กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 404 ก่อนพายุฝนจะมาเยือน (1)
นัยน์ตาดำขาวแยกชัดคู่นั้น กระจ่างใสและชัดเจน ตรงไปตรงมาไม่เสแสร้ง ราวกับกระจกใสบานหนึ่ง ที่ทำให้ทุกคำลวงและทุกการเสแสร้งบนโลกใบนี้ไร้ซึ่งที่ซ่อนเร้น
หยางเจิ้นอึ้งงัน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ทำไมเล่า แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อน้างั้นหรือ?”
หัวใจซูหลีสั่นไหว นางไม่พูดอะไร
หยางเจิ้นกล่าวต่ออีกว่า “เจ้าลงจากเขามาได้ น้าดีใจมาก แต่น้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะร่วมมือกับเจ้าเด็กนั่นมากล่าวหาน้าเช่นนี้ หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าหยางเฉียนคือศัตรูที่ทำให้น้ากับแม่ของเจ้าต้องสูญเสียครอบครัว และพลัดพรากจากกันตั้งแต่ยังเด็ก! พวกเขาทำร้ายแม่ของเจ้ามาทั้งชีวิต เจ้าไม่แก้แค้นให้แม่เจ้า ซ้ำยังร่วมมือกับพวกเขามาต่อต้านน้าอีกเช่นนั้นหรือ?” สายตาของเขามืดมน ราวกับซูหลีได้หักหลังเขาไปแล้ว! น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาไม่อาจปกปิดความผิดหวังและความเจ็บปวดเอาไว้ได้
หัวใจของซูหลีบีบรัด ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเสด็จแม่ หัวใจของนางก็ยากจะสงบนิ่ง เสด็จแม่จากไปแล้ว เรื่องราวในอดีตเป็นอย่างไรไม่มีทางรู้ได้อีก นางรู้เพียงว่าคนที่ยังอยู่ควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดี จึงจะเป็นการปลอบโยนดวงวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของเสด็จแม่ได้ดีที่สุด! เสด็จน้าไม่ยอมปล่อยวางเรื่องในอดีต เพราะเหตุผลใดนางก็ยังไม่รู้แน่ชัด ทำได้เพียงกล่าวอย่างใจเย็น “เสด็จน้าเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ อาหลีเพียงต้องการสืบหาความจริง ในเมื่อเสด็จน้าไม่ได้เป็นคนทำ เช่นนั้นเสด็จน้าช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับจางเจียนและกองทัพรุ่ยเฟิงสักนิดได้หรือไม่เพคะ?”
หยางเจิ้นมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่พูดอะไร ในสายตาคล้ายยังมีความสงสัยแฝงอยู่
ซูหลีทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่จากไปแล้ว ยามนี้เสด็จน้าเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดของอาหลี อาหลีไม่อยากเห็นเสด็จน้าถูกปรักปรำ เพียงหวังว่าจะสืบหาความจริงและจับคนร้ายตัวจริงได้ในเร็ววัน!”
สีหน้าของนางราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงกลับสะท้อนความซื่อสัตย์จริงใจอย่างชัดเจน
บางทีคำว่า ‘ครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด’ อาจทำให้เขาหวั่นไหว สีหน้าของหยางเจิ้นค่อยๆ อ่อนลง เขาให้บ่าวรับใช้นำชามาถวาย แล้วจึงค่อยกล่าวเสียงแช่มช้าว่า “กองทัพรุ่ยเฟิงต่างจากกองทัพอื่นจริงๆ ทหารทุกคนในกองทัพล้วนเป็นยอดฝีมือที่ถูกคัดเลือกและถูกฝึกฝนด้วยมือของน้าเอง”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ราวกับได้จมดิ่งสู่ห้วงความคิด ผ่านไปไม่นานก็กล่าวต่อว่า “สามปีก่อน ยามน้าเดินตรวจตราในกองทัพ บังเอิญเจอจางเจียน คนผู้นี้มีวรยุทธ์ติดตัวเล็กน้อย เป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนให้เป็นยอดฝีมือได้ หลังจากสั่งให้คนไปตรวจสอบ ก็รู้ว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า หลังจากเข้าร่วมกองทัพก็มีความประพฤติดีงามมาโดยตลอด ฉะนั้นจึงโยกย้ายเขาไปฝึกฝนในกองทัพรุ่ยเฟิง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการเก็บลูกเสือลูกจระเข้มาเลี้ยง! เขากลับเป็นมือสังหารที่ลอบฆ่าทูตจากแคว้นเฉิง!” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย เขาก็แค่นเสียงขึ้นจมูก สายตาเย็นเยียบ ถ้วยชาในมือพลันถูกบีบจนแหลกละเอียดทันที
ซูหลีตกใจ ทว่ากลับพยายามรักษาท่าที เขาโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนเสแสร้งแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจางเจียนผู้นั้น ตั้งใจแฝงตัวเข้ามาในกองทัพรุ่ยเฟิงแต่แรก หรือเพิ่งแปรพักตร์ในภายหลัง?
