กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 433 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (11)
ฉินเหิงครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ข้าน้อยรู้สึกแปลกใจ ยามไปถึงเทียนเหมิน แม่ทัพฮูเอ่อร์ตูคล้ายรู้ข่าวอยู่แล้ว เขาเตรียมพร้อมทุกอย่าง รอเพียงคำสั่งของฮ่องเต้ไปถึง ก็รีบเคลื่อนทัพทันที เสบียงอาหารล้วนมีพร้อม ม้าศึกก็ล้วนเป็นยอดอาชาชั้นดี ฉะนั้นจึงเดินทางมาถึงก่อนกำหนดถึงสิบวันขอรับ”
ซูหลีสะดุดใจ อดีตฮ่องเต้เสด็จสวรรคต หยางเจิ้นชิงบัลลังก์ จึงทำให้เกิดสงครามภายใน ตอนแรกยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แล้วฮูเอ่อร์ตูจะเตรียมพร้อมถึงเพียงนั้นได้เช่นไร? อีกทั้งข่าวนี้ถูกส่งไปถึงกองทัพที่เทียนเหมินได้อย่างไร? ทันใดนั้น ภาพหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในสมองนาง วันที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต เขาแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับนางว่า เขาไม่จำเป็นต้องไปพบคนที่ใกล้จะตาย หรือว่า เป็นเขา?
ทว่า ตงฟางเจ๋อกับหยางเซียวเป็นศัตรูกันอย่างเห็นได้ชัด แต่เหตุใดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหยางเจิ้น ตงฟางเจ๋อมักยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ?
นางครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่นานก็ให้รู้สึกตกตะลึง นางยังรู้จักเขาไม่ดีพอจริงๆ ความคิดของบุรุษผู้นี้ลึกล้ำเหลือเกินจริงๆ ลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา ทั้งที่มีใจคิดรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่กลับกระทำการเหนือความคาดหมายของผู้คนเสมอ เวลานี้ เขาไม่กลับเทียนเหมิน แต่ไปที่ใดกัน?
ซูหลีขมวดคิ้วแน่น รีบเอาแผนที่แคว้นเปี้ยนมากางดูอย่างละเอียด ค้นพบว่าเมืองเหลียวเฉิงที่เป็นที่ดินพระราชทานของหยางเจิ้น ตั้งอยู่ตรงเขตชายแดนระหว่างสามแคว้น และติดกับแคว้นหวั่น ดูจากสถานการณ์ในยามนี้ เสด็จน้าไม่มีทางใช้เส้นทางหลักเพื่อกลับไปยังที่ดินพระราชทานแน่นอน หากต้องการกลับไปที่นั่นอย่างราบรื่นโดยไม่ให้ใครรู้…นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน พลันค้นพบว่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นเปี้ยนมีภูเขาสนอยู่ลูกหนึ่ง บนภูเขามีถนนไม้เก่าแก่อยู่สายหนึ่งที่สามารถทะลุผ่านไปยังชายแดนแคว้นเฉิงได้ เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาสูงชัน ถนนไม้จึงเก่าแก่ไม่ได้ซ่อมแซมมานานหลายปี สภาพเก่าและผุพัง ไม่มีคนสัญจรผ่านนานแล้ว
ซูหลีตึงเครียด รีบลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ เดินออกจากห้อง “ทูตทั้งสี่จงฟัง ติดตามข้าออกจากเมืองเดี๋ยวนี้!”
เดินทางติดต่อกันหลายวัน สี่วันหลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงภูเขาซงซาน ตามหาอยู่นาน จึงค่อยค้นพบทางเข้าถนนไม้เก่าแก่และคับแคบสายนั้นอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้าสูง ทุกคนก้าวเท้าขึ้นไปบนถนนไม้อย่างระมัดระวัง ทางเดินเล็กๆ สายนี้เป็นเนินสูงต่ำไปตามลักษณะภูเขา ลาดชันกว่าปกติ แม้พวกเขาจะมีวรยุทธ์สูงหรือใจกล้าเพียงใด ก็ยังต้องเดินอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ยามนี้เอง ทุกคนจึงค่อยค้นพบด้วยความตกใจว่าแผ่นหลังตนเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
บนภูเขาลมพัดแรง ใบไม้เสียดสีดังสวบสาบ พวกเขาเดินเลียบไปตามถนนภูเขาที่ยังพอแยกแยะออก ทัศนียภาพด้านหน้าค่อยๆ เปิดกว้าง ท่ามกลางสายลม เสียงใครคนหนึ่งดังมาเลือนราง ซูหลีสะดุดใจ อดไม่ได้ที่จะมองตามเสียงไป
บนเนินเขาที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง มีคนสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงนั้น ผู้นำของคนกลุ่มนั้นสวมอาภรณ์สีดำ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่ใช่ตงฟางเจ๋อแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า?! สายตาของเขาคมปลาบดั่งมีด จดจ้องบุรุษที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า และคนผู้นั้นก็คือหยางเจิ้นผู้ที่หายตัวไปหลายวันแล้วนั่นเอง!
