กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 434 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ
นัยน์ตาของตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูหลีประคองหยางเจิ้น พลางกล่าวว่า “เสด็จน้า อย่าพูดอะไรอีกเลย พวกเราไปกันเถิด”
สายตาของหยางเจิ้นไหวระริก จ้องหน้านาง แล้วเอ่ยถามว่า “อาหลี ข้าถามเจ้า เจ้ากับเขา เคยสัญญาจะแต่งงานกันหรือไม่?!”
ซูหลีนิ่งอึ้ง ไม่รู้ควรตอบเช่นไรดี
“เจ้าไม่ตอบ ก็แสดงว่ายอมรับแล้ว” หยางเจิ้นหัวเราะเสียงดัง หันไปมองตงฟางเจ๋อ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกลับเสด็จมาด้วยพระองค์เองเพื่อข้าหยางเจิ้น ดี! ดีเหลือเกิน! ยามนี้พลาดท่าด้วยน้ำมือท่าน ข้าก็ไม่เสียดาย จะฆ่าข้าก็ฆ่าเลย! แต่หากคิดจะจับข้าไปหาหยางเซียว ไม่มีทาง!”
“ท่านฆ่าเขาไม่ได้ แล้วก็พาเขาไปหาหยางเซียวไม่ได้ด้วย” สายตาเย็นชาของซูหลีมองไปที่ตงฟางเจ๋อ เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวเสียงขรึม “เจ้าจะให้เขาหนีไป?”
แววหนักแน่นพาดผ่านดวงตาของซูหลี นางกล่าวตอบเสียงเข้ม “ถูกต้อง!”
ตงฟางเจ๋อมองหน้านางเงียบๆ นางเองก็กำลังมองเขาเช่นกัน ราวกับว่าจิตใจที่เคยเชื่อมต่อถึงกันของเขาและนาง ได้กลายเป็นเหมือนหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจอยู่ตลอดเวลา
ตงฟางเจ๋อละสายตากลับมา เขาล้วงตราประทับหยกแผ่นนั้นออกมาจากอกเสื้อ แล้วยัดใส่มือนางเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “จากตรงนี้ให้มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก จะเป็นเขตชายแดนของแคว้นเฉิง หากใช้สิ่งนี้จะสามารถผ่านด่านชายแดนไปได้อย่างราบรื่น เส้นทางนี้ยาวไกลยิ่งนัก เจ้า…จำต้องรักษาตัวด้วย”
ซูหลีตะลึงงัน ตราประทับในมือสัมผัสเรียบลื่นอบอุ่น ยังมีอุณหภูมิจากปลายนิ้วของเขาหลงเหลืออยู่ เขาเคยถูกอดีตฮองเฮาใส่ร้ายจนถูกจับขังในคุกมืด ยามวิกฤติมาถึงตัวเขาได้มอบตราประทับนี้ให้นาง เพื่อใช้ขับเคลื่อนอัศวินชุดเกราะสามพันนายในจวนเจิ้นหนิงอ๋อง ทว่ายามนี้เขาเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น ตราประทับย่อมมีความสำคัญเหนือสิ่งใด เขากลับยังวางใจมอบให้นางเช่นนี้?
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย รัศมีเจิดจรัสตรงหัวคิ้วอันคมเข้มของเขา ยังคงทำให้หัวใจของนางเต้นรัวอย่างมิอาจปฏิเสธได้ จู่ๆ เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ กุมมือนาง แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ “ซูซู ความปรารถนาของเจ้า เป็นดั่งความปรารถนาของข้า!”
“ท่าน…” นางเงยหน้าด้วยความตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกสักคำ เขายอมทิ้งโอกาสดีๆ เพื่อนางครั้งแล้วครั้งเล่าจริงหรือ?
“เจ้าอาจไม่เชื่อข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าเคยบอกกับเจ้าแล้ว ว่าเจ้าเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นเฉิงของเรา และเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้าตงฟางเจ๋อ ตราประทับนี้นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติที่จะใช้มันอีก!” เขาประคองไหล่นาง แล้วประทับจูบที่ขมับนางอย่างแผ่วเบาและรวดเร็ว “รีบไปเถิด หากยังไม่ไปอีกจะสายเกินไปแล้ว!”
