กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 415 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (6)
- Home
- กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
- บทที่ 415 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (6)
กล่องไม้กลับว่างเปล่า!
หยางเซิงกับจ้าวหลู่สบตากัน แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ไม่มีใครคาดคิด พระราชโองการสละราชบัลลังก์กลับบินหายไปทั้งที่ไม่มีปีก!
ฉีมู่เอ่อร์ก้มหน้า กล่องไม้ถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีร่องรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย นี่มัน…เกิดเรื่องใดขึ้น?
สีหน้าของสวีฉางขาวซีดเหมือนกระดาษ เหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่าง สองขาอ่อนแรง แทบจะหยัดยืนอยู่ไม่ไหว
“พระราชโองการอยู่ที่ใดเล่า?” แม่ทัพหงตะโกนถามเสียงดัง
สวีฉางแทบจะร้องไห้ออกมา “พระราชโองการ…หายไปแล้ว!”
“ข้าว่า พระราชโองการเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น!” สายตาของหยางเจิ้นพลันแปรเปลี่ยนคมปลาบ เขาก้าวออกมา ยืนตรงหน้าฉีมู่เอ่อร์ ก่อนจะตำหนิด้วยวาจามีเหตุผล “ในฐานะผู้นำของเหล่าขุนนาง กลับร่วมมือกับขุนนางและขันทีเพื่อสร้างเรื่องหลอกลวง ร้ายกาจยิ่งนัก! ทหาร จับตัวพวกเขาไปขัง รอฟังคำตัดสินโทษ”
เซียวอ๋องออกคำสั่ง ไม่มีผู้ใดไม่กล้าฟังคำสั่ง ทว่ายามนี้ ทหารที่อยู่นอกตำหนักไม่มีผู้ใดฟังคำสั่ง ราวกับไม่ได้ยิน
สีหน้าของหยางเจิ้นพลันเคร่งขรึม เขามองปาต๋าด้วยสายตาเย็นชา “หัวหน้าองครักษ์ปา เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้าหรือ?”
สีหน้าของปาต๋าไร้ซึ่งความเกรงกลัว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย “มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับพระบัญชาจากฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!” หยางเจิ้นตวาดเสียงเกรี้ยว “ยามนี้ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว เจ้าเป็นเพียงองครักษ์ขั้นสี่ แต่กลับกล้าเมินเฉยต่อคำสั่งของข้าเช่นนั้นหรือ?”
“ถึงแม้ฝ่าบาทเสด็จสวรรคตแล้ว ปาต๋าก็จะฟังคำสั่งของฝ่าบาทพระองค์ใหม่เท่านั้น ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ปาต๋ายกมือประสานคารวะ แล้วกล่าวปฏิเสธหยางเจิ้น! ทุกคนอดตะลึงงันไม่ได้
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนพลผู้หนึ่งก้าวออกมา แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีพระราชโองการสละราชบัลลังก์ กระหม่อมขอร้องให้พระองค์ขึ้นครองราชย์โดยเร็ว เพื่อปลอบขวัญไพร่ฟ้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อถึงยามนั้น…ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดไม่ยอมฟังคำสั่งอีก!”
