด้านหนึ่ง ส่วนหลินเหยา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงหัวหน้าสำนัก ครั้นเห็นซูหลี แม้จะตกใจ แต่กลับฝืนข่มใจให้นิ่ง เขารีบลุกขึ้นแล้วคารวะ “หลินเหยา หัวหน้าสำนักเมฆาขาวคารวะท่านธิดาเทพ!”
ซูหลีเดินตรงไปนั่งแทนที่ตำแหน่งของเขา นางกวาดมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหยุดจ้องพวงแก้มอันบวมเป่งของโม่เซียง
โม่เซียงน้ำตาคลอเบ้า ครั้นเห็นนางก็ดีใจอย่างยิ่งยวด ตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินเสียงตวาด ‘หยุดเดี๋ยวนี้’ นางก็รู้ว่าตนเองรอดแล้ว ในที่สุดหัวใจก็ผ่อนคลายลง หมายจะอ้าปาก แต่กลับพบว่าหวั่นซินตวัดสายตาดุดันมาที่นาง นางตกใจจนตัวสั่น รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง
ครั้นเห็นซูหลีเอาแต่จ้องสตรีที่คุกเข่าบนพื้น หัวใจของหลินเหยาเต้นรัว เขาก้าวเข้ามาถามอย่างระมัดระวัง “ท่านธิดาเทพมาเยือนถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือขอรับ?”
คิ้วเรียวงามของซูหลีกระดกขึ้น นางหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “หากข้าไม่มาด้วยตนเอง คงไม่รู้ว่าที่แท้หัวหน้าสำนักหลินก็น่าเกรงขามถึงเพียงนี้!”
หลินเหยาสะท้านไปทั้งใจ เขารีบกล่าว “หลินเหยามิกล้า! ฉินเซิงออกไปทำธุระข้างนอก แต่กลับเจอหญิงสาวนางนี้ซ่อนตัวอยู่ในรถขนของ ข้าน้อยไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์ใด ฉะนั้นจึงได้จับนางมาสอบสวนที่นี่ขอรับ”
ซูหลีแค่นหัวเราะ “ข้าเข้าใจมาโดยตลอดว่าสำนักเมฆาขาวมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สิน แล้วนี่รับผิดชอบเรื่องการสอบสวนของสำนักท่องโมราด้วยตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หลินเหยารีบแก้ต่าง “หญิงสาวนางนี้ปิดปากสนิท…”
“ฉะนั้นท่านจึงสั่งให้ตัดลิ้นนาง?” นัยน์ตาของหวั่นซินคมปลาบ นางตวาดเสียงเกรี้ยวอย่างไม่ไว้หน้า “หัวหน้าสำนักหลิน ท่านเข้ามาในลัทธิหลายสิบปี ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสในลัทธิแล้ว ดูแลสำนักเมฆาขาวมาก็ไม่ใช่วันเดียว ยามนี้สำนักเมฆาขาวมีคนแฝงตัวเข้ามา แสดงว่าสำนักเมฆาขาวทำงานหละหลวม ท่านไม่อาจพ้นผิดได้! จับบุคคลน่าสงสัยได้ แต่กลับปิดบังไม่รายงาน สั่งทรมานอย่างลับๆ ผู้ใดมอบอำนาจนี้ให้ท่านงั้นหรือ?”
……………………………………..