กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 382 รักลึกซึ้งปานใดกันแน่? (2)
ดวงตาเย็นชาเหินห่างของนาง ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว ช่วงเวลาที่แฝงตัวเข้ามาในลัทธิธิดาเทพ เขาปลอมตัวเป็นเซี่ยฝูอันเฝ้ามองนางอยู่ตลอดเวลา แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ล้วนบ่งบอกเขาว่านางก็คือซูหลี! ตอนนั้นยามที่ฮูเอ่อร์ตูไปเยือนแคว้นเฉิงเขาบอกว่านางเป็นคนรู้จัก และทำทุกวิถีทางเพื่อสืบค้นประวัติของนาง ยามนี้นางมาถึงแคว้นเปี้ยน หยางเจิ้นก็มีหลานสาวเพิ่มมาหนึ่งคน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
แล้วยังมีท่าทีของหยางเซียวที่มีต่อนาง และที่หยางเจิ้นเรียกนางว่าอาหลีอีก…
ตงฟางเจ๋อหลับตาลงเบาๆ เขาหวังว่านางจะยอมรับว่าตนเองคือซูหลี ยอมรับว่านางยังไม่ตาย แต่เรือนร่างผอมบาง และดวงตาเย็นชาของสตรีตรงหน้า ทำให้คำพูดทั้งหมดของเขาติดอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้สักคำ
“กินข้าวเถิด อาหารเย็นหมดแล้ว” เงียบงันไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ปล่อยนาง แล้วพานางไปนั่งเก้าอี้ พร้อมกับกล่าวประโยคเรียบง่ายออกมา ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ซูหลีอึ้งงัน เมื่อครู่นางเห็นอารมณ์อันพลุ่งพล่านในสายตาเขาอย่างชัดเจน คล้ายมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด แต่พริบตาเดียวกลับเหลือเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว? เขาทำทุกวิถีทางเพื่อแฝงตัวมาอยู่ข้างกายนาง พยายามเข้าหาและหยั่งเชิงนางครั้งแล้วครั้งเล่า เดาว่าคงได้เบาะแสอะไรไปบ้างแล้ว แต่เหตุใดไม่เอาเรื่องเหล่านั้นมาเค้นถามนางเล่า? ตรงกันข้ามกลับปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้!
ซูหลีประหลาดใจเล็กน้อย ลอบสงสัยในใจ นางเบิกตากว้าง มองดูข้าวและอาหารที่เขาบรรจงตักและจัดวางให้นาง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นตงฟางเจ๋อ แต่ยามนี้เมื่อรู้แล้วมองดูพฤติกรรมเหล่านี้ของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกนับพันนับหมื่นประดังประเดเข้ามาในหัวใจนางอย่างบอกไม่ถูก
กษัตริย์แห่งแคว้น เหตุใดจึงต้องลดเกียรติถึงเพียงนี้ด้วย?
ตงฟางเจ๋อยื่นถ้วยและตะเกียบใส่มือนาง ใบหน้าอ่อนโยนกว่าปกติ เขากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ตลอดชีวิตนี้ของข้า เคยเข้าครัวทำกับข้าวให้สตรีเพียงสองนางเท่านั้น อย่าให้เสียเปล่าเล่า”
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว เรื่องราวมากมายในอดีตพรั่งพรูในหัวใจอย่างมิอาจควบคุม ยิ่งเป็นอดีตที่งดงามเพียงใด ก็ยิ่งทรมานเท่านั้นเมื่อหวนนึกถึงอีกครั้ง นิ้วมือของซูหลีที่กำตะเกียบเงินสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม กลิ่นอายของเขาลอยฟุ้งอยู่รอบกาย สมองหวนนึกถึงความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเขา ความทรงจำที่หอมหวานและขมขื่นฉุดกระชากจิตวิญญาณของนาง ทำให้นางเจ็บปวดหายจนหายใจไม่ออก ดวงตาที่มองเขาพลันพร่าเลือนไม่ชัดเจน นางรีบวางถ้วยลง ลุกขึ้นหมายจะเดินหนีไป
ยังเดินออกไปไม่ถึงสองก้าว กลับถูกเขากอดแน่น นางดิ้นขัดขืน พลันรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่เขา กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยคลุ้งกลางอากาศ ลมหายใจของนางสะดุด ร่างกายแข็งค้างไปชั่วขณะ
“จำได้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร?” จู่ๆ เขาก็กระซิบถามเสียงเบาข้างหูนาง
นับตั้งแต่ออกจากแคว้นเฉิงมา ชีวิตของนางก็ไร้ซึ่งความหวังและความกระตือรือร้นใดๆ อีก นางไม่ค่อยใส่ใจเรื่องวันเวลามากนัก ครั้นเขาถามเช่นนี้ นางจึงนิ่งอึ้งไป และเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ห้าเดือนแปด!
