กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 383 รักลึกซึ้งปานใดกันแน่? (3)
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย นางไม่พูดอะไร สายลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเข้ามาในหน้าต่าง แสงเทียนตรงหน้าไหวกระเพื่อมเบาๆ แสงที่สะท้อนในดวงตานางเลือนรางไม่ชัดเจน
หัวใจของหยางเซียวเต้นรัว เขาหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้ชอบเจ้านั่นเพียงเพราะเขามีแผ่นหลังที่คล้ายกันหรอกกระมัง? เจ้ารีบสั่งขังเขาเช่นนี้ เพราะกลัวข้าจะทำร้ายเขาใช่หรือไม่?”
เขาสาวเท้าเข้ามาตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเด่นชัดขึ้นทันใด
ซูหลีเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา นางดูเหมือนใจเย็นมาก ในดวงตานอกจากความเย็นชาก็ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์อื่นใด แต่หยางเซียวกลับรู้สึกว่าหัวใจของนางไม่สงบดังเช่นที่เห็นภายนอก จู่ๆ เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แค่แผ่นหลังที่คล้ายกัน เจ้าก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษแล้ว วันหลังข้าจะสั่งให้คนทำหน้ากากเลียนแบบใบหน้าของเขา แล้วใส่ต่อหน้าเจ้าทุกวัน เช่นนั้นเจ้าจะอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่เล่า?”
ซูหลีไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเขามีความหมายอื่นแฝงอยู่หรือไม่ สายตาที่นางมองเขาเย็นชาลงทีละน้อยๆ “พูดจาเหลวไหลอันใดกัน? หากข้าอยากแต่งงานกับเขา จะระหกระเหินมาถึงแคว้นเปี้ยนทำไมกัน?!”
แม้ใบหน้ากำลังคลี่ยิ้ม แต่หัวใจของหยางเซียวกลับหนักอึ้ง ตงฟางเจ๋อยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับนาง ที่ไม่อาจพูดถึงและแตะต้องได้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหน้าออกไปทางอื่น คลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้ากลับจริงจังเสียแล้ว!”
ซูหลีทำหน้าตึงเครียด ไม่พูดไม่จา หยางเซียวดึงนางไปนั่งลงข้างโต๊ะ กวาดตามองอาหารที่เย็นชืดบนโต๊ะ สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย เขาหันมายิ้มให้นาง แล้วกล่าวว่า “มาๆๆ กินข้าวกับข้าหน่อย ข้าหิวจะตายแล้ว” พูดจบก็เดินไปหยิบถ้วยและตะเกียบ
ใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบร้องห้ามเขา “ข้าจะสั่งให้ห้องครัวทำอาหารให้ท่านใหม่ อาหารพวกนี้เย็นหมดแล้ว” เอ่ยจบก็เรียกโม่เซียงเข้ามา แล้วสั่งให้นางเก็บอาหารบนโต๊ะออกไป
หยางเซียวรีบร้องห้าม “อย่าเลย อาหารพวกนี้ดูน่ากินยิ่งนัก ยามข้าช่วยเสด็จพ่ออ่านฎีกาอยู่ในวังก็กินอาหารเย็นๆ มาไม่น้อย แค่นี้เล็กน้อย! ข้าจะกินอาหารเหล่านี้แหละ”
ซูหลีเห็นท่าไม่ดี อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารฝีมือตงฟางเจ๋อทั้งสิ้น หยางเซียวเคยอาศัยอยู่ในแคว้นเฉิงช่วงหนึ่ง หากเขากินจริงๆ จะต้องรู้แน่นอนว่าอาหารเหล่านี้เป็นอาหารพื้นเมืองของแคว้นเฉิง มิใช่อาหารที่ชาวเปี้ยนจะสามารถฝึกฝนและทำเป็นในเวลาสั้นๆ
ครั้นเห็นเขาหยิบตะเกียบคีบอาหาร สายตาของนางตึงเครียด รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ค่อยๆ กินเถิด อาหารที่เย็นชืดแล้วแม้จะอร่อยเพียงใด ข้าก็ไม่สนใจใคร่ลิ้มลอง” เอ่ยจบ นางก็สาวเท้าหมายจะเดินจากไป
หยางเซียวหน้าง้ำทันที รีบวางตะเกียบแล้วร้องห้ามนาง “อย่าเพิ่งไปสิ เจ้าอย่าเพิ่งไป ถ้าเจ้าไป ข้าคนเดียวกินอะไรก็ไม่อร่อย…ก็ได้ๆๆ ข้าจะเชื่อฟังเจ้า ผู้ใดอยู่ข้างนอก เก็บอาหารบนโต๊ะแล้วทำอาหารชุดใหม่มาให้พวกข้า”