“หากข้ารู้ว่าผู้ใดวางหมากตัวนี้ไว้ข้างกายข้า และบังอาจใส่ร้ายข้า ข้าจะตอบแทนคนผู้นั้นอย่างสาสม!” หยางเจิ้นพึมพำกับตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาพลันมีแววเหี้ยมเกรียมพาดผ่าน
ซูหลีลอบตกตะลึง เสด็จน้าพูดเช่นนี้แสดงว่ามั่นใจแล้วว่ามีคนตั้งใจส่งตัวจางเจียนแฝงตัวมาอยู่ข้างกายเขา ในราชสำนักมีผู้ใดกันที่ใจกล้าถึงเพียงนี้?
นางหมายจะเอ่ยปากถาม พลันนั้นเสียงฝีเท้าวุ่นวายระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก คนผู้หนึ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ท่านชายน้อย! ท่านวิ่งช้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ระวังจะลื่นล้ม…”
คนผู้นั้นยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค เสียง ‘พลั่ก’ ก็ดังขึ้นทันที คล้ายมีวัตถุบางอย่างล้มกระแทกพื้น
หยางเจิ้นลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ เดินออกไป แล้วถามเสียงขรึม “มีเรื่องใดจึงได้แตกตื่นถึงเพียงนี้?”
ซูหลีเองก็เดินตามออกไป เห็นเพียงหน้าห้อง เด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่งล้มอยู่บนขั้นบันได
เซียวอ๋องปรากฏตัว เหล่าบ่าวรับใช้ต่างตกใจจนหน้าซีด เหงื่อเย็นไหลอาบ แม่นมที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดรีบคุกเข่าทันที “บ่าวสมควรตาย! บ่าวสมควรตายเพคะ!” ทุกคนพากันคุกเข่าบนลานกว้างหน้าเรือน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ยามนี้เอง เด็กน้อยที่นอนล้มอยู่บนขั้นบันไดก็เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องตรงมาที่ซูหลี
หัวใจของซูหลีสั่นไหว เด็กคนนี้ท่าทางอายุราวสามสี่ขวบ หน้าตางดงามละเอียดอ่อนดั่งหยกสลัก ดูอวบอิ่มน่าชังยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตาดำขลับเปล่งประกายคู่นั้น ที่เจิดจรัสโดดเด่นเหมือนดั่งหยกสีหมึกก็ไม่ปาน
แม้มีแผลถลอกบนหน้าผากของเขา แต่เขากลับไม่ร้องไห้โวยวาย กลับกะพริบตาปริบๆ แล้วขานเรียกด้วยน้ำเสียงแหลมใส “พี่สาว”
ซูหลีอดประหลาดใจไม่ได้
ทุกคนต่างอึ้งงัน
หยางเจิ้นเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน คล้ายไม่อยากเชื่อนัก
ซูหลีเดินเข้าไปประคองเขาให้ลุกขึ้น บ่าวรับใช้เรียกเขาว่าท่านชายน้อย คงเป็นโอรสของเสด็จน้า นางย่อกายนั่งลงตรงหน้าเด็กน้อย ช่วยเขาปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า พลางถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
ดวงตากลมใสของเด็กน้อยจ้องตรงมาที่นาง แล้วตอบว่า “ข้าชื่อหยางเหยียน เสด็จพ่อเรียกข้าว่าเหยียนเอ๋อร์”
เสียงเจื้อยแจ้วของเขาพาให้หัวใจของนางอบอุ่น ซูหลียิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นางกล่าวว่า “อ้อ เหยียนเอ๋อร์เองหรือ มา ให้พี่สาวดูหน่อย เจ้าเจ็บที่ใดบ้าง?”
