กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 423 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (1)
ฉินเหิงรีบรับคำทันที “รับทราบขอรับ”
“หวั่นซินและเจียงหยวน รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปยังแปดสำนักให้รวบรวมกำลังคนทั้งหมด และมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ข้าได้สั่งให้ผู้อาวุโสเสวียนฟงกลับไปรักษาการณ์แทนที่แท่นบูชาหลักแล้ว ในระหว่างนี้ ให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราวในลัทธิ เข้าใจแล้วหรือไม่?”
หวั่นซินกับเจียงหยวนรู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงชะตากรรมของราชวงศ์เปี้ยน ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ก่อนจะรับคำพร้อมกัน “รับทราบขอรับ/เจ้าค่ะ”
ซูหลีหันไปมองเซี่ยงหลีกับฉินเหิงด้วยสายตาเคร่งขรึม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนอยู่ห่างจากเขตชายแดนมาก การเดินทางครั้งนี้จะต้องประสบกับอันตรายมากมาย พวกเจ้าสองคนจะต้อง…ระวังตัวให้มาก ถึงแม้ภารกิจจะสำคัญ แต่ต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองอยู่ตลอดเวลา”
แม้นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่วาจากลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วง เซี่ยงหลีกับฉินเหิงที่ได้ยินก็อุ่นใจ พวกเขาพยักหน้าเงียบๆ เจียงหยวนเดินมาหาฉินเหิง ล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ หลายขวดออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้เขา “นี่คือยารักษาบาดแผลและยาแก้พิษที่ข้าปรุงขึ้นมาใหม่ พกติดตัวไว้เผื่อต้องใช้” สายตาที่มักเย็นชาอยู่เสมอของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาดูได้ยาก พร้อมเอ่ยกำชับเสียงเข้ม
หวั่นซินยืนเงียบอยู่ด้านหนึ่ง ไม่พูดไม่จา ใบหน้าดูคล้ายมีแววกังวล นับตั้งแต่จากแคว้นเฉิงมา สี่คนนี้ก็ติดตามซูหลีมาโดยตลอด พวกเขาผ่านความเป็นความตาย อยู่ด้วยกันตลอดเวลา จึงก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ต่างจากยามที่ต้องต่อสู้แข่งขันกันอย่างโดดเดี่ยวในเฉินเหมิน ตอนนี้จู่ๆ ก็ต้องแยกจากกัน เส้นทางข้างหน้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรมิอาจคาดเดา หวั่นซินจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
บรรยากาศรอบกายหยุดนิ่ง มีกลิ่นอายความเศร้าปะปนอยู่รางๆ
เซี่ยงหลีมองหน้าทุกคน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะอย่างผ่อนคลาย “ทำไมจึงทำหน้าเครียดกันเช่นนี้เล่า เหมือนพวกข้าไปแล้วจะไม่หวนกลับมาอีกอย่างนั้นแหละ”
ใบหน้าหวั่นซินเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“วางใจเถิด เรื่องวิชาตัวเบา บนโลกใบนี้มีไม่กี่คนที่ตามข้าทัน พวกข้าสองคนออกหน้าด้วยตนเอง จะต้องไร้ข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน! อีกอย่าง ข้ากับเสี่ยวเหิงยังไม่ได้สู่ขอภรรยาและผลิตทายาทเลยนะ! ไม่มีทางตายแน่นอน! ใช่หรือไม่ เสี่ยวเหิง” เซี่ยงหลีกระดกคิ้ว วางมือลงบนไหล่ฉินเหิงด้วยท่าทางสนิทสนม แสร้งพูดจาล้อเล่นด้วยท่าทางไม่จริงจัง
ฉินเหิงกลอกตา แล้วกล่าวเสียดสีเขา “ใช่ กลัวก็แต่พอถึงเวลานั้นเจ้าจะเจ้าชู้ประตูดินมากไป ถูกแม่หญิงไล่ตามจนเอาชีวิตไม่รอด จนไม่มีเวลาผลิตทายาทน่ะสิ”
เซี่ยงหลีหัวเราะเสียงดัง “ตายใต้ต้นดอกโบตั๋น เป็นผีก็ไม่เสียดาย” เสียงหัวเราะกังวานสดใสของเขาลดบรรยากาศเศร้าสร้อยไปได้หลายส่วน
หวั่นซินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะเป็นผีทะเลก็รักษาชีวิตกลับมาให้ได้ก่อนเถิด แล้วค่อยมาพูด!”