ครึ่งชั่วยามต่อมา อาหารชุดใหม่ก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอีกครั้ง ควันร้อนลอยคลุ้ง หยางเซียวตักข้าวและอาหารให้นาง เดิมซูหลีก็ไม่ได้อยากอาหารเท่าใดนัก แต่ก็จำต้องฝืนกินหลายคำ ส่วนหยางเซียวที่เมื่อครู่โวยวายว่าหิวแทบตาย กลับไม่ได้กินมากไปกว่านางสักเท่าใด
ค่ำนี้ เขาชวนซูหลีพูดคุยและหัวเราะมากมาย ไม่เอ่ยถึงเรื่องผิดใจกันเมื่อตอนกลางวันสักคำ เหตุการณ์ที่เห็นเมื่อตอนหัวค่ำ เขาก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาเอาแต่พูดไม่หยุด ไม่สนใจว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองหรือไม่ เขาเอาแต่หยอกล้อให้นางเบิกบานใจ คล้ายต้องการครอบครองหัวใจและความคิดของนาง ทำให้ในสายตานางมีแต่เขาเพียงผู้เดียว ไม่เหลือเวลาให้คิดถึงคนอื่น
ซูหลีพยายามอดทนมาโดยตลอด แม้พูดน้อย แต่กลับไม่ไล่เขาไป กระทั่งเลยยามสาม[1]ไปแล้ว แม้แต่หน้ากากสองชั้นที่นางสวมใส่อยู่ก็มิอาจปิดบังความเหนื่อยล้าทั้งกายของนางไว้ได้ หยางเซียวจึงยอมปล่อยให้นางกลับไปพักผ่อนอย่างอาลัยอาวรณ์
ขณะมองดูเงาร่างของนางค่อยๆ หายลับไปจากครรลองสายตา รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน หัวใจของนางไม่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเขาจะพยายามทำให้นางมีความสุขอีกสักเท่าใด ก็ยังส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของนางได้มิสู้แผ่นหลังของคนผู้หนึ่ง!
สายลมหนาวระลอกหนึ่งพลันพัดเข้ามาจากนอกห้อง แสงเทียนกระเพื่อมไหวอย่างแรง ก่อนจะดับไป ภายในห้องเข้าสู่ความมืดมิดและความเงียบงัน แสงจันทร์สีเงินยวงที่แลดูหนาวเหน็บตรงประตูทางเข้าสะท้อนอยู่ที่หางตาเขา แลดูอ้างว้าง และเต็มไปด้วยความจนใจ
เขานั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน บางครั้ง เขาก็เงียบสงบได้ถึงเพียงนี้
ห้องนอนของธิดาเทพในยามนี้กลับสว่างจ้า เงาร่างหลายสายมารวมตัวกัน
หวั่นซินรออยู่ในห้องแต่แรกแล้ว เซี่ยงหลี เจียงหยวน และฉินเหิงล้วนอยู่ครบ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา สีหน้าดูหนักอึ้ง ยามนี้พวกเขาสี่คนแบ่งหน้าที่กันดูแลแปดสำนักย่อย ในแท่นบูชาหลักมีผู้ลักลอบแฝงตัวเข้ามาอย่างลับๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะไม่ให้หนักใจได้อย่างไรกันเล่า
ครั้นเห็นซูหลีเดินเข้ามา ทั้งสี่ก็รีบค้อมกายคารวะ หวั่นซินถามอย่างเป็นห่วง “คุณหนูเจ้าคะ องค์ชายสี่ยังดูไม่ออกกระมัง?”
ซูหลีส่ายหน้า นางนวดหัวคิ้วเบาๆ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คนที่นางห่วงไม่ใช่หยางเซียว แต่เป็นตงฟางเจ๋อผู้ที่จะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ครั้งที่แล้วนางพยายามทำทุกทางเพื่อส่งตัวเขาออกไป เขาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้นแต่กลับยังแฝงตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วเช่นนี้อีก ความหมกมุ่นที่เขามีต่อนางเกินระดับปกติไปแล้ว
“เรื่องนี้สำคัญยิ่ง รีบตามหาตัวพวกเซิ่งฉิน แล้วพามาพบข้าโดยเร็วที่สุด” ซูหลีขมวดคิ้วกำชับอย่างตึงเครียด หากตงฟางเจ๋ออยู่ที่นี่ พวกนั้นก็ต้องแฝงตัวอยู่ในทุกซอกมุมของลัทธิธิดาเทพอย่างแน่นอน นางครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เริ่มสืบหาจากสำนักเมฆาขาวก่อน”
สำนักเมฆาขาวอยู่ในการดูแลของเซี่ยงหลี เซี่ยงหลีประหลาดใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงสั่งให้เริ่มสืบจากตรงนี้ หวั่นซินพลันกระจ่าง “หรือเรื่องของโม่เซียงในครั้งที่แล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?”