เหล่าขุนพลต่างพากันร้องขอ เสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่วทั้งตำหนัก
ซูหลียืนอยู่ข้างกายหยางเจิ้น รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาเขาอย่างรวดเร็วจนเกือบสังเกตไม่เห็น เขาหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย เห็นชัดว่ากำลังย่ามใจ พึงพอใจ และสำราญใจยิ่งนัก ราวกับสิ่งที่รอคอยมานานแสนนานได้มาอยู่ในกำมือเขาแล้ว! หัวใจของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบไปพร้อมกับรอยยิ้มของเขา
“ท่านอ๋องโปรดขึ้นครองราชย์โดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ครั้นเห็นองค์ชายสี่สูญเสียอำนาจหลักไปแล้ว เหล่าขุนนางกว่าครึ่งก็พากันคล้อยตาม ร้องขอให้หยางเจิ้นขึ้นครองราชย์ เสียงดังกึกก้อง สะท้อนไปทั่วตำหนัก
หยางเจิ้นหันไปมองหยางเซียวที่ยังคงยืนเงียบอยู่ข้างเตียงมังกร ชำเลืองมองเขาด้วยสายตาดูแคลน หมายจะเอ่ยปากพูดบางสิ่ง
ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านนอกตำหนัก
ทุกคนตกตะลึง พากันหันไปมอง คนผู้หนึ่งตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทูตจากแคว้นเฉิงหรือ?”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดก็คือจางฝู่ ส่วนเสียงหัวเราะนั้นดังมาจากปากของบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างกายเขา คนผู้นั้นเงาร่างสูงใหญ่ เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาคมเข้ม ดวงตาเป็นประกายบีบคั้นผู้คน พริบตาเดียวก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้แล้ว
เขากวาดตามองเหล่าขุนนางด้วยสายตาราบเรียบ สีหน้าไม่โกรธเกรี้ยวทว่าดูน่าเกรงขาม จนพาให้ผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ ไม่กล้าสบตาตรงๆ
เหล่าขุนนางล้วนรู้ดีว่าข้างกายจางฝู่มีบุรุษโดดเด่นเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเป็นใคร
เสียงหัวเราะนั้นทำให้หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง นางเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับสายตาเขาพอดี สีหน้าเย็นชาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นในพริบตา อบอุ่นดั่งสายน้ำในวสันตฤดู
หยางเซียวที่ยืนอยู่ข้างกายนางยังคงเงียบงัน คล้ายไม่ได้ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของตงฟางเจ๋อแต่อย่างใด ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีรู้สึกได้ว่าเขาเหมือนกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ
ไอพิฆาตรุนแรงพาดผ่านดวงตาของหยางเจิ้น เขากล่าวเสียงเข้ม “ท่านทูตเข้าวังมาในยามวิกาล มีเรื่องใดมิทราบ?”
“อีกไม่กี่วันกระหม่อมจะเดินทางกลับแคว้นแล้ว จึงตั้งใจมาทูลลาฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนนอนพักฟื้นอยู่ในห้องบรรทม มิทราบว่าพระอาการดีขึ้นบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” จางฝู่กล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาด้านในตำหนัก ครั้นเห็นสีหน้าผิดปกติของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่นอนอยู่บนเตียงมังกร ก็ถามด้วยความตกใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีมู่เอ่อร์ใบหน้าเศร้ารันทด กล่าวเสียงสะอื้นเล็กน้อย “ท่านทูต ฝ่าบาท…เสด็จสวรรคตแล้ว”
จางฝู่อึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวปลอบโยน “ทุกท่านโปรดระงับความเศร้า! มิทราบว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์เมื่อใด?”
จ้าวหลู่ใบหน้าหม่นหมอง กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ท่านทูติอาจไม่ทราบ เดิมทีพระราชโองการสละราชบัลลังก์ที่ฝ่าบาททรงเขียนด้วยพระองค์เองถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องไม้ใบนี้ แต่ไม่รู้จู่ๆ หายไปได้เช่นไร! ยามนี้…เฮ้อ!”
จางฝู่แย้มยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นพระราชโองการสละราชบัลลังก์ ก็สมควรถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด เหตุใดจึงหายได้เล่า?”
ฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว มีเพียงพวกข้าสี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าพระราชโองการถูกซ่อนไว้ที่ใด และคนที่จะสามารถเปิดมันได้ก็มีเพียงคนสามคนเท่านั้น กล่องไม้ใบนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย แต่พระราชโองการกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย จะต้องมีคนใช้เล่ห์เหลี่ยมแน่นอน!” เขาตวัดสายตาคมปลาบมองทุกคน “พระราชโองการหายไป ข้าฉีมู่เอ่อร์มิอาจพ้นผิด ขอตายเพื่อชดใช้ความผิด”
ระหว่างพูด เขาค่อยๆ เดินไปคุกเข่าลงข้างเตียงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ใบหน้าเศร้าโศก จ้าวหลู่และหยางเซิงเองก็เดินตามมาคุกเข่าข้างกายเขาด้วย ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “กระหม่อมขอตายเพื่อชดใช้ความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อพวกท่านยอมรับผิด เช่นนั้นก็รีบลากตัวพวกเขาออกไปตัดหัวเสีย”
เหล่าองครักษ์พุ่งเข้ามาเพื่อจับตัวพวกเขา แต่กลับได้ยินจางฝู่กล่าวเสียงดังขึ้นมาก่อนว่า “ช้าก่อน!” เขาล้วงของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นไปให้จ้าวหลู่ พลางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าดูเสียก่อนว่านี่คือสิ่งใด?”
