กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 430 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (8)
“ที่นี่คือที่ใด?” ซูหลีกระโดดลงจากหลังม้า เดินไปยืนบนจุดที่สูงที่สุดของเนินเขา
“หากมองลงไป จะสามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรอบในหุบเขาได้จากที่ตรงนี้” เขาเดินไปยืนด้านหลังนาง ยกมือกุมไหล่นางเบาๆ “อีกประเดี๋ยวหากทัพศัตรูบุกเข้ามา เจ้าแค่พาคนของเจ้าถอยออกไป เรื่องอื่น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า”
ซูหลีขมวดคิ้ว หมายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
ธนูตรงปากทางเข้าหุบเขาหยุดยิงแล้ว ทรายเหลืองที่ลอยคลุ้งกลางอากาศทิ้งตัวลงบนพื้น ด้านในหุบเขากลับโล่งเปล่า ราวกับไม่เคยมีคนผ่านมาทางนี้
หยางจินหัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อล่วงรู้ทุกสรรพสิ่งดั่งเทพเจ้าดังคาด ฮูเอ่อร์ตูยังไม่กลับมา! พวกมันแค่สร้างสถานการณ์ลวงเพื่อข่มขวัญเราเท่านั้น คงคิดจะถ่วงเวลาด้วยวิธีนี้! พอต้านทานไม่ไหวก็คิดจะหนีเช่นนั้นหรือ? น่าขำ! ข้าจะฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือซากอย่างแน่นอน! ขุนพลอวี๋ ตามข้ามา!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็บุกเข้าไปในหุบเขาก่อนเป็นคนแรก
หยางจินนำทัพด้วยตนเอง ท่าทางแน่วแน่มั่นใจ เรียกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารกองทัพรุ่ยเฟิงได้เป็นอย่างดี ขุนพลอวี๋รีบนำทหารตามไปติดๆ เสียงกีบเท้าม้าดังก้องไปทั่วหุบเขาอวี้เสีย ครั้นมาถึงด้านหลังของหุบเขา ก้อนหินขนาดใหญ่บนยอดเขาพลันกลิ้งตกลงมา ทรายเหลืองลอยตลบอบอวล เส้นทางถูกปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
“ติดกับดักเสียแล้ว!” หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี ตวัดแส้ม้าพุ่งเข้าไป ตะโกนเสียงดัง “จินเอ๋อร์! กลับมา!”
กองทัพบุกโจมตีที่เดิมทีฮึกเหิมห้าวหาญ พลันแตกกระเจิงเหมือนเม็ดทราย ทหารจำนวนมากไม่อาจควบคุมม้าศึกที่ตื่นกลัวได้ พวกเขาตกจากหลังม้า พริบตาเดียวก็ถูกฝูงม้าวิ่งเหยียบจนเละเป็นกองเนื้อ!
ชั่วขณะหนึ่ง ม้าศึกในหุบเขาอวี้เสียคำรามเสียงหลง เสียงกรีดร้องดังระงมไม่ขาดสาย!
ในสงครามเพียงครั้งเดียว ไม่รู้มีทหารสละชีวิตไปมากมายเท่าใด พวกเขาต้องห่างจากคนรัก และถูกความตายพรากไปจากครอบครัวตลอดกาล!
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าโหดร้ายเกินกว่าที่ซูหลีจะรับไหว นางรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินกดทับหัวใจเอาไว้
ทันใดนั้น ลูกธนูแหลมคมแถวหนึ่งแหวกอากาศเข้ามาพร้อมกับไอสังหารอันรุนแรง เรี่ยวแรงอันน่าทึ่งแทบจะสามารถยิงทะลุก้อนหินได้!
ซูหลีตกตะลึง ไม่รู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ตรงข้ามกับหุบเขาตั้งแต่เมื่อใด บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังจ้องมาที่นางด้วยนัยน์ตาขึ้งเคียด กลับเป็นหยางเจิ้น!