วันนี้เมื่อหนึ่งปีก่อน เป็นวันคล้ายวันเกิดของเขา เป็นวันที่นางไปเซ่นไหว้เหลียงกุ้ยเฟยที่สุสานประจำราชวงศ์เฉิงกับเขาเป็นครั้งแรก เป็นวันที่นางได้ลิ้มลองขนมที่เขาทำเองกับมือเป็นครั้งแรก เป็นวันที่นางลุ่มหลงไปกับจูบอันอบอุ่นและหอมหวานของเขาเป็นครั้งแรก และเป็นวันที่…นางตระหนักได้อย่างแท้จริงว่านางชอบเขา
วันเวลาไม่มีวันหยุดเดินเพื่อใคร พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ความหอมหวานที่ชวนให้ใจเต้นรัวในอดีต ความคาดหวังอันเลือนราง ยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทว่าพริบตาเดียว เขากับนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีทางหวนกลับไปเป็นเช่นในอดีตได้อีกแล้ว
ซูหลีหลับตาลงอย่างโศกเศร้า เสียงของเขาดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง “ข้าอยากขอของขวัญจากเจ้าสักชิ้น”
ของขวัญ? หัวใจของซูหลีสั่นไหวเบาๆ นึกถึงจูบนั้นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ นางยังไม่ทันปฏิเสธ เขาก็จับตัวนางให้หันกลับมา แล้วก้มหน้าประทับจูบลงมาอย่างรวดเร็ว…
เขารวดเร็วปานนี้ นางแทบตั้งตัวไม่ทัน ลมหายใจถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายอันคุ้นเคยของเขา ซูหลีรู้สึกสมองขาวโพลนไปหมด ความทรงจำอันอบอุ่นในอดีตเหมือนดั่งกระแสน้ำท่วมที่ล้นเขื่อนมากลืนกินนางจนจมมิด นางจำได้ว่าคืนนั้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ดาวตกเหมือนสายฝน สายลมยามราตรีชวนมัวเมา เขากับนางโอบกอดและจุมพิตกันและกันภายใต้แสงจันทร์ ลุ่มหลงในกลิ่นอายของอีกฝ่าย สัมผัสเสียงหัวใจเต้นที่พวกเขาสร้างให้กับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย! รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า หลอมละลายเสี้ยววินาทีนั้นให้กลายเป็นความทรงจำที่คงอยู่ไปตลอดกาล
เขาเคยบอกว่านั่นเป็นของขวัญที่สวยงามที่สุดที่เคยได้รับ…
“พวกเจ้า…กำลังทำอะไรกันอยู่?!” ทันใดนั้น เสียงตวาดด้วยความตกตะลึงพลันดังเข้ามาจากข้างนอก หยางเซียวเบิกตากว้าง ยืนอยู่หน้าประตู มองดูชายหญิงที่กำลังกอดจูบกันอย่างใกล้ชิด พูดอะไรไม่ออก
ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ความทรงจำทั้งหมดเลือนหายไปจากสมองในพริบตา นางรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว งับกลีบปากของเขาและกัดสุดแรง ก่อนจะผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว
กลิ่นคาวเลือดกระจายเต็มปาก นางโกรธจนตัวสั่น เขากลับจ้องดวงตาโกรธขึ้งของนางแน่นิ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา
สายตาของหยางเซียวขึ้งเคียดจนน่าตกใจ ไอสังหารเย็นเยียบแผ่กำจายรอบตัว นิ้วมืองอเข้าหากันเหมือนตะขอเหล็ก ก่อนจะพุ่งตะปบไปที่ลำคอเขา
ซูหลีตกตะลึง นางเห็นไอเย็นพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ มือของหยางเซียวใกล้จะถึงตัวเขาแล้ว แต่เขากลับไม่หลบหลีก ซูหลีกระชากหยางเซียวออกมา แล้วตวัดฝ่ามือตบตงฟางเจ๋ออย่างแรง!
