กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 416 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (7)
- Home
- กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
- บทที่ 416 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (7)
ยามนี้ เขามอบสิทธิ์ในการตัดสินให้นาง แต่จะให้นางเลือกได้อย่างไรเล่า?
“อาหลี!” หยางเจิ้นสาวเท้าเข้ามา พร้อมกับยื่นมือมาทางนาง “ส่งพระราชโองการมาให้น้า!”
ซูหลีแน่นิ่ง
หยางเจิ้นคล้ายหมดความอดทน ขอบตาแดงก่ำ เขากัดฟันกล่าว “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเหยียนเอ๋อร์ตายเช่นไร?”
หัวใจของซูหลีพลันเจ็บปวด นางหันไปมองหยางเซียวที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งเล็กน้อย เขาเองก็กำลังมองนางอย่างไม่ละสายตาเช่นกัน ใบหน้าดูเศร้าโศก นัยน์ตาดำขลับไม่สดใสเปล่งประกายเช่นเดิมอีก
คำถามที่เขาเคยถามนางพลันดังขึ้นในสมอง ‘สำหรับเจ้า ข้าเป็นตัวอะไรกันแน่?’
‘เพื่อช่วยเซ่อเจิ้งอ๋อง เจ้าเอาดาบมาพาดคอข้า เพื่อเสด็จอา เจ้าก็ยืนขวางตรงหน้าข้าอย่างไม่ลังเล!’
‘หากวันหนึ่งคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคือข้า เจ้าจะยอมสละชีวิตเพื่อข้าเช่นนี้ด้วยหรือไม่?’
เขาเพียงแต่จ้องนางเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ทว่าคิ้วคมเข้มของเขากลับสะท้อนแววหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก ราวกับลึกๆ ในใจคาดการณ์ได้แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร!
หัวใจของซูหลีพลันบีบรัดและเจ็บแปลบอย่างไม่รู้สาเหตุ นางสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบอย่างใจเย็น “การตายของเหยียนเอ๋อร์ ไม่เกี่ยวกับองค์ชายสี่เพคะ”
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไร?!” แววประหลาดใจพาดผ่านใบหน้าของหยางเจิ้น ทว่าเขายังคงตวาดถามเสียงเกรี้ยว
ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น “หม่อมฉันเชื่อใจเขาเพคะ”
หยางเซียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว สายตาสับสนเปลี่ยนผันไปมา คล้ายมีบางอย่างถูกจุดประกายขึ้นมา วาจาของนาง เป็นเหมือนแสงไฟอันแสนอบอุ่นที่เขาบังเอิญพบ ขณะเดินหลงทางอยู่ในความมืดอันหนาวเหน็บเพียงลำพัง
ซูหลีกำพระราชโองการในมือแน่น แล้วค่อยๆ ก้าวไปหาเขา แต่บังเอิญเหลือบเห็นองครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้นจ้องนางไม่ละสายตา ครั้นนางหันมองไป สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้าต่ำ คล้ายกำลังจงใจหลบสายตานาง การคาดเดาของนางได้รับการยืนยันแล้วในยามนี้ หัวใจพลันเศร้ารันทด
เพื่ออำนาจ เพื่อบัลลังก์ กลับหมกมุ่นถึงเพียงนี้ หรือต้องสูญเสียทุกอย่างไปก่อนจึงจะยอมหยุด?
นางไม่ถอยหลังกลับ แม้หยางเจิ้นกำลังยืนมองด้วยสายเย็นชา นางก็ยังคงยื่นพระราชโองการใส่มือหยางเซียวอย่างหนักแน่น แล้วจึงค่อยหมุนกายหันกลับมากล่าวว่า “เสด็จน้า วางมือเถิดเพคะ บางทีอาจยังไม่สายเกินไป”
หยางเจิ้นใบหน้าเขียวด้วยความโกรธ เสียแรงที่เขาไว้ใจนาง สุดท้ายนางกลับมองข้ามสายสัมพันธ์ครอบครัว แล้วยืนอยู่ข้างหยางเซียว! ความโกรธและความผิดหวังจู่โจมสติที่เขาพยายามประคองไว้ในขณะนี้อย่างไม่หยุดยั้ง สองมือสั่นเทาเล็กน้อย เขาถมึงตาจ้องนางอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าไม่ใช่ธิดาของพี่สาวข้า…เจ้าไม่คู่ควร!” ครั้นเอ่ยประโยคสุดท้าย เสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด เพลิงโทสะถูกระบายออกมาในพริบตา
ครั้นถูกเขาตำหนิ ลึกๆ ในใจซูหลีเจ็บปวดยิ่งนัก แต่กลับทำได้เพียงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ดวงวิญญาณของเสด็จแม่ที่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องทรงเห็นด้วยกับหม่อมฉันแน่นอนเพคะ”
“เจ้า…” หยางเจิ้นเคียดแค้นสุดขีด ถึงขั้นพูดไม่ออก
ครั้นเห็นสถานการณ์พลิกผัน ฉีมู่เอ๋อร์รีบนำพระราชโองการไปประกาศเสียงดัง “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ตัวข้าป่วยมาเป็นเวลานาน รู้ตนเองว่ายากจะรักษา จึงเขียนราชโองการฉบับนี้ขึ้นมา หลังจากดวงวิญญาณข้ากลับสู่สวรรค์ ให้องค์ชายสี่สืบทอดราชบัลลังก์ ขุนนางทุกผู้จงรับใช้ด้วยความภักดี อย่าได้มีผิดพลาด!”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวหลู่กับหยางเซิงคุกเข่ารับพระราชโองการก่อน ฉีมู่เอ๋อร์มอบพระราชโองการให้เหล่าขุนนางอ่านทีละคน ทุกคนจำลายมือของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนได้ ตราประทับก็ชัดเจนไร้ที่ติ เรื่องนี้ไม่มีจุดน่าสงสัยใดอีก
เหล่าขุนนางรีบคุกเข่ารับพระราชโองการ และคำนับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หยางเจิ้นใบหน้าบึ้งตึง ตวาดเสียงดัง “ช้าก่อน!”