ร่างกายเขาตึงเกร็งไปทั้งตัว เส้นเอ็นบนหน้าผากกระตุกสั่น ดวงตาที่เบิกกว้างแดงก่ำไปทั้งดวง เครื่องหน้าทั้งห้าบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป เห็นได้ชัดว่ากำลังทนรับความเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด! และใบหน้าของเซิ่งฉินองครักษ์ชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นิ้วมือจ่อไปที่จุดลมปราณบนลำคอของเขา ขณะที่มืออีกข้างวางไว้เหนือศีรษะของเขา
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบตะโกนเสียงเกรี้ยว “ช้าก่อน!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาร่างของนางพลันโฉบไหว พริบตาเดียวก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าหยางเจิ้นแล้ว
ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง เซิ่งฉินเงยหน้า ครั้นเห็นว่าผู้มาคือซูหลี หน้าเปลี่ยนสีไปทันที ก่อนจะรีบคลายมือออกจากตัวหยางเจิ้น
ใบหน้าตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร
หยางเจิ้นเหงื่อเย็นไหลท่วมกาย ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ล้มตัวลงบนพื้นทันที!
“เสด็จน้า!” ซูหลีวิ่งเข้าไปประคองเขาไว้ ค้นพบว่าตัวเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายอ่อนแรง นางตกใจ รีบยื่นมือไปตรวจชีพจรของเขา ไม่นานนางก็ตกใจจนพูดไม่ออก กำลังภายในของเขาว่างเปล่า วรยุทธ์ของเขาสูญสิ้นไปจนหมด!
เขาเจ็บปวดจนต้องสูดหายใจหนักหน่วง ซูหลีรีบยกฝ่ามือข้างหนึ่งแนบแผ่นหลังเขา ถ่ายทอดกำลังภายในเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในร่างกายเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเจิ้นอาการดีขึ้นบ้าง เขาเงยหน้าเล็กน้อย จึงเพิ่งรู้ตัวว่าคนที่อยู่ข้างกายก็คือซูหลี พลันชะงักงันไปทันที เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจนถึงตอนนี้แล้ว นางยังเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ ลึกๆ ในใจพลันรู้สึกทั้งรักทั้งชัง และปวดใจแปลบปลาบ บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกเช่นใดกันแน่
หยางเจิ้นสวมชุดกระสอบสายป่าน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเลอะคราบฝุ่น สภาพน่าอเนจอนาถ ชีวิตระหว่างหนีเอาชีวิตรอดหลังแพ้สงครามคงลำบากตรากตรำไม่น้อย นึกย้อนไปถึงตอนที่พบกันครั้งแรก เขามีราศีสูงส่งท่าทางเย่อหยิ่ง อยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ต่างจากสภาพในวันนี้ราวฟ้ากับเหว
ซูหลีรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก นางถามเสียงเบา “เสด็จน้า ท่าน…ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“เจ้ามาทำไม?” สีหน้าหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาผลักมือนางออกด้วยท่าทางแข็งขืน ไม่มองหน้านางสักนิด เพียงแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ข้าจะเป็นหรือตายแล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย?” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว แต่กลับแฝงแววปวดใจเอาไว้รางๆ
“ท่านเป็นเสด็จน้าของอาหลี ความเป็นความตายของท่าน อาหลีจะไม่เป็นห่วงได้เช่นไรเล่าเพคะ?” เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อย ไม่อาจปกปิดความเศร้าในใจไว้ได้
หยางเจิ้นตวัดหน้ามองนาง อารมณ์พลุ่งพล่านยากจะสงบ น้ำเสียงที่นางกล่าววาจาในยามนี้มีความเป็นห่วงแฝงอยู่รางๆ กลับเหมือนกับพี่สาวของเขาในอดีตมาก! ประตูแห่งความทรงจำพลันถูกปลดผนึก ช่วงชีวิตที่ทั้งสองต่างพึ่งพิงซึ่งกันและกันหลังจากสูญเสียบิดามารดาไป ความคะนึงหาตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา พลันกัดกินหัวใจของเขาทันที!
