กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 402 ยังคงเป็นเขา?! (2)
“บ้าจริง!” เขาตกใจจนเหงื่อท่วมตัว รีบกอดนางแน่นๆ พยายามควบคุมแรงปรารถนาอันรุนแรง นึกเสียใจที่เสียสติไปชั่วขณะ จนลืมไปว่าในร่างกายของนางยังมีพิษไร้รักอยู่!
เขารีบยกมือทาบหน้าอกนางแล้วถ่ายทอดกำลังภายในเพื่อบรรเทาอาการเจ็บให้นาง เม็ดเหงื่อซึมบนหน้าผากซูหลี ความเจ็บปวดค่อยๆ บรรเทาลง นางได้สติกลับคืนมาในที่สุด แต่กลับค้นพบว่าตนเองเอนกายอยู่บนเตียงในสวนเซียนจวี้! เช่นนั้น…บุรุษตรงหน้า ก็ไม่ใช่ภาพลวงตางั้นหรือ?!
“ท่าน…ท่าน…ท่านคือตัวจริง…” ซูหลีเบิกตาจ้องหน้าเขา เสียงแหบพร่าเล็กน้อย
ใบหน้านางซีดขาวเหมือนหิมะ ทว่าบุรุษที่นั่งกอดนางไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของเขากลับดูซีดเซียวกว่านางหลายเท่า
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางเขม็ง ครั้นนึกถึงเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงเมื่อครู่ ก็อดรู้สึกตื่นกลัวไม่ได้ หากเขามาช้าอีกนิดเดียว นางอาจตายอยู่ในค่ายกลนั้นแล้ว! ครั้นคิดได้เช่นนี้ น้ำเสียงของเขาก็แหบพร่าลงหนึ่งส่วน “เหตุใดเจ้าจึงไปติดอยู่ในค่ายกลได้เล่า?”
ติดอยู่ในค่ายกล! ซูหลีตกใจ รีบผลักมือเขาที่โอบเอวนางไว้ออกไปอย่างลนลาน “ข้า ข้ายังไม่ตายหรือ?”
“ข้าไม่อนุญาต!” ใบหน้าซีดขาวของเขากระตุกสั่นเล็กน้อย พลางดึงนางเข้ามากอดเกี่ยวอย่างดื้อดึง กัดฟันกล่าวว่า “ต่อไปอย่าได้เอ่ยคำว่าตายต่อหน้าข้าอีกแม้แต่คำเดียว! เข้าใจหรือไม่?!”
ซูหลีมองหน้าเขาอย่างอึ้งงัน ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาช่วยนางไว้งั้นหรือ? เช่นนั้น…จูบอันเร่าร้อนที่เกิดขึ้นในภาพลวงตา ก็เป็นเรื่องจริง?
เขาก้มหน้าประทับกลีบปากนางเบาๆ “ซูซู ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าไปจากข้าอีก…”
ซูหลีรีบคว้าสาบเสื้อเขา แล้วดันหน้าเขาออกห่างเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตากว้าง “ท่านช่วยข้าไว้จริงๆ หรือ? เช่นนั้นเมื่อครู่ข้า…” นางเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ทั้งตกใจทั้งโมโหจนพูดไม่ออก
“พิษไร้รักในตัวเจ้ากำเริบ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก” เขาถอนหายใจเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏในดวงตา คล้ายเป็นเพราะการเปิดใจอย่างลืมตัวของนางเมื่อครู่ เขายังคงกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อยมือ “เจ้าไม่ชำนาญค่ายกล เหตุใดจึงเข้าไปอยู่ในนั้นได้เล่า?”