จ้าวหลู่อึ้งงัน ยังไม่ทันตั้งสติ ฉีมู่เอ่อร์ก็รีบรับไปกางดู ด้านล่างพระราชโองการ ตราประทับสีแดงสดโดดเด่นสะดุดตา
พระราชโองการสละราชบัลลังก์! ความประหลาดใจจากการได้ของที่สูญหายกลับคืนมาทำให้พวกฉีมู่เอ่อร์ยินดีอย่างยิ่ง พวกเขาแทบจะหลั่งน้ำตา
ใบหน้าของหยางเจิ้นบึ้งตึงอย่างไม่มีที่เปรียบ เขาตะโกนเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้!” เขาแย่งพระราชโองการไปจากมือฉีมู่เอ่อร์ แล้วอ่านพระราชโองการสละราชบัลลังก์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพียงแต่ อักษรเหล่านั้นล้วนเป็นลายมือของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ตราประทับก็ไร้ช่องโหว่เช่นกัน!
เขาอดเบิกตากว้างไม่ได้ ราวกับไม่อยากเชื่อ สายตาที่เย็นยะเยือกดั่งดาบน้ำแข็งตวัดมองไปที่องครักษ์ประจำกายของเขา คนผู้นั้นแตกตื่นลนลาน ตะโกนออกมาโดยสัญชาตญาณ “ท่านอ๋องอย่าทรงหลงกล พระราชโองการต้องเป็นของปลอมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เป็นของจริงหรือของปลอม ให้ขุนนางทุกท่านอ่านทีละท่าน ย่อมต้องแยกแยะออกอยู่แล้ว” เสียงเกียจคร้านคล้ายไม่ยี่หระต่อสิ่งใดพลันดังขึ้น สายตาของตงฟางเจ๋อจดจ้องไปที่มือของหยางเจิ้น เขากำพระราชโองการฉบับนั้นแน่น เส้นเอ็นบนหลังมือนูนปูด เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธจัด
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อย เขาโฉบไหวเงาร่าง พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวข้างกายหยางเจิ้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนแทบมองตามไม่ทันว่าเขาลงมือเช่นไร ราวกับผ่านไปเพียงพริบตาเดียว พระราชโองการฉบับนั้นก็ไปอยู่ในมือเขาแล้ว
หยางเจิ้นนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะลงมือ เขาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แทบไม่อยากเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีคนที่สามารถชิงของไปจากมือเขาได้อยู่ด้วย! ใบหน้าเขาบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ตวาดถามเสียงเกรี้ยว “เจ้าเป็นใคร?”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค นิ้วมือทั้งห้าของเขาก็งอเข้าหากันดั่งตะขอ ก่อนจะคว้าไปที่พระราชโองการฉบับนั้น
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย เงาร่างโฉบไหวรวดเร็วดั่งภูตผี พริบตาเดียวก็ไปโผล่ด้านหลังซูหลี เขาจ้องตาหยางเจิ้น แล้วยัดพระราชโองการใส่มือซูหลี ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูนางเบาๆ “อยากให้ผู้ใดชนะ เจ้าเป็นผู้ตัดสิน”
เสียงแผ่วเบาของเขายังคงทรงเสน่ห์น่าฟัง หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ที่แท้เขาก็วางกลยุทธ์และควบคุมทุกอย่างไว้ในมือแล้ว! ฉะนั้นวันนั้นตอนอยู่ในรถม้า เขาจึงได้พูดกับนางอย่างนั้น
…………………………