“เซียวอ๋องยังมีเรื่องใดจะตรัสอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฉีมู่เอ่อร์กล่าวด้วยเสียงโกรธขึ้ง
หยางเจิ้นไม่ตอบ เขาหันไปจ้องหน้าทูตจางฝู่ แล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ออก เหตุใดพระราชโองการสละราชบัลลังก์ของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจึงไปอยู่ในมือของใต้เท้าได้?”
จางฝู่หัวเราะเล็กน้อย “เรื่องนี้เซียวอ๋องน่าจะทรงรู้ดีกว่ากระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใต้เท้าหมายความว่าเช่นไร?” ฉีมู่เอ่อร์จับใจความสำคัญในวาจาของจางฝู่ได้ จึงรีบถามขึ้นทันที
จางฝู่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “มีคนยอมจ่ายราคาสูงลิ่วเฉียดฟ้า เพื่อจ้าง ‘กระเรียนเมฆา’ มือขโมยอันดับหนึ่งเข้ามาขโมยบางสิ่งในวัง คนผู้นี้มีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม เคลื่อนไหวคล่องแคล่วไร้ร่อยรอย ชำนาญการเปิดผนึกเป็นที่สุด ไม่ว่าเป็นผนึกที่ซับซ้อนเพียงใด หากถึงมือเขา ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจก็สามารถไขออกได้อย่างง่ายดาย ข้าได้รับการไหว้วานให้ขัดขวางคนผู้นี้นอกวัง ฉะนั้น…พระราชโองการจึงมาอยู่ในมือข้า”
องครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้นพลันโต้แย้งทันที “เหลวไหล! พระราชโองการฉบับนั้นถูกทำลายทันที จะไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
จางฝู่ยิ้มอย่างประหลาดใจ “ที่แท้ตอนจับตัวกระเรียนเมฆาได้ องครักษ์ประจำกายของเซียวอ๋องก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มิเน่าเล่าข้าจึงได้คุ้นหน้าเจ้านัก!”
องครักษ์คนนั้นรู้ตัวว่าพลั้งปาก หน้าพลันเปลี่ยนสี รีบก้มหน้าทันที
หยางเจิ้นแค่นเสียงเย็นชา กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่ามีคนหวังขโมยพระราชโองการ ฉะนั้นจึงได้ส่งไฉฟางไปตรวจสอบเรื่องนี้”
ฉีมู่เอ่อร์เอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นก็หมายความว่า เซียวอ๋องทรงทราบแต่แรกแล้วว่ามีพระราชโองการสละราชบัลลังก์อยู่ แต่เหตุใดเมื่อครู่จึงตรัสว่าพระราชโองการเป็นเรื่องเหลวไหลเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเจิ้นหน้าไม่เปลี่ยนสี เขากล่าวเสียงแข็งกร้าว “พระราชโองการถูกทำลายแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์!”
“ฝ่าบาททรงเหลือพระโอรสเพียงพระองค์เดียว นอกจากองค์ชายสี่แล้ว ฝ่าบาทจะยังทรงแต่งตั้งผู้ใดได้อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” ฉีมู่เอ่อร์กล่าวเสียงโกรธขึ้ง
แม่ทัพหงร้องขึ้นว่า “มีพระราชโองการแล้วอย่างไรเล่า? องค์ชายสี่มีความผิดฐานสังหารพระบิดา ไม่มีคุณสมบัติขึ้นครองราชย์แต่อย่างใด!”
