กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 378 เดิมพันกับความจริงใจของเขา (1)
ซูหลีหันไปมองหน้าหยางเจิ้น “เสด็จน้า! ท่าน…”
หยางเจิ้นมองฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเลือด เขาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เมื่อครู่จู่ๆ ซูหลีก็พุ่งตัวเข้ามา เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เสวียนฟงตัวปลอมขวางนางไว้ มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับซูหลี เขาจะมีหน้าไปพบพี่สาวที่อยู่ในปรโลกได้อย่างไร?!
“อาหลี เพื่อคนนอกคนหนึ่ง เจ้ากลับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับข้า? ในสายตาเจ้ายังมีน้าคนนี้อยู่หรือไม่?” ใบหน้าของหยางเจิ้นเขียวคล้ำ เขาตวาดถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
ซูหลีฉีกแขนเสื้อข้างหนึ่ง แล้วนำมาพันแผลบนไหล่ของเซี่ยฝูอันแน่นๆ ความเจ็บปวดและความผิดหวังถาโถมหัวใจอย่างรุนแรง นางมองหยางเจิ้นแล้วกล่าวตัดพ้อ “สายสัมพันธ์ครอบครัวตัดกันไม่ขาด พระองค์เป็นเสด็จน้าของหม่อมฉัน เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ทว่า หม่อมฉันจำต้องแยกแยะผิดถูกอย่างเป็นธรรม! เซี่ยฝูอันฟังคำสั่งของหม่อมฉัน หากเสด็จน้าจำต้องสังหารคนเพื่อปิดปาก เช่นนั้นแม้แต่หม่อมฉันก็ไม่อาจละเว้นใช่หรือไม่เพคะ?”
นัยน์ตาดำขลับสะท้อนความเจ็บปวดในใจของนางออกมาอย่างชัดเจน สายตาเช่นนั้น ทำให้หยางเจิ้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่พี่สาวถูกพาตัวไป เจ็บปวดโศกเศร้าจนยากบรรยาย หัวใจของเขาสั่นไหวและอ่อนยวบลงเล็กน้อย ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เขาตวาดเสียงแข็ง “เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน? เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของพี่สาวที่เหลืออยู่ น้าจะทำร้ายเจ้าได้เช่นไร!”
สายตาของซูหลีไหวสั่นเล็กน้อย นางไม่พูดอะไร
หยางเจิ้นพลันทอดถอนใจ กล่าวว่า “อาหลี เรื่องราวทุกอย่างในโลกนี้ย่อมมีเหตุและผลของมัน หากยามนั้นมารดาเจ้าไปไม่จากไป น้าก็คง…” ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไป ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ “อาหลี มารดาเจ้าไม่อยู่แล้ว บนโลกใบนี้ ข้าต่างหากที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเจ้า! ขอเพียงเจ้ากับข้าร่วมมือกัน ไม่มีผู้ใดทำอะไรเราได้!” พูดถึงประโยคสุดท้าย สายตาของเขาก็ปรากฏแววคาดหวัง กลั้นหายใจรอคำตอบของนาง
ซูหลีกลับกล่าวว่า “เสด็จน้า หม่อมฉันไม่เคยเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แล้ว แต่หากเรื่องที่พระองค์กระทำขัดต่อความยุติธรรม อาหลีไม่มีวันเห็นด้วยเด็ดขาด”
ผิดหรือถูก คดงอหรือเที่ยงตรง เรื่องนี้เหล่านี้นางจะไม่มีวันปล่อยให้ตนเองสับสนมัวเมาเด็ดขาด
“เรื่องในวันนี้ หม่อมฉัน…จะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เพียงหวังว่าภายหน้าเสด็จน้าจะใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก่อนกระทำสิ่งใด อย่าทำให้อาหลีลำบากใจอีกเลย!” น้ำเสียงของนางหนักแน่น ความหมายชัดเจน ไม่เหลือช่องว่างให้เจรจาต่อรอง