น้ำเสียงของนางฟังดูแข็งกร้าว แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยงหลีชะงักงัน ดวงตาดอกท้อกลอกหมุนไปมา ก่อนจะยิ้มร่าแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ กล่าวว่า “ทูตนารีพูดมีเหตุผล เพื่อหญิงงาม การรักษาชีวิตเอาไว้เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น…ดอกไม้ที่ข้าอยากเด็ดที่สุด ยังเด็ดไม่สำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชีวิตไปทิ้งได้!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน กลีบปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตากลับแฝงแววจริงจัง
วาจานี้ฟังดูคลุมเครือหลายส่วน หวั่นซินหัวใจเต้นรัว พูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันไปจ้องหน้าเขา ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยระหว่างสองคนนี้ ทุกคนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน คล้ายไม่บอกก็รู้
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเจ้าออกเดินทางเถิด รีบไปรีบกลับมาเล่า” หยางเซียวมอบสาสน์ที่ประทับตราเรียบร้อยแล้วให้เซี่ยงหลี ซูหลีกำชับอีกครั้ง “จงเดินทางโดยใช้เส้นทางลับ ผ่านเขาชื่อเหลียน มุ่งหน้าไปยังเทียนเหมิน”
พวกเขาสี่คนไม่กล่าวอะไรอีก ต่างคนต่างแยกย้ายออกไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
ซูหลีจ้องมองแผ่นหลังของพวกเขา รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไม เจ้าเป็นห่วงพวกเขาหรือ? วางใจเถิด พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ แม้เผชิญหน้ากับกองทัพทหารนับพันนับหมื่นก็ต้องเอาตัวรอดได้ และไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” เสียงของตงฟางเจ๋อดังขึ้น ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินออกจากตำหนักไป
ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม เงาร่างสูงใหญ่ยิ่งดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง
“ท่านยอมช่วยข้าเพื่อนางจริงๆ หรือ? นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ท่านจะไม่คว้าไว้จริงหรือ?” หยางเซียวเดินเข้ามา จ้องหน้าเขาแน่นิ่ง
สายตาอ่อนโยนของตงฟางเจ๋อ พลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในพริบตา “ข้าทำไปเพื่อสิ่งใด ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ท่านเพียงต้องรักษาสัญญาระหว่างเราเอาไว้เป็นพอ” เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้าเดินออกจากตำหนักไปโดยไม่หันกลับมาอีก
หลายวันหลังจากนั้น ประตูเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนปิดสนิท ทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างแน่นหนา ตั้งมั่นพร้อมรับมือกับศัตรู เจียงหยวนกับหวั่นซินเองก็นำทัพเหล่าหัวหน้าสำนักทั้งแปด รวมถึงทุกคนในลัทธิมาถึงเมืองหลวงแล้ว และรอฟังคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่สถานการณ์ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เพราะกองทัพทหารที่ประจำการอยู่นอกเมืองของหยางเจิ้น กลับเงียบสงบผิดปกติ
หยางเซียวสั่งให้เพิ่มกำลังทหารลาดตระเวน ทุกครึ่งชั่วยามจะมีจดหมายถูกส่งเข้ามาในวัง เนื้อความล้วนเหมือนกัน ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าหยางเจิ้นคิดจะทำสิ่งใดกันแน่
ครั้นมองดูจดหมายกองพะเนินข้างมือ ความกดดันที่มองไม่เห็นทำให้หัวใจของหยางเซียวเริ่มกระสับกระส่าย รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาอย่างดี แต่กลับทำได้เพียงอดทนสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลง การตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
ซูหลีเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านอย่าได้ร้อนใจไป ศัตรูไม่โจมตี เราก็ไม่โจมตี ยิ่งยืดเยื้อออกไปนานเท่าใดก็ยิ่งส่งผลดีกับเรา เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับจดหมาย เซี่ยงหลีกับฉินเหิงผ่านด่านที่หนึ่งไปได้อย่างราบรื่นแล้ว”
“จริงหรือ?” หยางเซียวพลันยินดี ช่างเป็นข่าวดียิ่งนัก!