หัวใจของซูหลีเต้นรัว รีบผลักเขาออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ล้วงขวดเล็กๆ ขวดนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ครั้นเห็นมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
เขามองมันแวบหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วถามว่า “นี่คืออะไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” ซูหลีขมวดคิ้วแน่น “หยางเซียวจับมือสังหารได้ในค่ายกล ข้าไปช่วยเขา แล้วเก็บมันได้ที่ใต้ต้นไม้ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับนักฆ่าคนนั้น…”
“เพื่อของสิ่งนี้ เจ้าถึงได้เอาตนเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นหรือ?” คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม สีหน้าบึ้งตึงไม่น่าดู เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง “เหตุใดไม่รอข้าก่อน?”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบพึ่งพาผู้อื่น”
นางที่ได้สติกลับคืนมา กลับไปเย็นชาและห่างเหินเหมือนดังแต่ก่อนอีกครั้ง ที่แท้สำหรับนาง เขาเป็นเพียง ‘ผู้อื่น’…สายตาของตงฟางเจ๋อหม่นหมอง เพียงถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไร
บนกลีบปากของเขา ยังคงมีรอยแดงจางๆ หลงเหลืออยู่ ครั้นนึกได้ว่าเมื่อครู่นางกัดเขาแรงขนาดนั้น หัวใจนางก็อ่อนยวบลงหนึ่งส่วน ได้แต่หันหน้าหนีไม่กล้ามองเขาอีก แล้วกล่าวเสียงเบา “เหตุใดท่านจึงขึ้นเขามาในเวลานี้? ไม่กลัวถูกผู้อื่นจับได้หรือ?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยตอบเสียงเบา “หยางเซียวไล่ล่ามือสังหารขึ้นมาบนเขา ข้าไม่วางใจ จึงตามขึ้นมาดู โชคดีที่ข้ามา…” เขาจ้องหน้านางอย่างลึกซึ้ง แววตื่นกลัวพาดผ่านดวงตาของเขา
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย นางจงใจเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่พวกข้าพบสัญลักษณ์ของกองทัพรุ่ยเฟิงบนตัวมือสังหาร หยางเซียวไปสืบประวัติเพื่อยืนยันตัวตนคนผู้นั้นแล้ว”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ “เจ้าย่อมต้องหวังว่าจะไม่ใช่เขา”
ซูหลีก้มหน้าลง ท่าทางหนักใจ
ใบหน้าของนางซีดขาว ความห่วงหาอาทรบังเกิดในใจตงฟางเจ๋อ เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ซูซู…เจ้าเหนื่อยแล้ว อย่าคิดมากอีกเลย นอนพักสักหน่อยเถิด”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย นางเอนกายลงอย่างไม่รู้ตัว นางเหนื่อยล้ามากจริงๆ กำลังภายในถูกใช้จนเกือบหมดในค่ายกล ครั้นฟื้นขึ้นมาก็คุยกับเขาอีกหลายประโยค ยามนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว
ตงฟางเจ๋อป้อนยาชิงซินให้นางหนึ่งเม็ด แล้วจัดแจงห่มผ้าให้นาง ไม่นานซูหลีก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเช้าตรู่ของวันถัดมาจึงค่อยตื่น แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นชั้นเมฆ รัศมีแสงที่สาดส่องไกลออกไปหมื่นจั้งอาบไล้ไปทั่วยอดเขาจวี้หลิง แลดูงดงามดั่งแดนสวรรค์ ในห้องอากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าเขากลับไปตั้งแต่เมื่อใด หัวใจของซูหลีพลันรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางยกมือลูบกลีบปากเบาๆ คล้ายยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอันเร่าร้อนจากกลีบปากเขา นางสะดุ้ง กลิ่นอายความตายและความสับสนในวินาทีนั้น ทำให้นางแทบสูญเสียการควบคุม เดิมทีนึกว่าหัวใจของนางได้ปิดผนึกลงแล้ว นึกไม่ถึงนางกลับไม่เคยลืมเลือนรักเก่าเลย
ซูหลีลองขับเคลื่อนลมปราณ ค้นพบว่าอาการบาดเจ็บที่หัวใจเมื่อวานดีขึ้นมากแล้ว คงเป็นเพราะฤทธิ์ของยาชิงซิน
หลังอาหารกลางวัน นางรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง หมายจะขึ้นไปงีบบนตั่งสักครู่ เสียงของหวั่นซินก็ดังเข้ามาจากข้างนอก “ถวายบังคมองค์ชายสี่เพคะ”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว เขาไปสืบประวัติของมือสังหาร กลับมาเร็วถึงเพียงนี้ หรือพบเบาะแสแล้ว? ขณะกำลังครุ่นคิด หยางเซียวก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามาในห้องแล้ว
ท่าทางเขากระปรี้กระเปร่า ดูอารมณ์ดีใช้ได้ เขาเดินตรงมานั่งลงข้างตั่ง ยิ้มแล้วถามว่า “กลางวันแสกๆ ก็ยังจะนอนอีกหรือ?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบกลับย้อนถาม “สืบได้เรื่องหรือไม่?”