เด็กคนนี้เหมือนพี่สาวเกินไปแล้ว! เขาใจอ่อนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาร้อนผ่าว เขาหลับตา ไม่พูดอะไรอีก
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ เดินไปหาซูหลี แล้วกล่าวอย่างลังเล “ซูซู…”
ครั้นได้ยินเสียงเขา ซูหลีก็สะท้านไปทั้งใจ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “เหตุใดจึงเป็นท่าน?”
ความผิดหวังและความระแวดระวังในสายตานางชัดเจนถึงเพียงนั้น ไม่คิดปกปิดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังตำหนิที่เขาคิดร้ายต่อหยางเจิ้น
ตงฟางเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดเอาชีวิตเขา เมื่อครู่จู่ๆ เขาก็คิดจะลอบสังหารข้า เซิ่งฉินจึงได้ทำลายวรยุทธ์ของเขาเสีย”
เสด็จน้าจะฆ่าเขา?! หัวใจของซูหลีบีบรัด คล้ายไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าไม่ฆ่าเจ้า แล้วจะให้ยอมจำนนแต่โดยดีหรืออย่างไร?” หยางเจิ้นพลันหัวเราะเย็นชา ยามนี้เขาฟื้นเรี่ยวแรงกลับมาได้บ้างแล้ว จึงพยายามลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้าซุ่มอยู่ที่นี่มานาน หากมิใช่ว่าข้าไหวตัวทัน ก็เกือบตกหลุมพรางและถูกจับได้แล้ว! บอกมา เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?! เหตุใดจึงตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!”
สายตาของตงฟางเจ๋อขรึมลง ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
หยางเจิ้นบังเกิดความสงสัย เขาเกลียดชังคนผู้นี้ตั้งแต่แรก แต่กลับสืบประวัติไม่ได้เสียที ครั้นเห็นคนผู้นี้มีราศีไม่ธรรมดา อิริยาบถดูสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก ก็คิดว่าจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่สามัญแน่นอน และบทสนทนาระหว่างคนผู้นี้กับซูหลี ก็คล้ายมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา หรือว่า…เขาสะดุดใจ ร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง “เจ้า เจ้าคือ…”
“เสด็จน้า!” ซูหลีเดินเข้าไปประคองเขา “ซูหลีจะส่งท่านกลับเมืองเหลียวเฉิง”
หยางเจิ้นมองหน้าซูหลีด้วยความตกใจระคนสงสัย “เจ้ารู้หรือว่าเขาเป็นใคร?!”
ซูหลีมองหน้าเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “เขาเป็นใครยามนี้ไม่สำคัญกับท่านอีกแล้ว”
“จะไม่สำคัญได้เช่นไร?!” หยางเจิ้นคำรามเสียงเดือดดาล “คนผู้นี้เป็นชาวเฉิงแท้ๆ แต่กลับทำลายแผนการใหญ่ของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า จะให้ปล่อยเขาไปได้อย่างไร?!”
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขาคำรามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “หยางเจิ้น เจ้ามีจิตใจทะเยอทะยาน กระทำความผิดใหญ่หลวง น่าจะคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าจะมีจุดจบเช่นในวันนี้!”
“ฮ่าๆๆ!” หยางเจิ้นหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสลด จู่ๆ เขาก็หยุดหัวเราะ แล้วจ้องหน้าตงฟางเจ๋อด้วยสายตาเย็นเฉียบ กล่าวท้าทายด้วยเสียงไร้ความกลัว “ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร หากเจ้าเด็กหยางเซียวมาฆ่าข้าด้วยตนเอง ข้าจะต้องตัดสินเป็นตายกับเขาอย่างแน่นอน! เจ้า คนต่างแคว้นคนหนึ่ง วางแผนสารพัดเพื่อทำให้ข้ายอมจำนน จิตใจเหี้ยมโหด คิดการใดอยู่ผู้ใดย่อมดูออก! เจ้าคิดว่าหากจับข้าได้ หยางเซียวจะยอมฟังเจ้า?!”
………………………