“ถูกต้องแล้ว เซียวอ๋องทรงทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองเรา”
“ในความดีงามทั้งปวงนั้น ความกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ที่กระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า จะเป็นประมุขแห่งแคว้น และนำทัพเหล่าขุนนางได้เช่นไร?!”
“ข้าขอสนับสนุนให้เซียวอ๋องขึ้นครองราชย์!”
เหล่าขุนพลต่างพากันเห็นด้วยกับแม่ทัพหง แต่ละคนมุ่งมั่นขึงขัง น้ำเสียงฮึกเหิม ขุนนางพลเรือนกว่าครึ่งมีใบหน้ากังวล ไม่กล้าพูดมากความอีก มีเพียงฉีมู่เอ่อร์ หยางเซิง และจ้าวหลู่เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดด้วยเหตุผล ทว่าไม่นานเสียงพวกเขาก็ค่อยๆ อ่อนลงไป
“ทุกท่านโปรดเงียบสักครู่” เสียงสุขุมเยือกเย็นของสตรีดังขึ้น เสียงนั้นทรงพลังจนสามารถดับเสียงโต้เถียงทั้งหมดได้ในพริบตา
ซูหลีเอ่ยเสียงดังกังวาน “เรื่องที่ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ยังสืบไม่ได้ความ ทุกท่านก็ตราหน้าคนส่งเดชเช่นนี้ มิใช่เป็นการด่วนตัดสินเกินไปหรือ!”
แม่ทัพหงกล่าวอย่างดูแคลน “มีอะไรให้สืบอีกเล่า เรื่องจริงปรากฏตรงหน้าแล้ว วิชาทวนวัฏจักรนอกจากท่านอ๋องแล้ว มีเพียงองค์ชายสี่เท่านั้นที่ใช้เป็น ขณะเกิดเหตุเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เข้ามาในห้องบรรทม หากคนร้ายไม่ใช่เขาจะเป็นผู้ใดได้เล่า?”
ซูหลีค่อยๆ ก้าวเท้าออกไป นางมองขันทีสองคนนั้นที่กำลังคุกเข่าอยู่ พลางถามเสียงขรึม “พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าตอนนั้นไม่มีคนอื่นเข้ามาในห้องบรรทมอีกแล้ว?”
เสี่ยวหยวนจื่อกับเสี่ยวหลินจื่อพยักหน้าหลายครั้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลนลาน “บ่าวพูดความจริงทุกคำ ไม่กล้าโป้ปดขอรับ”
ซูหลีพยักหน้า ตวัดสายตาอันคมปลาบไปอีกด้าน แล้วถามหรูอวิ๋นที่หมอบต่ำอยู่กับพื้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าเล่า?”
ร่างกายของหรูอวิ๋นสั่นเทาเล็กน้อย นางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนั้นบ่าวตามสวีกงกงไปที่ห้องเก็บยา…”
“เจ้าเพียงตอบคำถามข้ามา เจ้ากลับมาในห้องบรรทมนานเท่าใดจึงพบว่าฝ่าบาทสวรรคตแล้ว?” เสียงของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเล็กน้อย
หรูอวิ๋นตกใจจนตัวสั่น ก้มหน้าตอบ “ประมาณครึ่งเค่อเจ้าค่ะ…”
“ระหว่างครึ่งเค่อนี้ เจ้าทำสิ่งใดอยู่บ้าง? จงเล่ามาให้ละเอียด!” สายตาของซูหลีจับจ้องสีหน้าของนาง พลางรัวคำถามอย่างต่อเนื่อง แทบไม่เปิดโอกาสให้หรูอวิ๋นพักหายใจเลยแม้แต่น้อย
หรูอวิ๋นตกใจจนหน้าซีด นางตอบด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย “ตอนที่บ่าวเข้ามาในห้อง ฝ่าบาททรงนอนตะแคงหันหน้าเข้าไปด้านใน ตอนนั้นบ่าว…เรียกฝ่าบาทให้เสวยยา ฝ่าบาททรงไม่ตอบ บ่าวเลยนึกว่าฝ่าบาทบรรทมแล้ว ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน ผ่านไปครู่หนึ่ง บ่าวก็มาเรียกอีกครั้ง นึกไม่ถึง…จู่ๆ พระวรกายของฝ่าบาทก็พลิกหันมา พระองค์ทรง…ทรง…” ราวกับหวนนึกถึงวินาทีที่น่ากลัวนั้นอีกครั้ง นางตื่นกลัวทำอะไรไม่ถูก ร่างกายสั่นเทา ก้มหน้าต่ำ คล้ายไม่อาจพูดต่อไปได้อีก
……………………………