หยางเหยียนยื่นมืออ้วนตุ๊ต๊ะคู่หนึ่งขึ้นมาตรงหน้านาง กลางฝ่ามือนุ่มนิ่มมีรอยแผลอยู่รอยหนึ่งดังคาด ซ้ำยังมีเลือดซึมออกมาด้วย
ซูหลีตกใจ รีบหันไปกำชับแม่นมทันที “ไปเอายามาเร็วเข้า”
แม่นมจึงเพิ่งได้สติ นางกระวีกระวาดออกไปหยิบยาและตักน้ำทันที
ผ่านไปไม่นาน ทุกอย่างก็ถูกนำมาอย่างครบครัน แม่นมจะช่วยเขาทำแผล เขากลับเบะปากคล้ายไม่เต็มใจ แล้วหันมามองซูหลีด้วยดวงตาใสๆ พร้อมกับขานเรียก “พี่สาว”
สายตาของเขาทำให้ซูหลีรู้สึกอบอุ่นและหวงแหนอย่างบอกไม่ถูก นางดึงมือเขามาเบาๆ แล้วค่อยๆ เช็ดแผลให้สะอาด บาดแผลนั้นถือว่าลึกพอสมควร หยางเหยียนเจ็บจนต้องหดมือกลับ
ซูหลีเกลี้ยกล่อมเขา “เจ็บมากหรือ? อีกประเดี๋ยวใส่ยาก็ไม่เจ็บแล้ว”
เดิมทีนางเพียงปลอบใจไปอย่างนั้น นึกไม่ถึงเด็กน้อยกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง ภายหลังแม้จะใส่ยาหรือพันแผลเขาก็ไม่ร้องอีกเลย
ซูหลีลอบประหลาดใจ เขายังเด็กมาก แต่กลับว่าง่ายยิ่งนัก พลันนึกถึงหลีเหยาในยามเด็ก เมื่อไม่ระวังได้รับบาดเจ็บ หลีเหยาไม่เคยยอมให้ผู้ใดแตะต้อง ยอมให้แต่พี่สาวเช่นนางทำแผลให้เท่านั้น แต่ยามนี้…หัวใจพลันเจ็บปวดรวดร้าว
หยางเจิ้นยืนอยู่ด้านหนึ่ง ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงยืนมองพวกเขาสองคนเงียบๆ ทั้งตกตะลึงและปลื้มปิติยิ่งนัก สายตาเปลี่ยนผันไปมาไม่หยุด
ยามนี้ ซูหลีทำแผลเรียบร้อยแล้ว หยางเจิ้นจึงค่อยกล่าวเสียงเข้มว่า “แม่นม พาเหยียนเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนที่เรือน ดูแลเขาให้ดี! หากปล่อยให้เกิดเรื่องใดขึ้นอีก ข้าจะเอาความแน่!”
แม่นมพยักหน้ารัวๆ พร้อมรับคำอย่างหนักแน่น ก่อนจะรีบเดินเข้ามารับตัวหยางเหยียนทันที เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบะปาก คล้ายอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก เขาเอาแต่จ้องหน้าซูหลีไม่ยอมละสายตา
ซูหลีแย้มยิ้มอ่อนโยนแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เหยียนเอ๋อร์เด็กดี รีบกลับไปพักผ่อนเถิด หากพี่สาวมีเวลาจะไปเยี่ยมเจ้าแน่นอน”
สายตาของหยางเหยียนเปล่งประกาย เขาแย้มยิ้มจนตาหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ก่อนจะเดินออกไปกับแม่นมอย่างเชื่อฟัง
ครั้นพวกเขาเดินห่างออกไป หยางเจิ้นจึงค่อยละสายตากลับมา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีวาสนาร่วมกับเจ้า”
เสียงทอดถอนใจของเขา คล้ายมีความขมขื่นที่ไม่อาจบรรยายแฝงอยู่
ซูหลีอดหันไปมองเขาไม่ได้ รู้สึกได้ว่าดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อย
นางอึ้งไปเล็กน้อย ได้ยินหยางเจิ้นกล่าวต่ออีกว่า “หากเจ้ามีเวลา ภายหน้าก็มาเยี่ยมเขาบ่อยๆ เล่า ตอนเด็กคนนี้เกิด มารดาเขาคลอดบุตรยากจนเป็นเหตุให้สูญเสียพลังชีวิตไปมาก นับจากนั้นก็สุขภาพอ่อนแอมาโดยตลอด ต้องกินยาตลอดปี นางจากไปเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ตั้งแต่วันนั้น เหยียนเอ๋อร์ไม่เคยเปิดปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว วันนี้…เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากพูด”
……………………