เสียง ‘เพียะ’ ดังสนั่น ทุกคนที่อยู่ทั้งนอกและในห้องต่างพากันอึ้งงัน
ตงฟางเจ๋อเงยหน้าช้าๆ รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏเด่นชัดบนใบหน้า เขาไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิด เพียงจ้องหน้านางด้วยความตกใจ สายตาเจ็บปวดและสับสน ไม่พูดอะไรสักคำ
เขาเป็นถึงกษัตริย์แห่งแคว้น แต่กลับถูกตบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดเลยสักครั้งตั้งแต่เด็กจนโต! ซูหลีลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงเจ็บและชาตรงฝ่ามือ นางตำหนิเขาเสียงดัง “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงขั้นกล้าลบหลู่ข้า! ผู้ใดอยู่ข้างนอก!”
หวั่นซินรีบเข้ามา “เจ้าค่ะ”
“เซี่ยฝูอันกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา รีบนำตัวเขาไปขังในห้องลับ รอฟังคำตัดสิน! หากไม่มีคำสั่งของข้า ก็ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เขาเด็ดขาด!” เอ่ยจบนางก็สูดหายใจลึกๆ สะบัดแขนเสื้อแล้วยืนหันหลัง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางพลันนึกถึงวันที่ตนเองถูกตงฟางเจ๋อสั่งกักบริเวณในสวนต้องห้าม จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า เหตุการณ์ในวันนั้นกับวันนี้มีความคล้ายคลึงกันในบางด้านอย่างบอกไม่ถูก
“ผู้ดูแลเซี่ย เชิญ” หวั่นซินจ้องหน้าเขาอย่างเฉยชา น้ำเสียงยังคงไว้ซึ่งความเกรงใจหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เขาออกจากห้องนี้ไปอย่างเงียบงัน ก่อนออกไป เขาหันกลับมามองแผ่นหลังของนางอย่างลึกซึ้ง รอยยิ้มข่มขื่นและเย้นหยันตนเองพาดผ่านหางตาของเขา
ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทั้งด้านในและด้านนอก แสงจันทร์และแสงเทียนหล่อหลอมจนแยกไม่ออก รอบกายเงียบงันไร้สรรพเสียง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ซูหลีจึงค่อยสงบจิตใจได้บ้าง นางหันกลับมา เห็นเพียงหยางเซียวจ้องมองทิศทางที่ตงฟางเจ๋อเดินจากไปเงียบๆ สายตาฉายแววสงสัย คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ซูหลีถาม “ท่านกำลังมองสิ่งใด?”
สายตาของหยางเซียวไหวระริก จู่ๆ ก็หันกลับมาแล้วยิ้มให้นาง “เจ้ารู้สึกหรือไม่ ว่าแผ่นหลังของเขาเหมือนคนผู้หนึ่งมาก?”
ซูหลีตกใจ เงยหน้ามองเขา แม้เขากำลังยิ้ม แต่สายตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม ท่าทางเขาเหมือนไม่ค่อยจริงจัง แต่นางกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายามนี้เขาจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้ง แววหยั่งเชิงในดวงตาเขาคล้ายต้องการมองทะลุความคิดนาง ซูหลีอดใจเต้นเร็วไม่ได้ ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นหรือ? เซี่ยฝูอันก็คือเซี่ยฝูอัน ยังจะคล้ายผู้ใดได้อีก?”
“เจ้าดูไม่ออกหรือ?” หยางเซียวเอียงคอมองหน้านาง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ เขายิ้มแล้วกล่าวอีกครั้งว่า “ด้วยวรยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจฉวยโอกาสกับเจ้าได้ง่ายๆ หากเจ้าไม่ได้เห็น
เขาเป็นอีกคน ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเข้าใกล้เจ้าได้!”
………………………………….