“อืม” ซูหลีพยักหน้า นางทอดมองออกไปนอกตำหนัก แสงตะวันยามบ่ายคล้อยมืดมนมัวหมอง พยับเมฆสีเทาก้อนใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาบดบัง คล้ายลางบอกเหตุถึงปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าที่จะเปลี่ยนแปลงไปในคืนนี้
ในคืนเดียวกัน พายุลูกใหญ่พลันก่อตัว บรรยากาศหนาวเหน็บวังเวงกระจายไปทั่วเมือง หยางเซียวกับซูหลีกำลังหารือกันอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง จู่ๆ ก็มีขันทีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ทูล ทูลฝ่าบาท…”
ใบหน้าหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด “ร้อนใจด้วยเรื่องอันใดกัน?!”
ขันทีผู้นั้นหอบหายใจแรงๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “กบฏหยางเจิ้นเริ่มโจมตีเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ณ ประตูเมืองทิศเหนือของแคว้นเปี้ยน
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด ก้อนเมฆสีดำบดบังดวงจันทร์ ผืนฟ้าไร้ซึ่งแสงสว่าง เสียงเข่นฆ่ากันดังสะท้านไปทั่วทิศ เสียงกรีดร้องโหวกเหวกดั่งลั่นไปถึงนอกเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน
ซูหลีกับหยางเซียวเร่งเดินทางด้วยความเร็ว พวกเขามาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว ครั้นได้ยินเสียงสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน หยางเซียวร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ควบม้าไปยังด้านหน้าป้อมปราการเมือง จากนั้นก็พาร่างกายลอยเหนือหลังม้า เหินทะยานพุ่งขึ้นไปยังป้อมปราการเมืองโดยตรง บนป้อมปราการเมืองอันสูงตระหง่านสว่างโร่ไปด้วยแสงไฟราวกับตอนกลางวัน ร่างทหารมากมายนอนล้มระเนระนาดอยู่เต็มพื้น ทหารที่เหลืออยู่ไม่มากกำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างสุดความสามารถอยู่ที่ขอบป้อมปราการ ทว่าเหล่าทหารกลับทยอยล้มลงหมดสติโดยไม่รู้สาเหตุ
ทั้งสองรีบเดินเข้าไปตรวจสอบดูทันที เห็นเพียงทหารที่หมดสติร่างกายอ่อนแรง สติเลือนราง ราวกับสลบไสลไป
“นี่มันอะไรกัน?” หยางเซียวคำรามเสียงเกรี้ยว
หัวหน้าทหารรักษาเมืองรีบวิ่งมาหาหยางเซียว ฝีเท้าโซซัดโซเซจนเกือบล้ม “ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่มีหมอกควันกลุ่มหนึ่งลอยผ่านมา ไม่นานพวกทหารก็พากันหมดสติ เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น จากนั้นจู่ๆ ทหารม้าของอีกฝ่ายก็บุกฝ่าเข้ามา พวกเขาปกป้องและเปิดทางให้ทหารโจมตีเมืองบุกประชิดเข้ามาที่ป้อมปราการ กระหม่อมเห็นท่าไม่ดี จึงรีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพชื่อเฟิง จึงสามารถฝืนต้านรับมาได้จนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเซียวรีบเดินไปสังเกตการณ์ที่ขอบกำแพงเมือง ครั้นมองลงไป ในความมืดมิดยามค่ำคืน เห็นเพียงค่ายทหารที่อยู่ห่างไกลออกไปจุดแสงไฟสว่างเจิดจ้า
ลมเหนือพัดผ่านมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในอากาศอันหนาวเหน็บและแห้งกร้านนอกจากกลิ่นฟืนที่ถูกเผาไหม้แล้ว ยังมีกลิ่นแปลกๆ ผสมอยู่เลือนราง ซูหลีขมวดคิ้วทันที นางกล่าวอย่างตื่นตระหนก “ระวัง ในควันมีพิษ!”
………………………