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี รีบดึงตัวนางหมอบลงกับพื้น แล้วกลิ้งตัวไปหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เพียงแต่เขาออกแรงมากไป แผ่นหลังของเขาจึงกระแทกเข้ากับก้อนหินแข็งแกร่ง ทำให้เจ็บจนต้องร้องครวญออกมา
ซูหลียังไม่ทันพูดอะไร ก็ได้ยินเสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้นหลายครั้ง บริเวณที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ถูกธนูแหลมหลายสิบดอกปักลึกเข้าไปในพื้นดิน! เกือบไปแล้ว! อีกนิดเดียว พวกเขาสองคนก็จะถูกยิงจนร่างพรุนเป็นตัวเม่น! นางตื่นตกใจ เหงื่อเย็นไหลอาบหน้าผาก หัวใจเต้นรัวเร็ว
เมื่อครู่เขากระแทกกับก้อนหินอย่างแรง นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ แล้วถามเสียงเบา “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
นึกไม่ถึงว่าเขาก็ก้มหน้าลงมา และถามนางอย่างเป็นห่วงพอดี “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ทั้งสองเอ่ยปากโดยไม่ได้นัดหมาย แต่กลับชะงักงันไปพร้อมกัน นางพิงแผงอกของเขา อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ความรู้สึกห่วงใยที่สะท้อนในดวงตาของทั้งสองชัดเจนถึงเพียงนั้น ชัดเจนจนแทบไม่อาจปกปิด
เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ แขนที่โอบกอดนางค่อยๆ กระชับแน่นโดยไม่รู้ตัว
ซูหลีหลุบตาไม่พูดอะไร หัวใจกลับป่วนพล่านดั่งมีคลื่นโหมซัดสาด เนิ่นนานก็ยังมิอาจสงบใจได้
พลันนั้น มีเสียงหนึ่งดังเลื่อนลั่นกัมปนาท หุบเขาอวี้เสียราวกับสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา
ทั้งสองตกตะลึง รีบลุกขึ้นยืน เห็นเพียงป่าหินที่อยู่ด้านล่างหุบเขาได้ถล่มลงไปแล้ว
พริบตาเดียว กองทัพรุ่ยเฟิงบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย หยางเจิ้นหน้าบึ้งตึงสุดแสน ไม่มัวเสียเวลา พุ่งลงไปที่ป่าหินทันที ค่ายกลหินแห่งนี้ประหลาดยิ่งนัก เขาไม่อาจบุกเข้าไปได้ในทันที ทำได้เพียงนำทัพถอยออกจากหุบเขา นึกไม่ถึงจู่ๆ อีกด้านหนึ่งของหุบเขาก็มีไฟลุกท่วม ควันไฟลอยโขมงไปทั่วหุบเขา ทำเอาผู้คนสำลักควันจนหายใจไม่ออก
“สมควรตายยิ่ง!” หยางจินหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันกล่าว “คิดจะขังพวกเราให้ตายทั้งเป็นอยู่ในนี้!”
นัยน์ตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความกลัว เขาตวาดเสียงกร้าว “ฝ่าออกไป!”
ทหารที่เหลืออยู่ของกองทัพรุ่ยเฟิงฝ่าควันไฟออกจากหุบเขาไปภายใต้คำสั่งของหยางเจิ้น ยามนี้กองทัพเสียหายไปกว่าครึ่ง หยางเจิ้นหันกลับมามอง ทหารบาดเจ็บห้าหมื่นนายนี้ เพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด สีหน้าแตกตื่นลนลาน เขาถมึงดวงตากว้าง ตะโกนเสียงดัง “ทหารทุกคนจงฟัง จงติดตามข้าบุกเข้าไปในพระราชวัง ผู้ใดจับเป็นกษัตริย์ทรราชได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!” ชั่วขณะหนึ่งเหล่าทหารพลันฮึกเหิมขึ้นมา ท่าทางราวกับหากประตูเมืองไม่พังก็จะไม่มีวันหยุดสู้อย่างไรอย่างนั้น!
ตงฟางเจ๋อเห็นเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทุกคนจงถอยทัพกลับไปคุ้มกันพระราชวัง!”