ซูหลีเบิกตากว้างจ้องมองเขา หัวใจสับสนวุ่นวาย ตราประทับถูกนางกำไว้ในฝ่ามือ นางกำมันไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ พยายามข่มใจตนเองให้หันหน้าไปอีกทาง แล้วเดินเข้าไปประคองหยางเจิ้น “เสด็จน้า เราไปกันเถิดเพคะ”
หยางเจิ้นตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ ตงฟางเจ๋อกลับปล่อยเขาไปง่ายๆ อย่างนี้?
ทันใดนั้น เสียงกีบเท้าม้าระลอกหนึ่งพลันดังมาจากหุบเขาด้านหลัง! เสียงตวาดเกรี้ยวอันเต็มไปด้วยไอสังหารดังสะเทือนไปทั่วทั้งหุบเขา “กบฏหยางเจิ้น ดูซิเจ้าจะหนีไปที่ใดได้อีก!” ตงฟางเจ๋อกับซูหลีสบตากัน ทั้งสองหน้าเปลี่ยนสีทันที
ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงทหารหลายร้อยนายกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ หนึ่งในนั้นคือ ‘ฮูเอ่อร์ตู’ แม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยน
คนอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า แสงตะวันสาดส่องบนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ทว่าแสงและเงาแปรเปลี่ยนยากจะคาดเดา จึงทำให้มองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ได้ไม่ชัดเจน มีเพียงอาภรณ์มังกรสีเหลืองอร่ามลวดลายประณีตงดงามบนกายเท่านั้น ที่ทอประกายรัศมีอันน่าเกรงขามจนไม่กล้าสบตาตรงๆ
หยางเซียว!
พริบตาเดียว เหล่าทหารล้อมรอบเนินเขาดั่งกระแสน้ำที่ซัดสาดเข้าฝั่ง หยางเซียวควบม้าเข้ามา เขาจับจ้องใบหน้าของหยางเจิ้นจากเบื้องบน สีหน้าดูสงบเยือกเย็นกว่ายามปกติ สายตากลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็งพันปี
หัวใจของซูหลีจมดิ่งสู่ก้นบ่อ ความสงบเยือกเย็นของเขาในยามนี้ เป็นเพียงสัญญาณเตือนของพายุฝนที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น
สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย กวาดมองตงฟางเจ๋อและหยุดอยู่ที่ซูหลี คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย กล่าวคล้ายตำหนินิดๆ “อาหลี เจ้าออกจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เหตุใดไม่บอกกล่าวข้าสักคำ จะได้ตามตัวได้ง่ายสักหน่อย”
ซูหลีเอ่ยอย่างใจเย็น “หยางเซียว ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเคยรับปากเรื่องใดกับข้าไว้?”
ใบหน้าของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขากระโดดลงจากหลังม้า สาวเท้ายาวๆ ไปยืนตรงหน้าซูหลี กลีบปากหยักยิ้ม “ข้าไม่ลืม เพียงแต่ ข้าเพียงรับปากเจ้าว่าจะไม่ฆ่าเขา แต่ไม่เคยบอกว่าจะปล่อยเขาไป!” เทียบกับตอนทำสงครามรักษาเมืองอันสิ้นหวัง เขาในยามนี้ ได้กลายเป็นผู้ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มของเขาตวัดมองไปที่หยางเจิ้น ความชิงชังที่ฝังลึกลงไปถึงกระดูกดำสะท้อนชัดอย่างไม่คิดปิดบัง
ซูหลีพลันตึงเครียด ความเคียดแค้นของเขาชัดเจนถึงเพียงนี้ ทำให้นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางสูดหายใจลึกๆ รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสริบหรี่ แต่ก็ไม่อาจยอมแพ้ได้ “หยางเซียว ท่าน…”
“ข้า ทำ ไม่ ได้!” หยางเซียวไม่รอให้นางพูดจบ ก็ตอบตัดบทขึ้นก่อน “อาหลี เรื่องอื่นข้าล้วนรับปากเจ้าได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ข้าไม่มีวันทำให้เจ้าได้!”
นางมองหน้าเขา เขาเองก็มองหน้านาง ต่างฝ่ายต่างเหมือนกำลังเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงัน
“หยางเซียว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีเป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบ “หากข้ายืนยันจะปล่อยเสด็จน้าไป ท่านจะจับกุมข้าไปด้วยใช่หรือไม่?”