หัวใจของหยางเจิ้นค่อยๆ จมดิ่งและหนักอึ้ง ความหวังและความอบอุ่นในใจ คล้ายค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับท่าทางหนักแน่นเด็ดเดี่ยวของนาง เขาจ้องมองนาง สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหินห่าง เหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หมุนกายหมายจะลงจากเขา
“เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว จะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นได้เช่นไร?!” เสียงเกียจคร้าน ทว่าฟังดูเย็นยะเยียบเสียงหนึ่งพลันดังมาจากเบื้องหลังของคนทั้งสาม
ใบหน้าของทั้งสามคนพลันแปรเปลี่ยน รีบหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงคนผู้หนึ่งกำลังเยื้องย่างลงมาจากโขดหินสูงชันที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งอย่างแช่มช้า เงาร่างของเขาสูงใหญ่ เครื่องหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มขี้เล่น ภายใต้แสงอาทิตย์ อาภรณ์สีแดงเพลิงของเขาแดงฉานดั่งสีของโลหิต พาให้ผู้พบเห็นตกตะลึง และสัมผัสได้ถึงลางร้ายทันที
ซูหลีตกใจ ลอบตึงเครียดในใจ หยางเซียวมาได้อย่างไรกัน? ยังไม่ทันเปิดปาก หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี ตวัดสายตามองมาที่นาง ความเจ็บปวดและความโกรธแค้นปะปนกัน เขาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “อาหลี! เจ้าถึงขั้นร่วมมือกับคนนอกวางอุบายเล่นงานข้า เจ้าช่างเป็นหลานสาวที่ดีของน้ายิ่งนัก!”
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ยากจะเปิดปากอธิบาย นางหันไปมองหยางเซียว น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ท่านสะกดรอยตามข้า?!”
หยางเซียวค่อยๆ หันมามองนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกัน สะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังในใจ “เจ้าบอกว่าสืบได้ความแล้วจะบอกข้า แต่เจ้ากลับไม่บอก! เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าจะปล่อยเขาไป ตั้งใจจะให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้งั้นหรือ?”
ซูหลีกล่าว “แล้วท่านจะทำเช่นไร?”
หยางเซียวไม่ตอบ หันไปมองหยางเจิ้นด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “โขดหินเชียนเตี๋ยทิวทัศน์ไม่เลว ในเมื่อเสด็จอาเสด็จมาถึงที่นี่แล้ว จะรีบจากไปไยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเผยอยิ้มเล็กน้อย สายตากลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เขาสาวเท้าช้าๆ เดินไปขวางทางลงเขาพอดี
ไอเหี้ยมเกรียมพาดผ่านใบหน้าหยางเจิ้น เขาหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ข้าอยากไปก็จะไป อยากอยู่ก็จะอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ลูกหลานเช่นเจ้ามาตัดสินใจแทน”
“ที่แท้เสด็จอาก็ยังจำฐานะตนเองได้! หม่อมฉันนึกว่าในสายตาของเสด็จอามีแต่การแย่งชิงบัลลังก์ จนลืมไปแล้วว่าครอบครัวคืออะไร!” รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางเซียวจางหายไปทันที สายตาคมปลาบดั่งมีดตวัดมองเสด็จอาที่เขาเคยเคารพรักในอดีต วาจาที่กล่าวออกมาแต่ละคำล้วนเชือดเฉือนแทงใจ
บรรยากาศรอบกายพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
ใบหน้าของหยางเจิ้นเรียบเฉยไร้อารมณ์ มองดูหยางเซียวที่สาวเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มิอาจปกปิดไอสังหารที่อยู่ในดวงตา
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องใดอยู่!”