“มือสังหารผู้นั้นชื่อจางเจียน ย้ายมาอยู่ในกองทัพรุ่ยเฟิงหนึ่งปีแล้ว” สายตาของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบเย็นชา “เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ค่อนข้างเก่งกาจของเสด็จอา ยามนี้มีทั้งพยานหลักฐาน ข้าจะไปถามเขาให้แน่ชัด!”
สายตาของซูหลีตึงเครียด ไม่รู้เพราะเหตุใด การที่เขาสืบหาเบาะแสได้ราบรื่นเช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก แม้เสด็จน้าจะเป็นฝ่ายเปิดศึกมาโดยตลอด และมีแรงจูงใจในฐานะผู้บงการมือสังหารเพื่อชิงบัลลังก์จริง แต่เขาเป็นคนรอบคอบเสมอมา ตามหลักแล้วการลอบฆ่าหยางเซียวในครั้งที่แล้วล้มเหลว ครั้งนี้หากคิดทำการใดก็ไม่น่าจะบุ่มบ่ามวู่วามเช่นนี้…
มีเหตุผลอะไรอยู่กันแน่?
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำต้องถามให้แน่ชัด” นางนิ่งเงียบและครุ่นคิดเรื่องราวในใจ กลับรู้สึกได้ว่าหยางเซียวกำลังมองนาง จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านเหม่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบไปสืบคดีอีก”
หยางเซียวกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มแฝงแววซุกซนหลายส่วน “ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”
“รอข้า?”
หยางเซียวขยับเข้ามาใกล้นาง ยิ้มกว้างแล้วกล่าวอย่างเบิกบานว่า “เสด็จพ่อถอนรับสั่งกักบริเวณ และอนุญาตให้เจ้าลงจากเขาได้แล้ว”
ซูหลีถามอย่างประหลาดใจ “หืม? เพราะเหตุใดกัน?”
คล้ายพึงพอใจในท่าทางของนางมาก หยางเซียวกล่าวอย่างได้ใจ “เมื่อคืนข้ากลับไปรายงานเรื่องมือสังหารให้เสด็จพ่อทราบ พยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้อนุญาตให้เจ้าช่วยข้าสืบคดี เพราะเจ้าก็ถือเป็นคนสุดท้ายที่เจอมือสังหารเช่นกัน ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอนุญาต”
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ไม่พูดอะไร ยามนี้เสด็จน้าคือผู้ที่น่าสงสัยที่สุด เหตุใดฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจึงอนุญาตให้นางร่วมสืบคดีด้วย? หรือเขายังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ คิดจะใช้โอกาสนี้หยั่งเชิงจุดยืนของนาง
หยางเซียวเห็นนางนิ่งไป จึงเริ่มไม่สบายใจ ถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไป? คงไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากลงเขาหรอกกระมัง? หรือว่า…ไม่อยากช่วยข้า?”
“เปล่า” ซูหลีส่ายหน้า “ข้าสืบคดีช่วยท่านได้ไม่มีปัญหา กลับเป็นท่านเสียมากกว่า ไม่กลัวว่าข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือ?”
“เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น อาหลีที่ข้ารู้จัก ไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอน” เขาหุบยิ้มเบิกบาน ทำหน้าจริงจัง สายตาซื่อตรง ไร้วี่แววลังเล
ความรู้สึกนับร้อยประดังประเดเข้ามา ซูหลีพลันนึกขึ้นได้ ยามที่ตกปากรับคำสัญญาหนึ่งปีกับเขาที่โรงเตี๊ยมเทียนเหมิน เขาก็เชื่อใจนางอย่างไม่ลังเลเช่นนี้เหมือนกัน นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านมากที่เชื่อใจข้า”
…………………………