บนโลกใบนี้มีเรื่องบังเอิญมากมายถึงเพียงนั้นเสียที่ไหน จะต้องเป็นเขารู้ข่าวก่อน แล้วจงใจเอ่ยถึงเรื่อง ‘ไข่มุกนิล’ ต่อหน้านาง ทำให้นางเกิดสงสัยขึ้นมา จึงได้ไปช่วยโม่เซียงที่สำนักเมฆาขาวได้ทันเวลา ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย อารมณ์สับสนวุ่นวายถูกปกปิดไว้ใต้แพขนตายาวๆ ของนาง นางกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าอีกครั้งว่า “ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องสืบหา”
“สำนักจันทร์เสี้ยว!” หวั่นซิน เซี่ยงหลี และเจียงหยวนแทบจะร้องออกมาพร้อมกัน มีเพียงฉินเหิงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องด้วย ได้แต่มองพวกเขาอย่างประหลาดใจ
เซี่ยงหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “สำนักจันทร์เสี้ยวรับผิดชอบการปรุงยาพิษทั้งหมดภายในลัทธิธิดาเทพ หากเขาต้องการพาตัวเจ้าสำนักไป จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหายาแก้พิษยาไร้รักแน่นอน”
“ถูกต้องแล้ว” เจียงหยวนพยักหน้า ทว่าไม่นานกลับส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “น่าเสียดายที่ยาไร้รักมิใช่ยาพิษธรรมดา ถึงแม้มียาแก้พิษจริง ก็อาจไม่ได้อยู่ในสำนักจันทร์เสี้ยว”
นัยน์ตาของหวั่นซินหม่นหมองลง นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็เริ่มสืบจากสำนักเมฆาขาวและสำนักจันทร์เสี้ยวกันก่อนเถิด ยามนี้เขาถูกขัง พวกนั้นจะต้องร้อนรนมากแน่นอน คงสืบได้ไม่ยาก ขอเพียงอย่าให้ถูกองค์ชายสี่จับได้ก็พอ”
เจียงหยวนกล่าวว่า “เรื่องนี้จำต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด ห้องลับเป็นสถานที่ที่มืดและอับชื้น กระตุ้นให้พิษเย็นในกายกำเริบได้ง่ายที่สุด”
นัยน์ตาของซูหลีสั่นไหว พิษเย็น…
“พูดถึงพิษเย็น ที่เขาบอกว่านอนล้มอยู่บนพื้นน้ำแข็งสามวันสามคืนจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ แท้จริงแล้วคงได้รับพิษเย็นจากแม่น้ำหลานชางกระมัง?!” เซี่ยงหลีพูดคล้ายฉงนฉงายมาก แต่สายตากลับแอบชำเลืองมองซูหลีเงียบๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าฉินเหิงตลอดชีวิตนี้ไม่ค่อยเลื่อมใสผู้ใดนัก แต่ข้าเลื่อมใสเขามาก! นึกย้อนไปถึงตอนนั้น เพื่อรอรับเจ้าสำนัก พวกเราแช่อยู่ในน้ำเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็หนาวจนมือไม้แข็งไปหมดแล้ว นึกไม่ถึงเพื่อตามหาเจ้าสำนัก เขากลับอยู่ในนั้นถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน! ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”
ไม่รู้ว่าต้องมีจิตตั้งมั่นเพียงใด จึงจะสามารถงมหาคนในน้ำที่เย็นขนาดนั้นอยู่เจ็ดวันโดยที่ยังไม่ตายได้…
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง ตลอดมา นางนึกว่าขอเพียงไม่ฟัง ไม่คิดถึง และไม่เผชิญหน้า ความทรงจำเหล่านั้นก็จะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา แต่นางกลับนึกไม่ถึงว่า ความรู้สึกที่เคยสลักลึกลงในใจได้หล่อหลอมเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูกของนางแล้ว เมื่อใดที่มีโอกาส มันก็จะปรากฏตัวอย่างเงียบงัน และจู่โจมหัวใจนางอย่างไม่ทันตั้งตัว
…………………………………