“เสด็จอาจะแสร้งทำเลอะเลือนหรือพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเซียวยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ดี! เช่นนั้นหม่อมฉันจะกล่าวให้กระจ่างสักหน่อย! เสด็จอาสั่งให้เสวียนฟงวางยาพิษหม่อมฉัน จากนั้นก็โยนความผิดให้เสวียนฟง แล้วลอบส่งสารให้เสด็จพ่อรู้เรื่องที่หม่อมฉันถูกวางยาจนตาย เสด็จอารู้ว่าตลอดมาเสด็จพ่อรักหม่อมฉันมากที่สุด หากเสด็จพ่อรู้ว่าเกิดเรื่องกับหม่อมฉัน จะต้องปวดใจมากแน่นอน พักนี้พระวรกายของเสด็จพ่อไม่สู้ดีอยู่แล้ว หากเศร้าโศกเกินไปยากจะเลี่ยงไม่ให้อาการประชวรกำเริบหนัก ครั้นถึงเวลานั้นเสด็จอาก็จะฉวยโอกาสชิงบัลลังก์…”
“เหลวไหลทั้งเพ!” ไม่รอให้เขาพูดจบ หยางเจิ้นตวาดตัดบทด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ เส้นเอ็นบนหน้าผากนูนเด่น เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างขึ้งเคียด “ไร้หลักฐานพยาน คาดเดาส่งเดช เห็นแก่ที่เจ้ายังเด็ก ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาเจ้า หลีกไป!”
“เรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว เสด็จอายังไม่ยอมรับอีกหรือ?!” หยางเซียวปวดใจยิ่งกว่าเดิม เขาสาวเท้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าว กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “เสด็จอารีบกลับวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับหม่อมฉันดีกว่า!”
หยางเจิ้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ข้ายังมีเรื่องต้องไปสะสางที่จวน ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า” เอ่ยจบเขาก็สาวเท้าหมายจะเดินจากไป หยางเซียวยกมือขึ้นขวางเขา ไม่ยอมหลีกแม้แต่ก้าวเดียว
ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ไอพิโรธแผ่กำจายรอบตัว สถานการณ์พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
ซูหลีตึงเครียด เดิมที นางเพียงต้องการสืบหาตัวผู้บงการเบื้องหลังก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้! ขณะที่นางกำลังร้อนรน เสียงของเซี่ยฝูอันก็ดังขึ้นที่ข้างหูนางเบาๆ “คิดหาทางให้เซียวอ๋องออกไปจากที่นี่ก่อน”
ครั้นซูหลีหันไปมอง เซี่ยฝูอันที่อยู่ข้างหลังกลับมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนประโยคเมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากปากเขา
หัวใจนางสะดุดเล็กน้อย วิชาพรายกระซิบ! เซี่ยฝูอันมีวิชานี้ด้วยหรือ?
ทางนั้น อาหลานมองหน้ากันด้วยความเคียดแค้นอยู่เนิ่นนาน หยางเซียวโกรธจนมือสั่น ใกล้จะควบคุมตนเองไม่ได้ ซูหลีไม่มีเวลาคิด รีบเดินเข้าไปคว้าแขนเขา
“หยางเซียว ท่านอย่าวู่วาม!”
หยางเซียวขอบตาแดงก่ำ เขาเอ่ยเตือนเสียงลอดไรฟัน “เรื่องนี้เจ้าอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า!”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในแท่นบูชาหลัก ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร?” สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย มือที่จับแขนหยางเซียวไว้เพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหลายส่วน นางกล่าวเสียงเย็นชา “พวกท่านคนหนึ่งเป็นเสด็จอา ในมือมีอำนาจทหาร กุมกำลังทหารของแคว้น อีกคนหนึ่งมีศักดิ์เป็นองค์ชาย จะกระทำการวู่วามไม่ได้เด็ดขาด! มิเช่นนั้นหากเกิดความขัดแย้งภายใน ภายหน้าไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาโจมตี พวกเราก็ย่อยยับกันเองแล้ว!”
ครั้นได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าของหยางเซียวสะดุดเล็กน้อย ยามนี้สงครามที่ชายแดนสงบลงชั่วคราว แต่ทหารหลายแสนนายของแคว้นเฉิงยังไม่ถอยทัพ ยังคงจ้องรอโอกาสที่จะบุกโจมตีอีกครั้งทุกเมื่อ หยางเจิ้นมีอำนาจทหารอยู่ในมือ มีประสบการณ์การรบที่ยอดเยี่ยม การก่อความขัดแย้งภายในในเวลานี้มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดจริงๆ แต่ว่า…จะให้ปล่อยคนที่ทำร้ายเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ เขาจะยอมได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เกรงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของหยางเจิ้นจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้!
………………………