สงครามแห่งความเป็นความตาย ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
บนปราการเมืองอันสูงตระหง่าน หยางเซียวยืนสั่งการรบด้วยตนเอง เขาสวมชุดเกราะสีทองทั้งตัว ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง รัศมีเจิดจรัสเปล่งประกาย เหล่าทหารที่อยู่ข้างกายได้รับขวัญกำลังใจจากการมาด้วยตนเองของประมุขแห่งแคว้น ต่างพากันฮึกเหิมพร้อมรบ สายตาของพวกเขาจ้องตรงไปยังทิศที่คาดว่าทัพศัตรูจะปรากฏตัว รัศมีกล้าหาญไม่เกรงกลัวความตายพาดผ่านดวงตา
ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ถึงราศีของกษัตริย์ที่แผ่กำจายอยู่รอบตัวหยางเซียวอย่างแท้จริง! เด็กหนุ่มที่ชอบเล่นซุกซนผู้นี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิตมา ก็เหมือนดั่งดักแด้ที่ลอกคราบเป็นผีเสื้อ กลายเป็นประมุขที่ห่วงใยแว่นแคว้นไปแล้ว! รอยยิ้มชื่นชมพาดผ่านกลีบปากนางเล็กน้อย ทว่าลึกๆ ในใจกลับยังคงรู้สึกเป็นห่วง
ตงฟางเจ๋อเห็นสีหน้านางเช่นนั้น ก็เข้าใจทันที จึงกล่าวเสียงเรียบเฉย “หากเขาไม่อาจต้านทานทหารบาดเจ็บเพียงห้าหมื่นนายของอีกฝ่ายได้ ยังมีคุณสมบัติเป็นประมุขแห่งแคว้นได้อีกหรือ?!”
ซูหลีเงียบไปทันที
“เขาพูดถูกแล้ว” หยางเซียวเดินลงมาจากป้อมปราการตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเต็มที่ ฝีเท้ามั่นคง ชุดเกราะสีทองโดดเด่นสะดุดตายิ่งขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาดูสูงส่งจนไม่กล้าสบตาตรงๆ เขาเดินผ่านตงฟางเจ๋อ ตรงมาหานาง แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ บนบ่าของข้าย่อมแบกเกียรติยศของบ้านเมืองเราไว้ มิอาจทำผิดพลาดได้เด็ดขาด! เจ้ากลับไปพักผ่อนที่วังให้สบายใจ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าเจ้าเลือกไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นเมืองแห่งนี้ หรือว่าเจ้า ข้าจะต้องปกป้องไว้ได้อย่างแน่นอน!”
ซูหลีเงียบงันไม่พูดอะไร วาจาของเขาหนักแน่นน่าเชื่อถือ แต่กลับยังคงเป็นเพียงวาจาปลอบใจนางเท่านั้น นางรู้ดีว่าสงครามครั้งนี้ยากเย็นเพียงใด เพียงแต่ ที่นางไม่อยากจากไป ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
ในส่วนลึกของดวงตากระจ่างใส มีหลากหลายอารมณ์กำลังป่วนพล่าน คล้ายซ่อนเรื่องราวหนักหน่วงเอาไว้ในใจมากมาย นางทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดพูด หยางเซียวเห็นเช่นนั้น ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินเข้าไปกุมือนาง แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ารับปากเจ้า หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ข้าจะไม่ฆ่าเขา”
หัวใจของซูหลีพลันสะดุด แววซาบซึ้งสะท้อนในดวงตารางๆ นางเหลือญาติเพียงไม่กี่คนแล้ว นางไม่อยากเสียใครไปอีกแม้แต่คนเดียว
ตงฟางเจ๋อก้มมองมือของทั้งสองคนที่กุมกันแน่น ในดวงตาลึกล้ำ มีไอเย็นคมปลาบพาดผ่าน
ซูหลีกลับมาที่วัง เจียงหยวนส่งข่าวมาเป็นระยะ อานุภาพกองทัพของหยางเจิ้นร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก เพียงไม่กี่วัน ทหารสามหมื่นนายต่อสู้สุดชีวิต ล้มตายไปเกือบหมื่น แต่สถานการณ์สงครามกลับไม่ลดระดับความรุนแรงลงแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เกินสองวัน ประตูเมืองต้องถูกพังอย่างแน่นอน!
ซูหลีร้อนใจดั่งไฟสุมอก หากจะให้นางนั่งรอจุดจบที่ไม่อาจคาดเดาได้อยู่ในวังหลวง นางทำไม่ได้จริงๆ นางตัดสินใจไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ประตูเมืองทันที
เพิ่งจะออกจากประตูตำหนัก ก็มีรถม้าเทียมม้าสี่ตัวจอดอยู่บนถนนใหญ่ก่อนแล้ว ม่านรถถูกแหวกเปิด บุรุษที่เดินลงมาสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสายรัดเอวหยก ฝีเท้ามั่นคง เป็นตงฟางเจ๋อนั่นเอง ดูจากท่าทาง เหมือนเขารออยู่ตรงนี้แต่แรกแล้ว ครั้นเห็นนางออกจากประตูตำหนัก ก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา รั้งมือนาง แล้วกล่าวเสียงเข้มอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ “ไปกับข้า”
……………………