“เจ้า!” หยางเซียวเบิกตาจ้องหน้านาง พูดอะไรไม่ออก นางปกป้องเขาถึงเพียงนั้น เหมือนยามที่เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนใกล้ล่มสลาย นางเองก็ยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน สตรีที่ดูเย็นชาถึงเพียงนั้น กลับให้ความสำคัญกับความรู้สึกถึงเพียงนี้
เพียงแต่ในศึกชิงบัลลังก์อันโหดร้ายนี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่สมปรารถนากันทั้งสองฝ่าย
หากเจ้าไม่ตาย ก็ต้องเป็นข้าที่ตาย
น้ำเสียงของนางแผ่วเบาลง แฝงแววปวดใจเลือนราง “หยางเซียว เสด็จน้าไม่มีวรยุทธ์แล้ว กองทัพทหารหนึ่งแสนนายก็ล่มสลายไปแล้ว ยามนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ท่านปล่อยเขาไปสักครั้ง ให้เขากลับเมืองเหลียวเฉิง ใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนไปจนตายอยู่ที่นั่น ได้หรือไม่?” น้ำเสียงของนางจริงจังอย่างถึงที่สุด ยามนี้ แม้แต่นางเองก็แยกไม่ออก ว่าตกลงนางเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของหยางเจิ้นกับเสด็จแม่ของนาง หรือเพราะตนเองทนทำใจนิ่งดูดายไม่ได้กันแน่ จึงได้พยายามรักษาชีวิตของหยางเจิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้!
“บรรพบุรุษมีคำสั่ง อาณาบริเวณใดหากแบ่งที่ดินให้ไปแล้ว ไม่ว่าใครล้วนมิอาจขอคืน หากวันนี้ข้าปล่อยเขาไป ก็ไม่ต่างจากปล่อยเสือกลับภูเขา เรื่องโง่เขลาเช่นนั้น ข้าไม่มีทางทำแน่นอน!” เอ่ยจบ เขาหันหลังไม่มองนางอีก เพียงตะโกนเรียกเสียงดัง “ฮูเอ่อร์ตู!”
ฮูเอ่อร์ตูโบกมือ ทหารราบหลายร้อยนายพลันชูอาวุธขึ้น แล้วเล็งไปที่หยางเจิ้น เพียงรอคำสั่ง ก็พร้อมจู่โจมทันที!
หยางเจิ้นหัวเราะเสียงดัง ใบหน้าไร้ซึ่งความกลัว เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองรอบด้าน แล้วตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด “จะเข้ามาทีละคน หรือเข้ามาพร้อมกันเลยเล่า?!” ยามนี้เขาไร้ซึ่งวรยุทธ์ เสียงยามกล่าววาจาจึงไม่ดังก้องดังเช่นในอดีต แต่ท่าทางหยิ่งผยองกลับไม่ลดน้อยลงแม้สักส่วน!
เงาร่างของซูหลีโฉบไหว พุ่งตัวไปยืนขวางด้านหน้าหยางเจิ้น พวกหวั่นซินเองก็พุ่งตามไปเช่นกัน พวกเขาชูอาวุธขึ้น ปกป้องซูหลีกับหยางเจิ้นไว้กลางวงล้อม
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “อย่าเข้ามา ข้าไม่อยากทำร้ายใคร!” วรยุทธ์อันน่าทึ่งของนางร่ำลือไปทั่วแผ่นดินนานแล้ว ทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่มองหน้ากัน ลังเลไม่กล้าตัดสินใจ
หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี กล่าวด้วยความตื่นตะลึง “อาหลี! เจ้ากำลังบีบบังคับข้า!”
ซูหลีข่มกลั้นความรู้สึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หยางเซียว ข้าขอโทษ…”
“ข้าไม่อยากได้ยินสามคำนี้จากปากเจ้า!” หยางเซียวคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง
ซูหลีปวดใจ นางกัดฟันกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านบอกข้ามา ต้องทำเช่นไร จึงจะยอมปล่อยเขาไป?”
หยางเซียวถมึงตาจ้องนาง พูดอะไรไม่ออก
ตงฟางเจ๋อที่เงียบงันไปเนิ่นนานพลันเอ่ยปาก “หากเซียวอ๋องสาบานต่อฟ้าดินว่านับจากนี้จะไม่มีจิตคิดปองร้าย ตลอดชีวิตนี้จะไม่ก้าวเท้าออกจากที่ดินศักดินา ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะยอมปล่อยเขาไปหรือไม่?”
………………………